#กะหล่ำปลี
Explore tagged Tumblr posts
Text
ประโยชน์ของกะหล่ำปลี ช่วยป้องกันโรคได้
กะหล่ำปลี มีประโยชน์มากมายที่เราอาจจะยังไม่ลงมาก่อน ซึ่งใครที่ชอบทานกะหล่ำปลีดิบ วันนี้เรามีข้อมูลดี ๆ และประโยชน์มากมายแบบจัดเต็ม ผักใบเขียวที่อร่อยทานง่าย กีฬาออนไลน์ มักจะนำไปต้มผัดหรือทานดิบมองเลยว่าคุณค่าทางอาหารอัดแน่นกันเลยทีเดียว แต่จะมีข้อควรระวังในการทานอย่างไรบ้าง ลองไปดูพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า
ประโยชน์ของกะหล่ำปลี
1. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
2. ช่วยบำรุงตับ และไต
3. ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
4. ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก ท้องเฟ้อ
5. ช่วยเสริมสร้างระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ดีขึ้น
6. ช่วยต่อต้านมะเร็งในตับ และมีสารช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้
7. ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
8. ช่วยบำรุงโรคกระเพาะอาหาร
9. ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้
10. ช่วยบำรุงผิวพรรณ มีน้ำมีนวล ดูอ่อนเยาว์ขึ้น
11. ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ในเด็กและคนชรา
12. ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน
13. ช่วยป้องกันอาการเป็นหวัด
14. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย
15. ช่วยในการลดน้ำหนักได้
ข้อควรระวังในการกิน
คุณควรนำกะหล่ำปลีไปปรุงให้สุกก่อนทาน เพราะในกะหล่ำปลีดิบมีสารที่มีชื่อว่า Goitrogen อยู่ในกลุ่มของสารที่จะไปขัดขวางไม่ให้ร่างกายดูดซึมสารที่จะนำไปใช้ประโยชน์ได้ และสารชนิดนี้มีฤทธิ์ยับยั้งในการสร้างฮอร์โมนในต่อมไทรอยด์ ทำให้ร่างกายนำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อยกว่าปกติ หากทานผักที่มีสารชนิดนี้เข้าไปมากจนเกินไปแล้ว สมัคร igoal88 อาจจะทำให้ท้องอืดจนทำให้ร่างกายของเรานั้นขาดสารไอโอดีนและกลายเป็นโรคคอพอกได้ สรุปแล้ว คือ สามารถทานกะหล่ำปลีดิบได้ในปริมาณที่น้อย แต่ไม่ควรที่จะกินสม่ำเสมอ เพราะการกินกะหล่ำปลีดิบที่จะทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายเกิดจากการกินอย่างสม่ำเสมอ และกินครั้งละเป็นกิโลเลย
ลักษณะของกะหล่ำปลี
ผักกะหล่ำปลี หรือกะหล่ำใบ เป็นไม้ล้มลุก มีลักษณะกลมส่วนใหญ่แล้ว จะมีสีเขียวและมีสีขาว สีม่วง มีถิ่นกำเนิดแถวเมดิเตอร์เรเนียน และแพร่กระจายไปทั่วในภายหลัง สามารถแยกออกได้เป็น 3 สายพันธุ์ด้วยกัน คือ
- กะหล่ำปลีขาว เช่นพันโคเปนเอเกนมาร์เก็ต และพันธุ์โกลเด้น เอเคอร์
- กะหล่ำปลีใบย่น มีผิวใบหยิกย่น ต้องการอากาศหนาวเย็นเป็นพิเศษ
- กะหล่ำปลีม่วง หรือกะหล่ำปลีแดง ใบเป็นสีแดงทับทิม มักจะปลูกขึ้นในพื้นที่อากาศที่หนาวเย็น
วิธีการเลือกซื้อ และคุณค่าทางโภชนาการ
เลือกใบที่กรอบ, ห่อสวยงาม, ไม่หลุด, ไม่เหี่ยวย่น, ไม่มีรอยเน่าเสีย, เลือกหัวที่มีน้ำหนักไม่เบาจนเกินไป และคุณค่าทางโภชนาการในกะหล่ำปลีดิบ 100 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 25 กิโลแคลอรี่ เเนะนำเพื่อน igoal ซึ่งจะมี เส้นใหญ่อาหาร 2.5 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 5.8 กรัม, โปรตีน 1.28 กรัม, น้ำตาล 3.2 กรัม, ไขมัน 0.1 กรัม, วิตามินบี 1 0.061 mg, วิตามินบี 2 0.040 mg, วิตามินบี 3 0.234 mg, วิตามินบี 5 0.2 1 2 mg, วิตามินบี 6 0.124 mg, วิตามินบี 9 43 ไมโครกรัม, วิตามินซี 36.6 mg, แคลเซียม 14 mg, ธาตุเหล็ก 40 mg, ธาตุแมกนีเซียม 12 mg, ธาตุแมงกานีส 0.16 mg, ฟอสฟอรัส 26 mg, ธาตุโซเดียม 18 mg,สังกะสี 0.18 mg, ฟลูออไรด์ 1 ไมโครกรัม ทั้งหมดนี้เป็นปริมาณที่แนะนำที่ร่างกายของเราต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่
0 notes
Text
เมนูผักดองโซดา กรอบอร่อย 1 วันได้กิน
ผักดองเป็นพรีไบโอติกชั้นดี ทำกินกัน🥬🌶️🥒🥕🧅
เครื่องปรุง
1. น้ำตาลทราย 50 กรัม
2. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำส้มสายชู 100 ml
4. โซดา 1 ขวด
5.ใช้ผักที่มีได้เลย
แตงกวา หอมแดง แครอท พริกแดง กะหล่ำปลี
วิธีทำ
ล้างหั่นผักตามต้องการ นำลงในโหล ใส่เครื่องปรุงทุกอย่างตามลงไป สุดท้ายเทโซดาลงไปได้เลย (สูตรนี้ไม่ต้องต้มน้ำดอง)คลุกเคล้าให้เข้ากัน ปิดฝา หมักในตู้เย็นไว้ 1 คืนทานได้อร่อยมาก เก็บในตู้เย็นตลอดเวลา อยากให้ลองทำทานกันมากๆ อร่อยจริง
#ผักดองโซดา #สูตรผักดองโซดา
Cr. รูปภาพจากอินเตอร์เน็ต
2 notes
·
View notes
Text
แนะนำอาหาร ยอดนิยมของมาเลเซีย
แนะนำอาหาร ยอดนิยมของมาเลเซีย
หากพูดถึงอาหารมาเลเซีย หลายคนที่ยังไม่เคยไปท่องเที่ยวและลิ้มลองชิมรสชาติอาหารของประเทศมาเลเซียร์ก็คงจะไม่รู้จัก วันนี้เราจะมาเเนะนำอาหารที่เป็นที่นิยมของประเทศมาเลเซียพร้อมหน้าตาอาหารให้รู้จักและเห็นภาพกันค่ะ แทงหวย
นาซิเลอมัก นาซี เลอมัก อาหารประจำชาติของมาเลเซีย ความพิเศษคือนำข้าวไปหุงกับกะทิและใบเตย ทำให้มีความมันเหมือนข้าวมันไก่และมีกลิ่นหอม เสิร์ฟกับพริกแกงซัมบัลทำจากพริกป่น หอมแดง และน้ำมะขามเปียก พร้อมเครื่องเคียงต่าง ๆ เช่น ไก่ทอด ปลากะตักทอด ไข่ต้ม ถั่วลิสงทอด เป็นต้น
ซัมบัล คือ เครื่องจิ้มคล้ายน้ำพริกกะปิของคนไทย ทำจากพริกป่น หัวหอมและน้ำมะขาม น้ำพริกซัมบัล ที่ประกอบขึ้นจากพริก กะปิ มะนาว น้ำตาลปึก คลุก หรือ ตำ ในครก สร้างความนัวเพิ่มเติมด้วยวัตถุดิบต่างๆ แต่ละบ้าน แต่ละตระกูล แต่ละร้าน จะมีสูตรเด็ดซัมบัลประจำของตนเอง
สะเต๊ะ ซาเตหรือสะเต๊ะ อาหารมาเลเซียเสียบไม้หน้าตาคล้ายไทย แต่เมนูมีหลากหลายกว่า ทั้งเนื้อวัว เนื้อแพะ เนื้อกระต่าย เนื้อปลา มาพร้อมกับน้ำจิ้มถั่วรสชาติหวานเข้มข้น ผักดองแกล้มตัดเลี่ยน และข้าวอัดก้อนที่ทำมาจากข้าวสวยหั่นเป็นคำ ต่างจากบ้านเราที่กินกับน้ำจิ้มอาจาดและอาจเพิ่มขนมปังปิ้งจิ้มด้วย
นาซิกันดาร์ เป็นอาหารอินเดียมุสลิมที่ได้รับความนิยมมาก (ในภาษามาเลย์ คำว่า “นาซิ” หมายถึงข้าว ) ประกอบด้วยข้าวสวยรับประทานกับแกงกะหรี่ไก่หรือปลา หรืออาจรับประทานคู่กับแป้งแผ่นอย่างจาปาตีหรือโรตี
นาซี โกเร็ง นาซี โกเร็ง หรือข้าวผัดมาเลเซีย จุดเด่นคือมีรสเผ็ดและหอมเครื่องสมุนไพร เริ่มจากการนำข้าวไปผัดกับกะปิและน้ำพริกซัมบัลซึ่งคล้ายพริกแกงไทย เติมสีสันด้วยซีอิ๊วหวาน ใส่เนื้อสัตว์ หอมแดง พริกขี้หนู เสิร์ฟกับไข่ดาวและเครื่องเคียงอื่น ๆ เช่น ไก่ทอด สะเต๊ะ ปลาเล็กปลาน้อย ข้าวเกรียบกุ้ง ถั่วลิสง สลัดผักต้ม เป็นต้น
ฉ่าก๋วยเตี๋ยว ฉ่าก๋วยเตี๋ยว หรือก๋วยเตี๋ยวผัดมาเลเซีย หน้าตาคล้ายผัดซีอิ๊วผสมผัดไทย เป็นอีกหนึ่งอาหารมาเลเซียยอดนิยม สามารถใส่เส้นได้หลากหลา�� ผัดกับไข่ เติมสีสันจากซีอิ๊วดำ ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ใส่ถั่วงอก กุยช่าย และใส่เนื้อสัตว์ เช่น กุ้ง ไก่ หมู กุนเชียง เป็นต้น
วันตัน หมี่ วันตัน หมี่ หรือบะหมี่หมูแดงสไตล์จีนฮกเกี้ยนที่ขายกันแพร่หลายในมาเลเซีย ทำจากบะหมี่เหลืองเส้นเล็กคลุกซอสสีดำตามสูตรของแต่ละร้าน รสชาติโดยรวมเค็มหวาน มาพร้อมหมูแดงหั่นชิ้นหรือเนื้อไก่ฉีก เสิร์ฟพร้อมเกี๊ยวหมูน้ำ เครื่องปรุงมีซีอิ๊วขาวและน้ำส้มพริกดอง
ลักซา ลักซา หรือก๋วยเตี๋ยวแกง ตัวเส้นใช้เป็นเส้นขนมจีน บางสูตรใช้บะหมี่เหลืองหรือเส้นหมี่ ราดด้วยแกง 2 แบบ ได้แก่ Curry Laksa แกงเผ็ดใต้ผสมผงกะหรี่ ใส่เนื้อสัตว์ เช่น กุ้ง ปลาหมึก เนื้อไก่ เป็นต้น ใส่เห็ดฟาง เต้าหู้ทอด ไข่ต้ม ใส่ผักลวกตามชอบลงไป
หมี่โกเร็ง หมี่โกเร็ง หรือหมี่ผัดมาเลเซีย หน้าตาคล้ายยากิโซบะญี่ปุ่น เป็นการนำบะหมี่สีเหลืองเส้นใหญ่ผัดกับผัก เช่น กวางตุ้ง กะหล่ำปลี และเนื้อสัตว์อย่างเช่น ไก่ กุ้ง ปรุงรสชาติด้วยซีอิ๊วดำ มีรสชาติเค็มหวาน ปรุงรสด้วยน้ำส้มพริกดอง มะนาว ท็อปด้วยไข่ดาว หรือเอาไข่ลงไปผัดกับเส้นก็ได้เช่นกัน
คังคุง โกเร็ง คังคุง โกเร็ง เป็นเมนูผัดผักบุ้งสไตล์มาเลเซีย ทีเด็ดคือผัดกับน้ำพริกซัมบัลใส่กะปิ ปรุงรสด้วยเกลือและซีอิ๊วขาว บางสูตรใส่น้ำมะขามเปียกหรือใส่มะเขือเทศลงไปด้วย กินกับข้าวเปล่าและอาหารอื่น ๆ อย่างเมนูนาซี โกเร็ง ได้ด้วย
เห็นหน้าตาอาหารของประเทศมาเลยเซียเเล้ว หน้าตา สีสัน ชวนให้หน้าลองทานหลายเมนู แนะนำเลยว่าหากได้เดินทางไปประเทศมาเลยเซียแล้ว แนะนำให้ลองไปหาทานกันนะคะ บอกเลยว่ารสชาติ เครื่องเทศ ผสมผสานในอาหารได้อย่างเลิศรสแน่นอนค่ะ
0 notes
Text
รีวิวอาหารเหนือ " ลาบ-หลู้-ส้า "
ลาบ-หลู้-ส้า เป็นอาหารดิบในกลุ่มเดียวกัน และใช้เครื่องเปรุงเหมือนกัน แต่หลู้จะปรุงด้วยเลือดหมู เลือดวัว เลือดควายสดๆ แต่เลือดหมูมักจะเป็นที่นิยมที่สุด และในบ้างครั้งเราจะพบว่ามีการนำขี้เพี้ย (หรือขี้อ่อนของวัว) มาทำเป็นหลู้เพี้ยด้วย สำหรับวิธีทำนั้นจะว่ายากก็ไม่ยาก แต่ก็ค่อนข้างจะละเมียดละมัย และรายละเอียดค่อนข้างเยอะ เนื่องจากเป็นอาหารดิบ และส่วนประกอบหลายรายการเพื่อทำให้หลู้ไม่มีความคาว และมีรสชาติที่อร่อย " ลุ้นหวย "
ส่วนประกอบสำคัญมีดังนี้
เลือดหมูสด 2 ถ้วย
เนื้อหมูสับละเอียด 100 กรัม
เครื่องในหมูทอดกรอบ 200 กรัม
ผักชี ต้นหอม ซอย 2 ช้อนโต๊ะ
ผักไผ่ หรือผักแพว ซอย 3 ช้อนโต๊ะ (ช่วยดับคาวได้มาก)
พริกลาบตราแม่น้อย 80 กรัม 1 ซอง
กระเทียมเจียว 2 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงเจียว 2 ช้อนโต๊ะ
ใบมะกรูดทอดกรอบ 10-12 ใบ
ใบมะนาวทอดกรอบ 10-12 ใบ
ตะไคร้ซอยฝอย ทอดกรอบ 2 ช้อนโต๊ะ
หมี่ขาวทอดกรอบ ตามชอบ
น้ำกระเทียมดอง ตามชอบ
ใบตะไคร้สัก 1 กำมือ สำหรับคั้นเลือด
วิธีทำ
นำเอาเลือดหมูมา ขยำกับใบตะไคร้เพื่อดับคาว แล้วจึงนำเอาใบตะไคร้ทิ้งไป
นำเนื้อหมูสับใส่ลงไปในชามผสมพริกลาบตราแม่น้อย
ใส่เครื่องผสมทั้งหมดลงไป และ คนให้เข้ากัน (ใส่เครื่องในทอดกรอบ ใบมะนาวทอดกรอบ ใบมะกรูดทอดกรอบ ตะไคร้ทอดกรอบ หอมแดงเจียว กระเทียมเจียว ผักไผ่ และผักชีต้นหอม)
ปรุงรสตามใจชอบ ด้วยเกลือ น้ำกระเทียมดอง
โรยหน้าด้วยหมี่ขาวกรอบ
วิธีรับประทาน
มักนิยมรับประทานคู่กับมันแพร ซึ่งเป็นมันหมูตากแห้งเป็นแผ่นบางๆ มีลักษณะเหมือนตาข่ายร่างแห ส่วนผักเครื่องเคียงนั้น ก็มักจะเป็นผักสดพื้นบ้าน เช่น ใบเล็บครุฑ ถั่วฝักยาว แตงกวา กะหล่ำปลี ยอดมะกอก ฯลฯ เครื่องดอง จะประกอบด้วย กระเทียมดอง มะแข่วนดอง เมล็ดข่าดอง และ พริกขี้หนูดอง จะเพิ่มความอร่อย และได้รสชาติที่ดียิ่งขึ้น
0 notes
Text
กินผักและผลไม้หลากสี ดีอย่างไร?
ผักและผลไม้
ขึ้นชื่อว่าผักและผลไม้ถือได้ว่ามีประโยชน์มากมายกับร่างกายของเรา เพราะเป็นแหล่งสะสมของวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดและมีคุณสมบัติเป็นแหล่งใยอาหารซึ่งจะเป็นสารที่ช่วยลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลและไขมัน อีกทั้งยังช่วยทำให้ระบบการย่อย รวมถึงระบบการขับถ่ายทำงานได้ดีอีกด้วย นอกจากนี้ผักและผลไม้บางชนิดยังมีสารพิเศษที่ช่วยทำหน้าที่ช่วยป้องกันและรักษาโรคบางชนิดได้อีกด้วย
ประโยชน์ของผักผลไม้
ช่วยทำให้ร่างกายแข��งแรงมีอายุยืนยาว และมีส่วนช่วยในการเจริญเติบโต
การรับประทานผักผลไม้ก็ทำให้ผิวพรรณของคุณดูสวยงามขึ้นได้ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตของผิว ทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผิวดูมีสุขภาพดีและเรียบเนียน อีกทั้งยังช่วยในการสังเคราะห์คอลาเจนในเซลล์ จึงช่วยทำให้ผิวแน่นและยืดหยุ่น เต่งตึง ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร
ช่วยบำรุงสายตา ผักผลไม้บางชนิดจะมีสารอาหารประเภทลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) เป็นสารอาหารที่บำรุงสายตา โดยส่วนมากจะพบในผักผลไม้ประเภท แครอท ฟักทอง ผักบุ้ง ผักคะน้า ตำลึง มะละกอ มะม่วงสุก เป็นต้น
ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายสามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ และช่วยป้องกันโรคท้องผูก
มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นตัวช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่าง ๆ รวมไปถึงโรคมะเร็ง (โดยเฉพาะโรคมะเร็งลำไส้)
ช่วยบำรุงสุขภา��และป้องกันความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายทั้งภายในและภายนอก
ผักผลไม้บางชนิดสามารถใช้เป็นยาสมุนไพรเพื่อป้องกันและใช้รักษาโรคบางชนิดเบื้องต้นได้อีกด้วย เช่น ไข้หวัด ร้อนใน โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เหน็บชา เป็นต้น
ช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี เช่น กล้วย แอปเปิ้ล มะละกอ ผักสลัด ถั่ว อะโวคาโด เป็นต้น
สามารถช่วยพัฒนาสมอง เสริมสร้างความจำ ได้เป็นอย่างดี มักจะพบได้ในอาหารจำพวกผักใบเขียว ผลไม้ และธัญพืชต่าง ๆ
ประโยชน์ของผักผลไม้ 5 สี
ผักผลไม้สีเขียว จะมีสารประเภทคลอโรฟิลล์ และยังมีสารประกอบอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติบำรุงสุขภาพ ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันมะเร็ง และลดการเกิดความเสื่อมของจอประสาทตาได้ โดยผักผลไม้ในกลุ่มนี้ ได้แก่ ผักบุ้ง กะหล่ำปลี กวางตุ้ง ผักคะน้า ผักโขม บล็อกโคลี่ ฝรั่ง พุทรา น้อยหน่า มะกอกน้ำ อะโวคาโด แอปเปิ้ลเขียว ฯลฯ
ผักผลไม้สีขาวหรือสีน้ำตาล จะมีสารประเภทฟลาโวนอยด์อยู่หลายชนิด ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยลดอาการปวดข้อเข่า ซึ่งจะพบได้มากใน ฝรั่ง แอปเปิ้ล มังคุด และผลไม้อื่น ๆ เช่น กล้วย เงาะ ลางสาด ลองกอง ลิ้นจี่ พุทรา เป็นต้น
ผักผลไม้สีเหลืองหรือสีส้ม จะมีสารประภทเบต้าแคโรทีน ฟลาโวนอยด์ และ วิตามินซี ที่่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง กระตุ้นการกำจัดเซลล์มะเร็งของร่างกาย ช่วยดูแลรักษาสุขภาพหัวใจ หลอดเลือด และระบบภูมคุ้มกันภายในร่างกาย ผักผลไม้ในกลุ่มนี้ ได้แก่ ข้าวโพด แครอท ฟักทอง กล้วย ขนุน มะละกอสุก ส้ม สับปะรด เป็นต้น
ผักผลไม้สีแดงหรือสีชมพูอมม่วง จะมีสารประภทไลโคปิน ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมากของผู้ชาย ช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดปริมาณของไขมันไม่ดี (LDL) ภายในเลือด และบำรุงระบบทางเดินปัสสาวะ โดยมากจะพบอยู่ในผักผลไม้จำพวกดอกกระเจี๊ยบ แก้วมังกรเนื้อชมพู แตงโม ชมพู่แดง เชอร์รี่ มะเขือเทศ มะละกอเนื้อแดง หัวหอม สตรอเบอร์รี่ แอปเปิ้ลแเดง เป็นต้น
ผักผลไม้สีม่วงแดงหรือสีม่วงหรือสีน้ำเงิน จะอุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน และกลุ่ม โพลีฟีนอน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ป้องกันการทำลายของรังสีอัลตร้าไวโอเลต ช่วยปกป้องจากเซลล์มะเร็ง ช่วยลดการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือดและโรคหลอดเลือดหัวใจแข็งตัว ป้องกันการเกิดท้องเสีย ผักผลไม้กลุ่มนี้ได้แก่ กะหล่ำปลีม่วง ข้าวเหนียวดำ ชมพู่มะเหมี่ยว ชมพู่แดง ถั่วดำ ถั่วแดง เผือก มันสีม่วง มะเขือม่วง หอมแดง ลูกหว้า ลูกพรุน บลูเบอร์รี่ องุ่นแดง องุ่นม่วง เป็นต้น
สนใจคลิ๊ก คาสิโนออนไลน์
0 notes
Text
สูตรทำ ขนมจีนน้ำยาหมู น้ำยาเข้มข้น หมูสไลด์อร่อย ทำตามง่าย
แจกสูตรทำ ขนมจีนน้ำยาหมู สูตรทำน้ำยา ขนมจีน แบบง่ายๆ แถมยังอร่อยมาก! ใช้หมูสไลด์นุ่มๆ บอกเลยว่าใครได้ลองสูตรนี้ก็ต้องติดใจ สามารถเป็น เมนูทำขาย ได้สบายๆ หรือจะทำทานเองในบ้านก็เวิร์ค! น้ำยาหอมๆ เครื่องแกงเข้มข้น เข้ากันดีกับสันคอสไลด์ รสชาติจะเป็นยังไง ตามไปจดวัตถุดิบ แล้วทำไปพร้อมๆ กันได้เลยค่า แทงหวยฮานอย
ส่วนผสม ขนมจีนน้ำยาหมูสไลด์
หมูสับ 500 กรัม
สันคอหมูสไลด์ 300 กรัม
ลูกชิ้นเต้าหูหมู 400 กรัม
กะทิ 500 มล.
น้ำ 700 มล.
พริกแกง 70 กรัม
กระชาย 100 กรัม
หอมแดง 10 กรัม
ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 2 ช้อนชา
ผงปรุงรสหมู 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลมะพร้าว 1-2 ช้อนโต๊ะ
ต้นหอมซอย 1 ถ้วย
พริกแดงซอย 10 เม็ด
ขนมจีน 3 โล
กะหล่ำปลี
โหระพา
ถั่วฝักยาว
สะระแหน่
��ิธีทำ ขนมจีนน้ำยาหมู
ตั้งหม้อ ใส่กะทิเล็กน้อย เปิดไฟ ใช้ไฟกลาง ใส่พริกแกงเผ็ด ผัดให้หอม
ให้พริกแกงละลาย สีเข้มขึ้น ผัดให้กะทิแห้ง และใส่กะทิเพิ่มอีกเล็กน้อย ผัดต่อให้แห้ง
พอกะทิเริ่มแห้ง ใส่หมูสับ คนให้เข้ากัน ใส่หอมแดง กระชาย ผัดให้เข้ากัน
ปรุงรสด้วย เกลือ ซีอิ๊วขาว ผงปรุงรส ผัดให้เข้ากัน แล้วเติมกะทิ รอบนี้ให้เหลือกะทิไว้นิดหน่อย
เติมน้ำสะอาด ต้มให้เดือด ปรุงรสด้วยน้ำตาลมะพร้าว น้ำปลา ชิมและปรุงให้มีรสชาติ เผ็ด เค็ม และเล็กน้อย
ใส่หมูสไลด์ โดยการหยิบใส่ทีละชิ้น จะได้ไม่ติดกัน กดให้จมน้ำ
ใส่ลูกชิ้น ต้มต่อให้ลูกชิ้นกับหมูสุกดี
ใส่กะทิที่เหลือลงไป คนแล้ว ใส่พริกแดงซอย ต้นหอมซอย
เคล็ดลับความอร่อย
เลือกใช้เส้นขนมจีนที่สดใหม่ ไม่เปรี้ยว
น้ำยาหมูควรปรุงรสให้กลมกล่อม รสชาติที่แนะนำคือ รสเผ็ดตามด้วยเค็ม และมีรสหวานนิดๆ
ใส่สันคอหมูสไลด์ จะอร่อยและเคี้ยวง่าย
เลือกใช้ลูกชิ้นเต้าหู้หมูจะมีความนุ่ม หนึบ เหมาะกับขนมจีน
ใส่ผักต่างๆ ตามชอบ สามารถเพิ่มหรือลดได้ตามต้องการ
1 note
·
View note
Text
ปลูกผักกินเอง ลดเสี่ยงสารเคมีตกค้าง
เนื่องจากผักที่วางขายตามท้องตลาดอาจจะมีสารเคมีปนเปื้อนมา ที่อาจเป็นอันตรายกับสุขภาพในระยะยาว หากสารพิษเหล่านั้นเข้าไปสะสมในร่างกายปริมาณมาก โดยเฉพาะผัก 10 ชนิดนี้ที่กรมอนามัยเผยว่ามีสารเคมีตกค้างสูง ได้แก่ กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริก แตงกวา กะหล่ำปลี ผักกาดขาวปลี ผักบุ้งจีน มะเขือ และผักชี เ��ื่อความปลอดภัยลอ��หันมาปลูกกินเองดู แถมผักสวนครัวบางชนิดยังสามารถปลูกขายได้อีกด้วยนะ สินค้าเหมาะกับคุณสวนหลังบ้าน รั้วตาข่าย และ รั้วแรงดึง
0 notes
Text
ผัก 36 ชนิด (ไม่กินไม่ได้แล้ว)
1.สะเดา (Neem tree)
มีเบต้าแคโรทีนสูง บำรุงสายตา เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้นอนหลับ
2.ผักกาดขาว (Chinese white cabbage)
ช่วยระบบย่อยอาหารขับปัสสาวะ แก���ไอ มีโฟเลทสูงบำรุงคุณแม่ตั้งครรภ์
3.ต้นหอม (Shallot)
หอ��ระเหย บรรเทา อาการหวัด มีสารฟลาโวนอยด์ต้านมะเร็ง
4.แครอท (Carrot)
เบต้าแคโรทีน ป้องกันโรคมะเร็ง มีแคลเซียม แพคเตท ลดระดับคลอเลสเตอรอลได้
5.หอมหัวใหญ่ (Onion)
มีสาร ฟลาโวนอยด์ ช่วยลดอาการของโรคหัวใจ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
6.คะน้า (Chinese kale)
มีแคลเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระสูง ป้องกันโรค กระดูกพรุน และมะเร็ง
7.พริก (Chilli)
มีแคปไซซิน กระตุ้นการ ขยายตัวของหลอดเลือด ช่วยให้เจริญอาหาร ขับเหงื่อ
8.กระเจี๊ยบเขียว (Okra)
ลดความดันโลหิต บำรุงสมอง ลดอาการกระเพาะ หรือ ลำไส้อักเสบ
9.ผักกระเฉด (Water mimosa)
ดับพิษไข้ กากใยช่วยระบบขับของเสีย เพิ่มการเผาผลาญสารอาหาร
10.ตำลึง (Ivy gourd)
มีวิตามินเอสูง ดีต่อดวงตา เส้นใยจับไนเตรต ลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร
11.มะระ (Chinese bitter cucumber)
มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นยาระบายอ่อน ๆ น้ำคั้นลดระดับน้ำตาล ในเลือด
12.ผักบุ้ง (Water spinach)
บรรเทาอาการร้อนใน มีวิตามินเอ บำรุงสายตา ธาตุเหล็กบำรุงเลือด
13.ขึ้นฉ่าย (Celery)
กลิ่นหอมช่วยเจริญ อาหาร มีวิตามินเอ บี และซี บำรุงสมอง ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด
14.เห็ด (Mushroom)
แคลอรีน้อย ไขมันต่ำ มีวิตามินดีสูงช่วยในการดูดซึม แคลเซียมเสริมกระดูกและฟัน
15.บัวบก (Indian pennywort)
มีวิตามินบีสูงช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายบำรุง สมองและความจำบำรุงผิวพรรณลดอาการ อักเสบ
16.สะระแหน่ (Kitchen mint)
กลิ่นหอมเย็นของใบให้ความสดชื่นทำให้ ความคิดแจ่มใส แก้ปวดหัว
17.ชะพลู (Cha-plu)
รสชาติเผ็ดเล็กน้อย แก้จุกเสียด ขับเสมหะมีแคลเซียมสูง
18.ชะอม (Cha-om)
ช่วยลดความร้อน ในร่างกาย ขับลมในลำไส้มีเส้นใยคอยจับ อนุมูลอิสระ
19.หัวปลี (Banana flower)
รสฝาด แก้ร้อนใน กระหายน้ำ และบำรุงน้ำนม มีกากใย โปรตีน และวิตามินซีสูง
20.กระเทียม (Garlic)
ลดไขมันในเลือด ป้องกันหัวใจขาดเลือด ใบกระเทียมมีโฟเลท เหล็กวิตามินซีสูง
21.โหระพา (Sweet basil)
น้ำมันหอม ระเหยทำให้โล่งจมูก ช่วยระบายลม มีเบต้าแคโรทีนแคลเซียม
22.ขิง (Ginger)
บรรเทาอาการหวัดเย็น ลดอาการคัดจมูก รสเผ็ดร้อนแก้อาการ ท้องอืดท้องเฟ้อ
23.ข่า (Galangal)
น้ำมันหอมระเหย ช่วยระบบย่อยอาหารขับลมมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา
24.กระชาย (Wild ginger)
บรรเทา อาการท้องอืดท้องเฟ้อ บำรุง��าตุ มีวิตามิน เอและแคลเซียม
25.ถั่วพู (Winged bean)
ให้คุณค่าทางอาหารสูง มีโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และสาร ช่วยย่อยกรดไขมันอิ่มตัว
26.ดอกขจร (Cowslip creeper)
กระตุ้นให้รู้รสอาหาร ให้พลังงานสูง ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน
27.ถั่วฝักยาว (Long bean)
มีเส้นใย ช่วยลดคอเลสเตอรอล มีวิตามินซี ช่วยให้ ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็ก บำรุงเลือด
28.มะเขือเทศ (Tomato)
มีวิตามินเอสูง วิตามินซี รสเปรี้ยว ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย และแก้อาการคอแห้ง
29.กะหล่ำปลี (White cabbage)
มีกลูโคซิโนเลท เมื่อแตกตัวจะเป็น สารต้านมะเร็ง และมีวิตามินซีสูง
30.มะเขือพวง (Plate brush eggplant)
ช่วยให้เจริญอาหารและช่วยลดความดันเลือด มีแคลเซียม และฟอสฟอรัส
31.ผักชี (Chinese paraley)
ขับลม บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร มีน้ำมันหอม ระเหย แก้หวัด มีวิตามินเอและซีสูง
32.กุยช่าย (Flowering chives)
มีกากใยช่วยระบายของเสียมีธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง
33.ผักกาดหัว (Chinese radish)
แก้ไอ ขับเสมหะเพิ่มภูมิต้านทางโรคมีสารช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้บีบตัวได้ดี
34.กะเพรา (Holy basil)
แก้อาการ จุกเสียดแน่นท้อง มีเบต้าแคโรทีนสูง ป้องกันโรคมะเร็ง และโรคหัวใจขาดเลือดได้
35.แมงลัก (Hairy basil)
ช่วยย่อย อาหาร ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ขับลม ขับเหงื่อ
36.ดอกแค (Sesbania)
กินแก้ไข้ช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เป็นยาระบายอ่อนๆ มีวิตามินเอสูง บำรุงสายตา
0 notes
Text
อาหารบำรุงไต ช่วยลดความเสี่ยงโรคไต ช่วยชะลอความเสื่อม
เมื่อเราเป็นโรคไต สิ่งสำคัญคือต้องระวังก็คือสิ่งที่เรากินและดื่ม เพราะไตของเราไม่สามารถกำจัดของเสียได้ดีเท่าที่ควร แนะนำเพื่อน 789bet ซึ่งแผนการรับประทานอาหารที่เป็นมิตรกับไตก็สามารถช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้นและชะลอความเสียหายต่อไตของเราได้ หรือหากเราเป็นคนที่มีความเสี่ยงว่าจะเป็นโรคไต การเลือกกินอาหารที่ช่วยบำรุงไต ก็สามารถช่วยชะลอความเสื่อมของอวัยวะชิ้นนี้ได้เช่นกันค่ะ
ไตมีบทบาทสำคัญในร่างกายของเรา โดยการกำจัดสารพิษและของเหลวส่วนเกิน นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมความดันโลหิตและกระตุ้นการผลิตฮอร์โมน Erythropoietin (อีริโทรโพอิติน) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง ดังนั้นการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพไต สามารถส่งเสริมสุขภาพไต ช่วยปกป้องอวัยวะชิ้นนี้จากผลกระทบด้านอื่น ๆ ที่จะทำให้ไตอ่อนแอ รวมถึงการรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงไต สามารถช่วยปกป้องไตของเราจากความเสียหายที่มากขึ้น รวมถึงช่วยบำรุงให้ไตของเราแข็งแรงและทำงานได้เป็นปกติ ซึ่
อาหารที่เป็นมิตรกับไตมีดังนี้
1. หัวหอม หัวหอมช่วยให้ไตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยสร้างความสมดุล ในหัวหอมประกอบไปด้วยสารฟลาโวนอยด์และเควอซิทินที่ช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือด หวยออน��ลน์ เควอซิทินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและมะเร็งได้ และนอกจากนี้หัวหอมยังเป็นมิตรกับไตเพราะมีโพแทสเซียมต่ำ และยังมีโครเมียมที่ช่วยเผาผลาญไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตได้อีกด้วย
2. กะหล่ำดอก กะหล่ำดอกถือ��ป็นพืชตระกูลกะหล่ำและจัดเป็น superfood ที่เป็นมิตรกับไต เพราะกะหล่ำดอกเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี โฟเลตและไฟเบอร์ นอกจากนี้ยังมีสารประกอบที่มีความสำคัญต่อตับและช่วยแก้พิษในร่างกายได้
3. กะหล่ำปลี กะหล่ำปลีเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ และเป็นผักที่อุดมไปด้วยไฟโตเคมิคอลค่ะ หนึ่งในไฟโตเคมิคอลสำคัญก็คือสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในนั้น ซึ่งสามารถช่วยขจัดอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายในร่างกาย หวย 789 ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด และความผิดปกติของไต
4. พริกหยวกแดง พริกหยวกแดงดีต่อสุขภาพไตเพราะมีโพแทสเซียมต่ำ นอกจากนี้ยังมีวิตามินซี วิตามินบี6 วิตามินเอ กรดโฟลิกและไฟเบอร์ พริกหยวกแดงยังมีสารต้านอนุมูลอิสระและไลโคปีนที่ป้องกันมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย
5. แอปเปิ้ล แอปเปิ้ลเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ และยังมีคุณสมบัติในการช่วยต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน โดยเฉพาะโรคเบาหวานค่ะ เนื่องจากโรคนี้มีความเกี่ยวข้องกับภาวะไตวาย การบริโภคแอปเปิ้ลสามารถช่วยปกป้องเราจากปัญหาไตได้
6. ราสเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่มีกรดเอลลาจิกที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ รวมถึงยังดีต่อผู้ป่วยโรคไตที่ต้องรับการฟอกไตและปลูกถ่ายไตอีกด้วย สีแดงในผลเบอร์รี่เหล่านี้มีสารแอนโธไซยานิน เว็บ 789bet และยังเป็นแหล่งใยอาหารที่ดี มีวิตามินซี แมงกานีส และโฟเลตสูง ราสเบอร์รี่ยังช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย
7. องุ่นแดง องุ่นแดงเต็มไปด้วยสารประกอบโพลีฟีนอลตามธรรมชาติที่เรียกว่า เรสเวอราทรอล ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เช่น ช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจ ช่วยปกป้องไต ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของไต เช่น การบาดเจ็บจากการขาดเลือด การบาดเจ็บจากยา ภาวะไตจากเบาหวาน เป็นต้น
0 notes
Text
ผักและผลไม้ที่มีคอลลาเจนเหมาะสำหรับบำรุงผิว
โปรโมทชั่น 123 เชื่อว่าคงไม่มีสาวๆ คนไหนที่ไม่รู้จักคอลลาเจน และหลายคนก็น่าจะรู้จักคอลลาเจนในแง่ของการบำรุงผิวให้สวยสดใสเปล่งปลั่งเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว คอลลาเจนคือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบหลักของผิวพรรณ ทำหน้าที่เพิ่มความเรียบเนียนให้กับผิว ทำให้ผิวพรรณมีความเต่งตึงขึ้น นอกจากนี้ คอลลาเจนยังมีอยู่ในกระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็น เส้นผม และฟัน แต่เมื่อคนเราอายุมากขึ้นร่างกายกลับผลิตคลอลาเจนออกมาน้อยลง ทำให้เกิดปัญหาผิวพรรณมากมาย เช่น ผิวพรรณหมองคล้ำ และเกิดริ้วรอยต่างๆ แต่คุณสามารถเติมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยการเลือกทานอาหารที่อุดมไปด้วยคอลลาเจน ซึ่งวันนี้เราก็มีอาหารที่มีคอลลาเจนมาแนะนำให้สาวๆ ได้ทานกันดังนี้แล้วค่ะ
1.แตงกวา คือ หนึ่งในผักที่สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายอย่าง ในแตงกวาอุดมไปด้วยกำมะถันที่มีส่วนสำคัญในการใช้สร้างคอลลาเจน นอกจากนี้ ยังช่วยรักษาปัญหาผิวอื่นๆ เช่น รอยแดงจากสิว รอยดำ ริ้วรอย และลดปัญหาสิวอุดตันลงได้
2.ผักผลไม้สีแดง ผักหรือผลไม้ที่มีสีแดง ล้วนอุดมไปด้วยไลโคปีนซึ่งถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นสตรอว์เบอร์รี่ แอปเปิ้ล เชอร์รี่ เบอร์รี่ มันฝรั่งแดง และมะเขือเทศ ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่มและขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
3.กะหล่ำปลี ผักชนิดนี้มีสารที่เรียกว่า ลูติน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจน นอกจากนี้ ยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 6 แมงกานีส โฟเลท แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม และธาตุเหล็ก
4.แครอท ผักสีส้มซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินเอที่มีประโยชน์ต่อสายตาและยังกระตุ้นร่างกายให้ผลิตคอลลาเจนมากขึ้น 123bet นอกจากนี้ ยังช่วยปรับสมดุลของอีลาสติน ทำให้ผิวไม่แห้งเกินไป ไม่เพียงเท่านั้น ในแครอทยังมีสารฟอลคารินอลที่ช่วยต่อต้านเซลล์มะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย
5.ถั่วและธัญพืช อาหารชนิดนี้อุดมไปด้วยไฮยาลูโรนิคที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น และเพิ่มการผลิตคอลลาเจนให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี
6.ถั่วเหลือง ไม่ว่าจะเป็นนมถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้ หรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองทุกชนิด ถือเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า ไอโซฟลาโวน โดยมีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างคอลลาเจนให้กับร่างกาย อีกทั้งยังอุดมไปด้วยโปรตีนที่ช่วยในการซ่อมแซมผิวพรรณให้แข็งแรงขึ้น
7.ส้มและมะนาว อุดมไปด้วยวิตามินซีที่มีส่วนช่วยในการผลิตคอลลาเจน ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ แก้ปัญหาผิวไหม้ และช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิวได้เป็นอย่างดี
8.น้ำมันอะโวคาโด ภายในอะโวคาโดนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ อี ดี กรดลิโนเลอิก กรดโอเลอิก ไฟโตสเตอรอล และ���ลซิติน เมื่อสกัดมาเป็นน้ำมัน ก็จะยิ่งซึมซาบเข้าสู่ผิวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ติดต่อ 123 เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับ 8 อาหารที่มีคอลลาเจนจากธรรมชาติ ใครที่อยากผิวพรรณสวยอ่อนเยาว์เปล่งปลั่ง สามารถชะลอริ้วรอยความเหี่ยวย่นได้ จากนี้เปลี่ยนจากการกินอาหารเสริมคอลลาเจนแพงๆ มาเป็นการรับคอลลาเจนจากอาหารที่มีประโยชน์ใกล้ตัวแทนจะดีกว่า รับรองว่านอกจากจะเสริมผิวสวยจากภายในได้แล้ว ยังดีต่อสุขภาพร่างกายอย่างเต็มๆ อีกด้วยค่ะ
0 notes
Text
🍝🍳🥬 วุ้นเส้นผัดไข่ใส่ 🍅🥬🥚
• ส่วนผสม:
- วุ้นเส้น 100 กรัม (แช่น้ำให้นุ่ม)
- ���ข่ไก่ 2 ฟอง
- กะหล่ำปลี 100 กรัม (หั่นเป็นชิ้นเล็ก)
- มะเขือเทศ 1 ลูก (หั่นเสี้ยว)
- กระเทียมสับ 2 กลีบ
- ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
- ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลา 1 ช้อนชา
- น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
- น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
- ต้นหอมซอย (สำหรับโรยหน้า)
• วิธีทำ:
1. **เตรียมวุ้นเส้น:**
- แช่วุ้นเส้นในน้ำจนนุ่ม จากนั้นสะเด็ดน้ำ พักไว้
2. **ผัดไข่:**
- ตั้งกระทะบนไฟกลาง ใส่น้ำมันพืชลงไป รอจนร้อนแล้วใส่กระเทียมสับ ผัดจนหอม
- ตอกไข่ไก่ลงไปในกระทะ ยีไข่ให้แตกและผัดจนเริ่มสุก
3. **ใส่กะหล่ำปลีและมะเขือเทศ:**
- ใส่กะหล่ำปลีและมะเขือเทศลงไปผัดต่อให้กะหล่ำปลีเริ่มนุ่ม
4. **ใส่วุ้นเส้นและปรุงรส:**
- ใส่วุ้นเส้นที่เตรียมไว้ลงในกระทะ ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม น้ำปลา และน้ำตาลทราย
- ผัดให้ทุกอย่างเข้ากันดี
5. **เสิร์ฟ:**
- ตักวุ้นเส้นผัดไข่ใส่จาน โรยต้นหอมซอย พร้อมเสิร์ฟ
2 notes
·
View notes
Text
ผัก 6 ชนิดที่มีคาร์โบไฮเดรต คนลดน้ำหนักควรทาน
ในปัจจุบันใครหลายๆคนต่างหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลรูปร่างของตนเองมากยิ่งขึ้น ในส่วนของคนที่รู้สึกว่ารูปร่างตนเองนั้นอ้วนมากจนเกินไป จึงหันมาทำ การลดน้ำหนัก ซึ่ง การลดน้ำหนัก นั้นก็มีอยู่หลากหลายวิธี ซึ่งหนึ่งใน การลดน้ำหนัก นั้นก็คือการงดทานแป้ง หรือทานแป้งในปริมาณที่น้อยลง และบางคนก็ต้องการที่จะทานคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่น้อย 789bet กีฬา ในวันนี้ทางบทความของเราจึงจะพาผู้อ่านมารู้จักกับ ผักที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรต ที่เราสามารถนำมาทานแทนข้าวได้ ที่เหมาะสำหรับคนกำลังลดน้ำหนัก นั้นนำมาทานแทนข้าวได้ ซึ่งจะทำให้คนที่ลดน้ำหนักนั้นได้รับคาร์โบไฮเดรตให้แก่ร่างกายอยู่บ้างและให้ร่างกายนั้นได้ดึงเอาส่วนที่สะสมในร่างกายออกมาใช้ ซึ่งอาหารผักที่เรานำมาเสนอให้ผู้อ่านได้เรียนรู้กันก็มีดังต่อไปนี้
- กะหล่ำปลี ซึ่งมีแคลอรี่และคาร์โบไฮเดรตที่ต่ำ แต่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่ดีต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม วิตามินซี วิตามินอี วิตามิน���อ พร้อมด้วยไฟเบอร์และโปรตีน เป็นผักที่สามารถกินแทนข้าวได้ เหมาะสำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนัก ที่สำคัญกะหล่ำปลียังอาจมีส่วนช่วยป้องกันคอเลสเตอรอลสูง ปัญหาเกี่ยวกับตับ อาการตับอ่อนอักเสบ รวมถึงโรคหัวใจได้อีกด้วย
- กะหล่ำดอก ซึ่งหลายๆ คนคงเคยเห็นหลายๆ เมนูลดน้ำหนัก ที่ใช้ดอกกะหล่ำแทนข้าวแล้ว ต้องบอกเลยว่าเป็นผักอีกหนึ่งชนิดที่สามารถกินแทนข้าวได้ดีทีเดียว สมัครสมาชิก 789bet ซึ่งกะหล่ำดอกนั้นมีแคลอรี่และคาร์โบไฮเดรตที่ต่ำ เหมาะสำหรับคนที่ลดน้ำหนักแบบโลว์คาร์บหรือคีโตเป็นอย่างมาก แถมกะหล่ำดอกก็ยังอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินบี 6 ไฟเบอร์ และแมกนีเซียมที่ดีต่อร่างกายอีกด้วย
- บรอกโคลี ถือเป็นผักอีกหนึ่งชนิดที่สามารถกินแทนข้าวได้ อีกทั้งบรอกโคลีก็ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี วิตามินเค วิตามินบี โฟเลต แคลเซียม แมกนีเซียม พร้อมด้วยไฟเบอร์ที่ดีต่อร่างกาย
- มันเทศ ซึ่งเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตที่ดีไม่แพ้ข้าวเลยก็ว่าได้ค่ะ อีกทั้งยังมีโครนิวเทรียนท์ ไฟเบอร์ วิตามินและแร่ธาตุ อย่างเช่นวิตามินซีและเบต้าแคโรทีนที่จัดเป็นโปรวิตามินเอ นอกจากนั้นมันเทศก็ยังมีโปรตีน สามารถกินแทนข้าวได้ กินแล้วดีต่อ สุขภาพ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด พร้อมช่วยป้องกันมะเร็งได้อีกด้วย
- มันฝรั่ง ในมันฝรั่งนั้นมีทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีนและไฟเบอร์ จึงทำให้สามารถกินแทนข้าวได้ กินแล้วดีต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง ลดระดับคอเลสเตอรอล และสร้างสมดุลน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี
- ซูกินี่ ในซูกินี่นั้นอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ไฟเบอร์ และวิตามินซี ที่ดีต่อร่างกาย อีกทั้งยังมีแคลอรี่ที่ต่ำ เหมาะสำหรับ คนที่ลดน้ำหนัก ติดต่อเรา 789bet และกำลังมองหาผักที่สามารถกินแทนข้าวได้ ซูกินี่ถือเป็นผักอีกหนึ่งชนิดที่แนะนำเลย เพราะนอกจากจะแคลต่ำแล้ว ยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายอีกด้วย
#ติดต่อเรา 789bet#สมัครสมาชิก 789bet#789bet กีฬา#การลดน้ำหนัก#ผักที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรต#เมนูลดน้ำหนัก
0 notes
Text
แกงส้มกุ้งผักรวมกุ้งสดกันค่าาา
อันดับแรกมาดูวัตถุดิบและวิธีการทำกันก่อนนะคะ
วัตถุดิบมีดังนี้ค่าา
พริกแกงส้ม 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 3-4 ถ้วยตวง
กุ้งสด 5 ตัว
น้ำมะขามเปียกข้น ๆ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
ผักรวม เช่น แครอท ข้าวโพดอ่อน กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว อย่างละ ¼ ถ้วยตวต่อไปมาดูวิธีการทำกันนะคะ
ตั้งน้ำสะอาดจนเดือด เติมพริกแกงส้มลงไป คนให้ละลายเข้ากันดี ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และน้ำปลา ต้มต่อสักครู่
ใส่ผักแข็งลงไปก่อน เช่น แครอท ข้าวโพดอ่อน ถั่วฝักยาว และตามด้วยกะหล่ำปลี ต้มจนผักสุก จากนั้นใส่กุ้งลงไป
พอกุ้งสุกดีก็ปิดไฟ ตักใส่ถ้วยสำหรับจัดเสิร์ฟได้เลย
ขอบคุณภาพจาก /www.wongnai
0 notes
Text
อาหาร 5 หมู่ คุณค่าทางโภชนาการที่จำเป็นต่อร่างกาย
ซึ่งจะแบ่งประเภทตามสารอาหารที่มีเหมือนกันออกเป็น 5 หมวดหมู่ ประกอบด้วย
หมู่ที่ 1 ประเภทโปรตีน คือสารอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ นม ไข่
หมู่ที่ 2 ประเภทคาร์โบไฮเดรต คือสารอาหารจำพวกข้าว แป้ง น้ำตาล
หมู่ที่ 3 ประเภทเกลือแร่หรือแร่ธาตุ คือสารอาหารจำพวกพืช ผักชนิดต่างๆ
หมู่ที่ 4 ประเภทวิตามิน คือสารอาหารจำพวกผลไม้ต่างๆ
หมู่ที่ 5 ประเภทไขมัน คือสารอาหารจำพวกไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์
โดยแต่ละมื้อของอาหารจะต้องทานอย่างถูกต้อง ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายสามารถนำไปใช้เสริมสร้างการเจริญเติบโต อีกทั้งช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายสมบูรณ์และแข็งแรง
โปรตีน
• แหล่งอาหารประเภทโปรตีน พบได้ในสารอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว และนม เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อปลา เครื่องในสัตว์ ไข่ไก่ ถั่วเหลือง เต้าหู้ นมวัว นมแพะ ซึ่งจะช่วยเน้นให้ร่างกายเจริญเติบโต สมบูรณ์แข็งแรง
• ประโยชน์ของโปรตีน สารอาหารหมู่นี้จะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต เสริมสร้างความแข็งแรง ป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดอาการเจ็บป่วยง่าย ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เสริมสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อของอวัยวะ ควบคุมการทำงานของระบบทางเดินหายใจระบบย่อยอาหาร และระบบการดูดซึมของร่างกาย
• ปริมาณโปรตีนที่จำเป็นต่อวัน ควรทานโปรตีนประมาณ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
คาร์โบไฮเดรต
• แหล่งอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต พบได้ในสารอาหารจำพวกข้าว แป้ง น้ำตาล มัน และเผือก เช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวโพด แป้งมันสำปะหลัง แป้งจากเส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นขนมจีน น้ำตาลทราย น้ำตาลอ้อย น้ำตาลมะพร้าว น้ำผึ้ง หัวเผือก มันเทศ ซึ่งจะช่วยเน้นให้พลังงานและให้ความอบอุ่นกับร่างกาย
• ประโยชน์ของคาร์โบไฮเดรต สารอาหารหมู่นี้จะช่วยให้พลังงานเพื่อที่ร่างกาย���ะนำไปใช้ทำกิจกรรมในแต่ละวันได้เพียงพอ มีส่วนช่วยเผาผลาญไขมันไปเป็นพลังงาน เสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทและสมอง อีกทั้งมีสารอนุพันธุ์ของกลูโคส หรือกรดกลูคูโรนิก ที่ช่วยขับสารพิษในตับให้ลดลง และช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกาย
• ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่จำเป็นต่อวัน ควรทานคาร์โบไฮเดรตอยู่ที่ 3 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือน้อยกว่านั้นในผู้ที่ลดน้ำหนัก
• ข้อควรรู้เกี่ยวกับคาร์โบไฮเดรต เมื่อรับประทานสารอาหารจำพวกนี้ในปริมาณที่มากเกินความต้องการของร่างกาย จะทำให้เกิดปฏิกิริยาที่ร่างกายเปลี่ยนสารอาหารไปเป็นไขมันแทน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอ้วน
ไขมัน
• แหล่งอาหารประเภทไขมัน พบได้ในสารอาหารจำพวกไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ซึ่งไขมันจากสัตว์มักเป็นไขมันอิ่มตัว รวมถึงไขมันที่แฝงอยู่ในเนื้อสัตว์ เช่น น้ำมันจากหมู ไก่ เนื้อ ไข่แดง และถั่วชนิดต่างๆ ส่วนไขมันจากพืชมักเป็นไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะพร้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก น้ำมันข้าวโพด น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน ซึ่งจะช่วยเน้นให้เกิดการสะสมพลังงานและเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย
• ประโยชน์ของไขมัน สารอาหารหมู่นี้จะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยสะสมไขมันจากสารอาหารเอาไว้ใต้ผิวหนัง เช่น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง สะโพก ซึ่งการสะสมไขมันนี้จะช่วยเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกาย เมื่อร่างกายขาดพลังงาน ไขมันที่ถูกสะสมไว้ตามบริเวณต่างๆ ก็จะถูกนำออกมาใช้ทดแทน
• ปริมาณไขมันที่จำเป็นต่อวัน จะต้องไม่เกิน 30% ของพลังงานที่ร่างกายต้องการต่อวัน หรือประมาณ 5-9 ช้อนชาต่อวัน
• ข้อควรรู้เกี่ยวกับไขมัน หากร่างกายขาดกรดไขมัน ก็จะทำให้ผิวพรรณไม่ผ่องใส ไม่เรียบเนียน ผิวไม่อิ่มน้ำ เพราะกรดไขมันมีส่วนช่วยให้ผิวแข็งแรง ชุ่มชื้น สดใสดูสุขภาพดี
เกลือแร่และแร่ธาตุ
• แหล่งอาหารประเภทเกลือแร่และแร่ธาตุ พบได้ในสารอาหารจำพวกผักชนิดต่างๆ เช่น ผักตำลึง ผักกาด ผักบุ้ง ผักคะน้า ฟักทอง กะหล่ำปลี แตงกวา ซึ่งจะช่วยเน้นการเสริมภูมิต้านทานให้ร่างกาย โดยแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการมี 18 ชนิด แต่ที่เป็นตัวหลักมี 7 ชนิด คือ แคลเซียม ไอโอดีน แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ซีลีเนียม เหล็ก และสังกะสี
• ประโยชน์ของเกลือแร่และแร่ธาตุ สารอาหารหมู่นี้จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกัน สามารถป้องกันเชื้อโรค ไวรัส และแบคทีเรียต่างๆ ที่จะเข้ามาทำลายร่างกาย พร้อมทั้งช่วยบำรุงดวงตา ช่วยให้มองเห็นชัดเจนแม้ในที่มืด เสริมสร้างเซลล์ของระบบประสาท ไขข้อ กระดูก และระบบการย่อยอาหาร กระตุ้นให้เกิดการขับถ่ายที่ดี เนื่องจากผักแต่ละชนิดมีกากใยสูง สามารถกำจัดของเสียออกจากลำไส้ได้
• ปริมาณเกลือแร่และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อวัน แตกต่างกันไปในแต่ละประเภท เช่น แคลเซียม 800 มิลลิกรัม ไอโอดีน 150 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 350 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 800 มิลลิกรัม ซีลีเนียม 70 มิลลิกรัม เหล็ก 15 มิลลิกรัม และสังกะสี 15 มิลลิกรัม
วิตามิน
• แหล่งอาหารประเภทวิตามิน พบได้ในสารอาหารจำพวกผลไม้ชนิดต่างๆ เช่น กล้วย ส้ม แอปเปิ้ล ฝรั่ง สับปะรด มะละกอ ลำไย มังคุด ซึ่งจะช่วยเน้นในเรื่องการขับถ่ายของลำไส้
• ประโยชน์ของวิตามิน สารอาหารหมู่นี้มีคุณประโยชน์คล้ายกับหมู่ 3 เพราะให้เกลือแร่และแร่ธาตุ รวมถึงวิตามินต่างๆ โดยประโยชน์ของวิตามิน ดังนี้
วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา กระดูก ฟัน เหงือก
วิตามินบี ประโยชน์หลากหลายแล้วแต่ชนิด เช่น วิตามินบี 1 บำรุงประสาท วิตามินบี 2 บำรุงผิวพรรณ
วิตามินซี ป้องกัน���วัด เลือดออกตามไรฟัน ชะลอวัย
วิตามินดี เสริมแคลเซียมและฟอสฟอรัส จำเป็นต่อกระดูก
วิตามินอี ลดความเสื่อมของเซลล์
วิตามินเค ช่วยสร้างลิ่มเลือด ป้องกันกระดูกเปราะ
• ปริมาณวิตามินที่จำเป็นต่อวัน สัดส่วนไม่เท่ากัน ดังนี้ วิตามินเอ 800 ไมโครกรัม วิตามินบีแล้วแต่ชนิด วิตามินซี 60 มิลลิกรัม วิตามินดี 5 ไมโครกรัม วิตามินอี 10 มิลลิกรัม วิตามินเค 80 ไมโครกรัม
1 note
·
View note
Text
ผักผลไม้ดียังไงน้าาาา🥗🍇
ผักและผลไม้
ขึ้นชื่อว่าผักและผลไม้ถือได้ว่ามีประโยชน์มากมายกับร่างกายของเรา เพราะเป็นแหล่งสะสมของวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดและมีคุณสมบัติเป็นแหล่งใยอาหารซึ่งจะเป็นสารที่ช่วยลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลและไขมัน อีกทั้งยังช่วยทำให้ระบบการย่อย รวมถึงระบบการขับถ่ายทำงานได้ดีอีกด้วย นอกจากนี้ผักและผลไม้บางชนิดยังมีสารพิเศษที่ช่วยทำหน้าที่ช่วยป้องกันและรักษาโรคบางชนิดได้อีกด้วย
ประโยชน์ของผักผลไม้
ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงมีอายุยืนยาว และมีส่วนช่วยในการเจริญเติบโต
การรับประทาน��ักผลไม้ก็ทำให้ผิวพรรณของคุณดูสวยงามขึ้นได้ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตของผิว ทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผิวดูมีสุขภาพดีและเรียบเนียน อีกทั้งยังช่วยในการสังเคราะห์คอลาเจนในเซลล์ จึงช่วยทำให้ผิวแน่นและยืดหยุ่น เต่งตึง ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร
ช่วยบำรุงสายตา ผักผลไม้บางชนิดจะมีสารอาหารประเภทลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) เป็นสารอาหารที่บำรุงสายตา โดยส่วนมากจะพบในผักผลไม้ประเภท แครอท ฟักทอง ผักบุ้ง ผักคะน้า ตำลึง มะละกอ มะม่วงสุก เป็นต้น
ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายสามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ และช่วยป้องกันโรคท้องผูก
มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นตัวช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่าง ๆ รวมไปถึงโรคมะเร็ง (โดยเฉพาะโรคมะเร็งลำไส้)
ช่วยบำรุงสุขภาพและป้องกันความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายทั้งภายในและภายนอก
ผักผลไม้บางชนิดสามารถใช้เป็นยาสมุนไพรเพื่อป้องกันและใช้รักษาโรคบางชนิดเบื้องต้นได้อีกด้วย เช่น ไข้หวัด ร้อนใน โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เหน็บชา เป็นต้น
ช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี เช่น กล้วย แอปเปิ้ล มะละกอ ผักสลัด ถั่ว อะโวคาโด เป็นต้น
สามารถช่วยพัฒนาสมอง เสริมสร้างความจำ ได้เป็นอย่างดี มักจะพบได้ในอาหารจำพวกผักใบเขียว ผลไม้ และธัญพืชต่าง
ผักผลไม้ กินเท่าไหร่ถึงเรียกว่าเพียงพอ
ผัก และผลไม้ เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ วิตามิน ใยอาหาร และ พฤกษเคมีมากมาย จึงทำให้ผัก และผลไม้เป็นตัวเลือกที่ถูกแนะนำให้กินให้ได้ตามสัดส่วน ซึ่งการกินผัก และผลไม้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรเลือกกินผัก และผลไม้ให้หลากหลายชนิด สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เพื่อให้คุณค่าสารอาหาร แร่ธาตุ วิตามิน พฤกษเคมี และ ใยอาหารจากผัก และผลไม้อย่างครบถ้วน
สำหรับผู้ใหญ่ แนะนำให้กินผักให้ได้วันละ 6 ทัพพี (ผักที่ปรุงสุก จะมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 50 กรัม ต่อ 1 ทัพพี) และ กินผลไม้ 2-3 ส่วน ต่อวัน (ผลไม้ 1 ส่วนจะมีน้ำหนักประมาณ 80-100 กรัม) ซึ่งการปฏิบัติตามสัดส่วนนี้ จะทำให้เราสามารถกินผัก และผลไม้ได้ตามปริมาณที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ คือที่ 400 กรัมต่อคนต่อวัน
ดูผักที่ ไฟเบอร์ (ใยอาหาร) V1-V4
กลุ่ม V1 มีใยอาหารน้อย (ให้ใยอาหารประมาณ 0.5-1 กรัมต่อ 1 ทัพพี) เป็นผักใบที่มีความนิ่ม หรือ กรุบกรอบ เป็นผักที่มีส่วนประกอบเป็นน้ำอยู่มาก เช่น ผักสลัดชนิดต่างๆ กวางตุ้ง ตำลึง คะน้า กะหล่ำปลี ผักหวาน ��ตงกวา และ บวบ
กลุ่ม V2 มีใยอาหารปานกลาง (ให้ใยอาหารประมาณ 2 กรัมต่อ 1 ทัพพี) เป็นผักที่มีเนื้อสัมผัสค่อนข้างแข็ง ใช้เวลาเคี้ยวปานกลาง เช่น มะเขือเปราะ กุยช่าย ยอดสะเดา ใบยอ ใบขี้เหล็ก มะระ และ หัวปลี
กลุ่ม V3 มีใยอาหารสูง (ให้ใยอาหารประมาณ 3 กรัมต่อ 1 ทัพพี) เป็นผักที่มีความเหนียว เคี้ยวยาก เช่น แครอท ผักกูด ดอกแค ขนุนอ่อน หน่อไม้ป่า ยอดฟักข้าว เมล็ดกระถิน และ เห็ดหูหนู
กลุ่ม V4 มีใยอาหารสูงมาก (ให้ใยอาหารประมาณ 4 กรัมต่อ 1 ทัพพี) เป็นผักที่มีเนื้อแข็ง และเหนียว เคี้ยวยาก เช่น มะเขือพวง ฝักสะเดา ถั่ว และ ธัญพืช
ผลไม้ต้องเลือกที่มีไฟเบอร์ และ น้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสม
เนื่องจากในผลไม้มีน้ำตาลตามธรรมชาติ จึงควรให้ความสำคัญในการเลือกชนิดของผลไม้ โดยดูที่ปริมาณใยอาหาร และปริมาณน้ำตาลควบคู่กันไป โดยเฉพาะ ผู้ที่ลดน้ำหนัก หรือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องควบคุมระดับน้ำตาล ควรเลือกทานผลไม้ที่มีกากใยสูง แต่มีปริมาณน้ำตาลไม่สูงมาก เช่น แตงโม ฝรั่ง ชมพู่ แก้วมังกร กีวี่ และ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ
0 notes
Text
อาหารบำรุงไต ดีต่อไต ห่างไกลโรค
การรับประทานอาหารบำรุงไตเป็นวิธีที่จะช่วยดูแลไตให้แข็งแรงและช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไต เนื่องจากไตเป็นอวัยวะสำคัญที่มีหน้าที่กรองและขับของเสียออกจากร่างกายเพื่อช่วยรักษาสมดุลของน้ำและแร่ธาตุภายในร่างกาย คาสิโน igoal ถ้าไตทำงานไม่สมบูรณ์ของเหลวในร่างกายจะเกิดความไม่สมดุลและอาจทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา เช่น โรคไตวายเรื้อรัง โรคไตวายเฉียบพลัน
อาหารบำรุงไตที่หาได้ง่ายรอบตัวคุณ
อาหารที่เป็นมิตรต่อไตควรมีโซเดียม คอเลสเตอรอล และไขมันในปริมาณที่ต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่จะพบได้ในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ผัก และผลไม้สด ตัวอย่างอาหารบำรุงไตที่หารับประทานได้ง่าย เช่น
ปลาทะเล ปลาทะเลอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega 3) ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่จำเป็นต่อระบบการทำงานของร่างกายแต่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากการรับประทานอาหาร โดยปลาทะเลที่มีโอเมก้า 3 สูงและสามารถหาได้ง่าย เช่น ปลากะพงขาว ปลาทู ปลาทูน่า และปลาแซลมอน
อกไก่ไร้หนัง เ��ื้อไก่เป็นโปรตีนที่มีไขมันน้อยโดยเฉพาะเนื้อส่วนอกที่ไม่มีหนัง อกไก่ไร้หนังประกอบด้วยฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และโซเดียมในปริมาณที่น้อยกว่าอกไก่ติดหนัง การรับประทานอกไก่ไร้หนังจึงทำให้ร่างกายได้รับโปรตีน ไขมัน และสารอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่เหมาะสม และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพมากกว่าการรับประทานเนื้อสัตว์ชนิดอื่นที่มีไขมันมาก
ผักตระกูลกะหล่ำ ผักตระกูลกะหล่ำอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินบี วิตามินเค และมีใยอาหารสูง แต่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมในปริมาณที่ต่ำ igoal กีฬา ซึ่งเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการบำรุงสุขภาพไตให้ห่างไกลจากโรค ผักตระกูลกะหล่ำที่แนะนำให้รับประทาน เช่น กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี บร็อคโคลี่ และผักเคล แต่บร็อคโคลี่ควรรับประทานแบบดิบเนื่องจากบร็อคโคลี่ที่ปรุงสุกจะมีปริมาณโพแทสเซียมมากกว่า
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซี ไฟเบอร์ และแร่ธาตุอื่น ๆ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากนั้น ผลไม้ชนิดนี้ก็ยังมีปริมาณโพแทสเซียมที่ต่ำ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เป็นมิตรกับสุขภาพไตอีกด้วย ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่แนะนำให้รับประทาน เช่น สตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และแครนเบอร์รี่
น้ำมันมะกอก น้ำมันมะกอกเป็นไขมันประเภทไม่อิ่มตัวซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ การเลือกรับประทานน้ำมันมะกอกแทนน้ำมันชนิดอื่นอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงที่อาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรคไตตามมาได้
ทิปเพิ่มเติมเพื่อบำรุงไตที่ทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง
นอกจากการรับประทานอาหารบำรุงไตแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่อาจทำร้ายไตก็มีส่วนช่วยให้เราห่างไกลจากโรคไตได้เช่นเดียวกัน ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้ ดื่มน้ำวันละ 6–8 แก้วเพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกายและทำให้ไตทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ จำกัดปริมาณการบริโภคเกลือและน้ำตาลต่อวัน โดยควรบริโภคเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชา และน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารกระป๋อง และอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว เนื้อสัตว์แปรรูป เนื่องจากสามารถส่งผลเสียต่อไตได้ ทำอาหารเองและหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารพร้อมทานจากร้านสะดวกซื้อ เนื่องจากการทำอาหารเองจะสามารถควบคุมคุณภาพวัตถุดิบและจำกัดปริมาณเครื่องปรุงได้ ตรวจสอบข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหารก่อนเสมอ รวมถึงเน้นเลือกวัตถุดิบที่ระบุว่าเป็นสูตรโซเดียมต่ำหรือไม่มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตวาย
0 notes