Don't wanna be here? Send us removal request.
Text
'วันขอบคุณพระเจ้า' (Thanksgiving Day) สำคัญอย่างไร ทำไมต้องฉลอง
'วันขอบคุณพระเจ้า' (Thanksgiving Day) สำคัญอย่างไร ทำไมต้องฉลอง
วันขอบคุณพระเจ้า เป็นวันที่คนอเมริกันรำลึกขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ช่วยให้ผู้อพยพที่มาตั้งรกรากในอเมริกาชุดแรก รอดชีวิตมาได้เมื่อเกือบสี่ร้อยปีที่แล้ว คนอเมริกันทั่วประเทศร่วมฉลองวันสำคัญนี้ ซึ่งกำหนดให้มีขึ้นในวันพฤหัสบดีที่สี่ของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
เรามาทำความรู้จัก ‘วันขอบคุณพระเจ้า’ หรือ ‘Thanksgiving Day’ (ซึ่งปีนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 28 พ.ย. 2024) ไปด้วยกัน เริ่มด้วยประวัติความเป็นมาของวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งเริ่มต้นขึ้นมาจากต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 หรือเมื่อเกือบ 400 ปีก่อน
ในช่วงเวลานั้น คณะนักจาริกแสวงบุญที่เรียกกันว่า พวกพิลกริม (pilgrims) นิกายศาสนาบริสุทธิ์ หรือ Puritanism ได้ออกเดินทางจากอังกฤษโดยเรือเมย์ฟลาวเออร์ (Mayflower) มาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่ปัจจุบันเป็นเมืองพลีมัธ (Plymouth) ในมลรัฐแมสซาชูเสตส์ (Massachusetts) ของสหรัฐอเมริกา
การเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนใหม่ที่หนาวเย็นไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาต้องเผชิญกับความอดอยาก โรคภัยไข้เจ็บและภูมิอากาศที่เหน็บหนาว ดังนั้น เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีรุ่งขึ้นของการเข้ามาตั้งถิ่นฐาน (ตรงกับปี ค.ศ. 1621 หรือ พ.ศ. 2164) ซึ่งเท่ากับครบรอบ 1 ปีที่พวกเขารอดชีวิตมาได้ เมื่อเก็บเกี่ยวพืชผลแล้ว พวกพิลกริมส์เหล่านี้ จึงจัดให้มีงานเลี้ยงฉลองขอบคุณพระเจ้า โดยพวกเขาได้เชิญชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองมาร่วมด้วย เนื่องจากชาวอินเดียนแดงเหล่านี้ เป็นผู้สอนพวกเขาให้ทำการเพาะปลูกข้าวโพดและพืชผลพื้นเมืองอื่นๆ ไว้เป็นอาหารประทังชีวิต
อาหารในงานเลี้ยงครั้งนั้น ประกอบด้วยสิ่งที่พวกเขามีอยู่ในท้องถิ่น ได้แก่ ไก่งวงป่า เป็ด ห่าน ปลาค้อด และกวาง ดังนั้น ‘ไก่งวง’ จึงกลายมาเป็นอาหารสัญลักษณ์ของวันขอบคุณพระเจ้าตราบจนทุกวันนี้
ในอดีต วันขอบคุณพระเจ้าไม่ได้เป็นวันหยุดที่มีการฉลองกันทั่วประเทศ จนกระทั่งนางซาราห์ โจเซฟา เฮล (Sarah Josepha Hale) บรรณาธิการนิตยสารสตรี Godey's Lady's Book ได้ออกมารณรงค์ต่อรัฐสภาสหรัฐ ดังนั้น ในปี ค.ศ. 1863 (พ.ศ. 2406) ประธานาธิบดีลินคอล์นจึงได้ประกาศให้วันขอบคุณพระเจ้าเป็นวันหยุดทั่วประเทศสหรัฐ และสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้
โดยหน่วยงานรัฐบาลจะปิดทำการทั้งในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ที่สี่ของเดือนพฤศจิกายน จากนั้นจึงจะเปิดทำการกันอีกครั้งก็ในวันจันทร์ถัดมา
วันขอบคุณพระเจ้าถือเป็นวันที่สมาชิกในครอบครัวที่แยกย้ายกันออกไปอยู่ตามมลรัฐต่างๆ จะพยายามเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านกันเพื่อใช้เวลากับครอบครัวและรับประทานอาหารร่วมกัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ช่วงวันขอบคุณพระเจ้านี้ มีคนเดินทางกันแน่นขนัดที่สุดในรอบปีของสหรัฐอเมริกา
youtube
youtube
ธรรมเนียมเกี่ยวกับอาหารวันขอบคุณพระเจ้า
ชาวอเมริกันจะอบไก่งวงที่มีเครื่องยัดไส้ ประกอบด้วย ขนมปังหั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ เห็ด คึ่นฉ่ายฝรั่ง หอมใหญ่ และเครื่องเทศ อาหารเคียงคือมันเทศอบ และซอสแครนเบอร์รี ตบท้ายด้วยของหวาน ที่มักจะได้แก่ พายฟักทองหรือพายแอปเปิล
สถิติจากสมาพันธ์ไก่งวงแห่งชาติ ระบุว่า 88% ของครอบครัวคนอเมริกัน มีไก่งวงเป็นส่วนหนึ่งของอาหารในวันขอบคุณพระเจ้า โดยเมื่อปี 2564 มีไก่งวงที่กลายเป็นอาหารของคนอเมริกันในเทศกาลนี้ จำนวนกว่า 40 ล้านตัว!
สำนักข่าววีโอเอ สื่อใหญ่ของสหรัฐ รายงานว่า สำหรับคนอเมริกันส่วนใหญ่ เมื่อพูดถึงเทศกาลของคุณพระเจ้า นี่คือวาระโอกาสของการรับประทานอาหารร่วมกับครอบครัว นอกจากนี้ ยังหมายถึงการชมการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลร่วมกัน และชมขบวนพาเหรดวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งอาจจะจบด้วยการชอปปิ้งในช่วงเย็น ต่อเนื่องจนถึงวันรุ่งขึ้นซึ่งเรียกกันว่า วันแบล็คฟลายเดย์ (Black Friday)
youtube
youtube
Black Friday และการชอปปิ้งสนั่นเมือง
สมาพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ NRF ประเมินว่า แต่ละปีจะมีชาวอเมริกันที่แห่กันซื้อสินค้าในช่วงสัปดาห์แห่งวันขอบคุณพระเจ้ามากกว่า 160 ล้านคน
โดยช่วงแห่งการแห่แหนกันจับจ่ายใช้สอยนั้น เริ่มตั้งแต่วันขอบคุณพระเจ้าซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดี มาจนถึงวัน Black Friday หรือวันศุกร์หลังวันขอบคุณพระเจ้า ต่อด้วยวัน Small Business Saturday และปิดท้ายการใช้เงินอย่างคุ้มค่าคุ้มราคา (เนื่องจากมีการกระหน่ำลดราคาสินค้า) ในวันจันทร์ถัดมาที่เรียกว่า Cyber Monday ที่สินค้าออนไลน์จะลดแลกแจกแถมกันอย่างคึกคักส่งท้ายปี
อย่าพลาดชมขบวนพาเหรดของห้างสรรพสินค้าเมซีส์
เป็นอีกธรรมเนียมของวันขอบคุณพระเจ้าที่สืบเนื่องมาเป็นเวลา 98 ปีแล้ว ที่ห้างสรรพสินค้าเมซีส์ (Macy's) ได้จัดงานเดินขบวนพาเหรดในวันขอบคุณพระเจ้าเป็นประ��ำทุกปี ที่นครนิวยอร์ก จนกลายมาเป็นขบวนพาเหรดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
youtube
youtube
youtube
youtube
Thanksgiving Day , Black Friday , วันขอบคุณพระเจ้า Thanksgiving Day , THANKS & GIVING , Giving , Thankful , Thanksgiving , Thanksgiving Day , Black Friday , วันขอบคุณพระเจ้า , Thanksgiving Day Song , Thanksgiving , Happy Thanksgiving , วันขอบคุณพระเจ้า
ที่มา :: https://www.thansettakij.com/world/548292 , https://prinkotakoon.blogspot.com/2024/11/thanksgiving-day.html
#Thanksgiving Day#Black Friday#วันขอบคุณพระเจ้า Thanksgiving Day#THANKS & GIVING#Giving#Thankful#Thanksgiving#วันขอบคุณพระเจ้า#Thanksgiving Day Song#Happy Thanksgiving#Youtube
2 notes
·
View notes
Text
Thanksgiving Traditions
Thanksgiving Traditions
youtube
Thanksgiving Traditions ,
Thanksgiving , Traditions
2 notes
·
View notes
Text
มะพร้าว ประโยชน์ สรรพคุณ ข้อควรระวังในการทาน
มะพร้าว ประโยชน์ สรรพคุณ ข้อควรระวังในการทาน
มะพร้าวอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด หลายคนนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเย็นๆ และกินเนื้อไปพร้อมกัน เพราะไม่เพียงช่วยเพิ่มความสดชื่นเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านต่างๆ อีกด้วย
ทำความรู้จักกับมะพร้าว
มะพร้าวจัดเป็นพืชเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง เพราะสามารถนำไปแปรรูปเพื่อใช้ประโยชน์ได้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำตาลมะพร้าว แป้งมะพร้าว
สำหรับมะพร้าวที่ปลูกในประเทศไทยมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ มะพร้าวน้ำหอม เพราะมีรสชาติหอมหวาน อร่อย นิยมนำมารับประทานทั้งน้ำและเนื้อ
คุณค่าทางโภชนาการของมะพร้าว
เนื้อมะพร้าวอ่อน 1 ลูก ที่มีน้ำหนักส่วนที่รับประทานได้ 123 กรัม จะให้พลังงาน 63 แคลอรี่ มีสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญ ค��อ
🥥 น้ำประมาณ 111 กรัม 🥥 น้ำตาล 3 กรัม 🥥 ใยอาหาร 2 กรัม 🥥 วิตามินซี 6 มิลลิกรัม 🥥 โซเดียม 15 กรัม 🥥 โพแทสเซียม 469 มิลลิกรัม 🥥 แคลเซียม 7 มิลลิกรัม 🥥 อื่นๆ
น้ำมะพร้าวอ่อน 1 ลูก ที่มีน้ำหนัก 259 กรัม จะให้พลังงาน 60 แคลอรี่ มีสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญ คือ
🥥 น้ำประมาณ 243 กรัม 🥥 น้ำตาล 19 กรัม 🥥 วิตามินซี 3 มิลลิกรัม 🥥 โซเดียม 27 มิลลิกรัม 🥥 โพแทสเซียม 855 มิลลิกรัม 🥥 แคลเซียม 30 มิลลิกรัม 🥥 อื่นๆ
ประโยชน์ของมะพร้าว
มะพร้าวอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เหมาะสำหรับนำมาใช้บำรุงสุขภาพ และบำรุงผิวพรรณ ดังนี้
1. ดื่มน้ำมะพร้าว ช่วยแก้กระหาย เพิ่มความสดชื่น
น้ำมะพร้าวเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับดื่มเพื่อดับกระหายและคลายร้อน เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็น ทั้งยังมีปริมาณน้ำตาลกลูโคสและฟรักโทสสูง ทำให้ร่างกายนำไปใช้เป็นพลังงานได้ง่าย หลังจากดื่มน้ำมะพร้าวเข้าไปจึงรู้สึกสดชื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว
2. ทดแทนการสูญเสียน้ำ
เมื่อร่างกายสูญเสียน้ำหลังจากการออกกำลังกาย คุณสามารถดื่มน้ำมะพร้าวแทนเครื่องดื่มเกลือแร่ได้ เนื่องจากน้ำมะพร้าวอุดมไปด้วยแคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม และวิตามินแร่ธาตุหลายชนิด
แถมน้ำมะพร้าวยังเป็นเกลือแร่ที่มาจากธรรมชาติ จึงช่วยคลายความอ่อนล้าอ่อนเพลียจากการออกกำลังกายได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องดื่มเกลือแร่ในท้องตลาดทั่วไป พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีองค์ประกอบ 2 อย่างที่น้อยกว่าในเครื่องดื่มเกลือแร่ ได้แก่ “โซเดียม” ที่ช่วยในการเติมอิเล็กโตรไลท์จากการสูญเสียทางเหงื่อ และ “คาร์โบไฮเดรต” ที่ช่วยเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย
ดังนั้นหากจะมองหาเครื่องดื่มสำหรับการวิ่งระยะยาว การปั่นจักรยานระยะยาว หรือการออกกำลังกายที่ต้องใช้เวลานาน ท่ามกลางอากาศร้อน เครื่องดื่มเกลือแร่ยังคงเป็นตัวเลือกในการเพิ่มพลังงานและลดอาการขาดน้ำได้ดีกว่าน้ำมะพร้าว
แต่หากออกกำลังกายแต่พอดีและต้องการลดปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายได้รับ พร้อมทั้งรักษาสมดุลอย่างเป็นธรรมชาติ น้ำมะพร้าวก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว
ทั้งนี้ในกรณีที่ออกกำลังกายที่ไม่นานกว่า 60 นาที การดื่มน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวถือเป็นตัวเลือกดีที่สุด และอย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอตลอดวัน เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดภาวะขาดน้ำ
3. บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง
น้ำมะพร้าวดีต่อสุขภาพผิวเพราะเต็มไปด้วยสารอาหารหลายชนิด เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และวิตามินซี ที่มีส่วนช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส กระชับ และป้องกันอันตรายจากแสงแดด
นอกจากนี้ยังมีสารที่ช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ ปราศจากริ้วรอย อีกทั้งยังมีฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่มากจึงช่วยบำรุงสุขภาพของผู้หญิงอย่างมาก
4. ทำให้กระดูกแข็งแรง
การทดลองในหนูทดลองพบว่า น้ำมันมะพร้าวน่าจะมีประโยชน์ในการช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก ชะลอภาวะกระดูกพรุน ทั้งในชายวัยหมดฮอร์โมนและหญิงวัยหมดประจำเดือน
5. ช่วยปรับฮอร์โมนของหญิงวัยหมดประจำเดือนให้สมดุล
การดื่มน้ำมะพร้าวจะช่วยปรับฮอร์โมนของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนให้มีความสมดุลมากขึ้น เนื่องจากมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง จึงช่วยชะลอความแก่ ทำให้ผิวพรรณสดใสอ่อนเยาว์ ป้องกันอาการอัลไซเมอร์ และทำให้มีอารมณ์ดีขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้นอีกด้วย
6. ป้องกันโรคหัวใจ
จากการศึกษาพบว่า น้ำมันมะพร้าวไม่ได้ส่งผลให้น้ำหนักตัวของกลุ่มผู้ทดลองลดลง หรือเพิ่มขึ้น และไม่ได้ทำให้ไขมันชนิดเลว (LDL) เพิ่มมากขึ้น แต่ช่วยเพิ่มระดับไขมันชนิดดี (HDL) ซึ่งมีส่วนช่วยลดไขมันเลว จึงมีผลโดยตรงต่อการช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด
7. ปรับสมดุลของน้ำตาลในเลือด
การรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงจะทำให้น้ำตาลกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น เนื้อมะพร้าวมีไฟเบอร์ที่ละลายในน้ำได้ คาร์โบไฮเดรตจึงเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้น้อย ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงเกินไป และดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน
วิธีควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วยการนำมะพร้าวแก่ขูดเอาเนื้อมาคั่วให้เหลือง โรยเกลือเล็กน้อย ใส่ภาชนะปิดให้แน่น แล้วนำมารับประทานครั้งละ 1 ช้อนแกง เช้า กลางวัน เย็น เป็นเวลาประมาณ 10 วัน จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
8. ช่วยควบคุมน้ำหนัก
ประโยชน์จากน้ำมันมะพร้าวต่อการควบคุมน้ำหนัก มีดังนี้🥥 ไม่ทำให้อ้วน น้ำมันมะพร้าวมีโมเลกุลขนาดกลางจึงย่อยได้เร็ว ไม่มีการสะสมในร่างกาย โมเลกุลตัวนี้ยังไปกระตุ้นกระบวนการเมตาบอลิซึม ทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่จากอาหารที่รับประทานเข้าไป ส่งผลให้เหลือไขมันสะสมในร่างกายน้อยลง 🥥 ช่วยลดน้ำหนักทางอ้อม คุณสมบัติในการเพิ่มการเผาผลาญจะทำให้เกิดความร้อน อุณหภูมิร่างกายเพิ่มสูงขึ้น ต่อมไทรอยด์ทำงานได้ดีขึ้น ทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ 🥥 ช่วยทำให้รับประทานอาหารมื้อต่อไปได้น้อยลง ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน จึงทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง
อย่างไรก็ตาม น้ำมันมะพร้าวมีแคลอรี่สูง การรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปก็ทำให้น้ำหนักตัวและรอบเอวขยายใหญ่ขึ้นได้เช่นกัน ทางที่ดีควรเริ่มจากการทดลองใช้น้ำมันมะพร้าวประกอบอาหารในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น รวมทั้งออกกำลังกายและควบคุมไขมันจากอาหารไปด้วย
9. รักษาอาการผดผื่น
ผดผื่นคันที่เกิดจากอาการแพ้ หรือเชื้อแบคทีเรีย อาจบรรเทาได้ด้วยการชโลมน้ำมันมะพร้าวลงไปบนผิวหนังบริเวณที่มีอาการ นอกจากจะช่วยลดการติดเชื้อ ทำให้ผดผื่นคันลดลง ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง และลดอาการระคายเคืองไปในตัวด้วย
10. ป้องกันนิ่ว
น้ำมะพร้าวมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะตามธรรมชาติ จึงช่วยลดการเกิดนิ่วและป้องกันการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ แนะนำให้ดื่มน้ำมะพร้าวสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
ข้อควรระวังในการรับประทานมะพร้าว
แม้จะเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์หลายอย่างต่อร่างกาย แต่หากรับประทานมากเกินความจำเป็นก็อาจก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายได้เช่นกัน
🥥 คอเลสเตอรอล น้ำมันมะพร้าวมีปริมาณไขมันอิ่มตัว หรือคอเลสเตอรอลสูงถึง 90% จากปริมาณไขมันทั้งหมดที่มี ดังนั้นการรับประทานเพียงประทาน 30 มิลลิลิตร หรือมิลลิกรัม สามารถทำให้ร่างกายได้รับปริมาณไขมันเกินความต้องการได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูงจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานน้ำมันมะพร้าว หรือใช้ในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น
🥥 โพแทสเซียม มะพร้าวมีปริมาณโพแทสเซียมสูง หากดื่มน้ำมากเกินไปจะทำให้ร่างกายได้รับโพแทสเซียมทากเกินความต้องการ ส่งผลให้เกิดภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง (Hyperkalemia) ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ อาเจียน หรือถึงขั้นหมดสติได้
🥥 ฤทธิ์เย็น ด้วยความที่เป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็น จึงช่วยให้ลดอุณหภูมิความร้อนของร่างกาย ช่วยดับกระหายและคลายร้อน แต่หากดื่มน้ำมะพร้าวมากเกินไปก็อาจทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายลดต่ำและมีผลต่อการทำงานของระบบภายในร่างกาย เช่น ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้
🥥 ใยอาหาร เนื้อมะพร้าว 1 ลูก มีปริมาณเส้นใยอาหารถึงประมาณ 4.6 กรัม ดังนั้นการรับประทานในปริมาณมากจึงอาจส่งผลทำให้ร่างกายได้รับเส้นใยมากเกินไป ส่งผลต่อระบบการขับถ่าย ทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
แนวทางการกินมะพร้าวเพื่อสุขภาพ
มะพร้าวเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหอมอร่อย สามารถนำมาประกอบเมนูอาหารได้ทั้งของคาวและของหวาน มาดูกันว่า มีเมนูไหนที่น่าสนใจกันบ้าง
เค้กมะพร้าวอ่อน
การทำไส้เค้ก
🥥 โดยนำเนื้อมะพร้าวอ่อนมาผสมกับน้ำตาล กะทิ น้ำมะพร้าว เกลือ และแป้งถั่วเขียวมาผสมจนเข้ากันดี 🥥 นำขึ้นตั้งไฟ ค่อยๆ คนเบาๆ เมื่อเริ่มข้นให้ปิดไฟ 🥥 ใส่เนยสดลงไปคนจนละลาย 🥥 จากนั้นนำเนื้อมะพร้าวอ่อนมาขูดเป็นเส้น หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตามใจชอบ แล้วพักทิ้งไว้
การทำเนื้อเค้ก
🥥 ให้ร่อนแป้งเค้กกับผงฟู 2 รอบ จากนั้นผสมกะทิ ไข���แดง น้ำมันพืช และน้ำมะพร้าวให้เข้ากัน 🥥 ใส่แป้งลงไปคนผสมให้เข้ากัน 🥥 ตีไข่ขาวให้ขึ้นฟอง ใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ ใส่น้ำตาลลงไปทีละน้อย จนไข่ขาวตั้งยอด 🥥 จากนั้นใส่ส่วนผสมแป้งที่เตรียมไว้ลงไป 🥥 นำเนื้อเค้กไปใส่แม่พิมพ์ นำเข้าเตาอบประมาณ 20 นาที 🥥 หลังจากนั้นหั่นเค้กออกเป็น 2 ชั้น ใส่ไส้ส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงไป แล้วประกบเค้กเข้าด้วยกัน ทาเนยสดบนหน้าเค้ก นำไปแช่เย็น เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน
🥥 ผสมน้ำตาลและวุ้นให้เข้ากันแล้วพักไว้ 🥥 ใส่น้ำมะพร้าวและน้ำเปล่าลงไปในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ 🥥 ใส่ผงวุ้นและน้ำตาลที่เตรียมเอาไว้ลงไป คนให้เข้ากันจนเดือด ปิดไฟ และคนต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าผงวุ้นจะละลาย 🥥 ใส่กะทิลงไป ตามด้วยเนื้อมะพร้าวอ่อน จากนั้นตักใส่ถ้วยแล้วนำไปแช่เย็นเพื่อให้วุ้นขึ้นรูป 🥥 นำนมสดและนมข้นหวานมาผสมให้เข้ากันก่อนจะตักราดลงบนพุดดิ้ง เพื่อให้เซตตัว พร้อมรับประทาน
ไอศกรีมมะพร้าวอ่อน
🥥 เทน้ำมะพร้าวลงไปในหม้อ ตั้งไฟกลาง 🥥 ใส่ใบเตย กะทิ และเกลือ คนจนเข้ากัน ต้มจนเดือด มองเห็นมีฟองอากาศ จึงใส่น้ำตาลลงไปครึ่งหนึ่ง คนจนเข้ากันแล้วพักทิ้งไว้ 🥥 นำน้ำตาลที่เหลือผสมกับไข่ขาว ตีจนเข้ากัน แล้วใส่วิปปิ้งครีมเย็นจัดลงไป ตีจนขึ้นฟู 🥥 ใส่กะทิเย็นที่ความเย็น 20 องศาลงไป ตามด้วยส่วนผสมของไข่ขาว และใส่สารให้ความหนืด คนจนเข้ากัน 🥥 รอจนอุณหภูมิประมาณ 20 องศา จากนั้นนำไอศกรีมใส่โถแล้วนำไปแช่ในช่องฟรีซ 24 ชั่วโมง แล้วนำมาใส่ส่วนผสมไอศกรีมที่เตรียมไว้ลงไป
แกงเผ็ดยอดมะพร้าว
🌴 ตั้งน้ำให้เดือด หั่นมะพร้าวเป็นเส้น นำลงไปต้มให้สุก แล้วตักขึ้นมาพักไว้ 🌴 นำลูกชิ้นลงไปลวก ตักขึ้นพักไว้ 🌴 ผัดหัวกะทิกับพริกแกงจนเริ่มแตกมัน ก่อนจะใส่ลูกชิ้นลงไป เติมกะทิ ตามด้วยน้ำตาลปี๊ป เกลือ และใส่กะทิลงไปเพิ่ม 🌴 ใส่ยอดมะพร้าวที่ลวกไว้ ปรุงรสตามใจชอบ และให้ใส่พริกชี้ฟ้า ใบโหระพาลงไป ตักขึ้นเสิร์ฟ รับประทานกับข้าวสวย หรือขนมจีน ก็อร่อย
มะพร้าวปั่นนมสด
🌴 ใส่น้ำแข็งลงในโถปั่น ตามด้วยน้ำมะพร้าว นมสด น้ำเชื่อมเล็กน้อย ใส่เกลือ แล้วปั่นจนน้ำแข็งละเอียด 🌴 ระหว่างนั้นเติมเนื้อมะพร้าวลงไป แล้วปั่นต่อไปประมาณ 3 วินาที หรือจนกว่าเนื้อจะเริ��มแหลก เทใส่แก้ว พร้อมดื่มทันที
ประโยชน์ของมะพร้าวต่อสุขภาพมีด้วยกันหลากหลายด้านทีเดียว ด้วยแร่ธาตุวิตามินหลากหลายชนิด แถมยังมีรสชาติหวานมัน ใช้ประโยชน์ได้ทั้งน้ำ เนื้อ กะทิ และน้ำมันมะพร้าว จึงไม่แปลกที่ผลไม้ชนิดนี้จะเป็นที่นิยมในการนำไปประกอบอาหารหลากหลายเมนู
แม้มะพร้าวจะมีประโยชน์มาก แต่ควรรับประทานอย่างระมัดระวัง ในปริมาณที่พอเ��มาะ และรับประทานอาหารให้หลากหลายจะดีต่อสุขภาพมากที่สุด
มะพร้าว สรรพคุณและประโยชน์ของมะพร้าว , Coconut , มะพร้าว , เนื้อมะพร้าว , น้ำมะพร้าว , มะพร้าวปั่นนมสด , แกงเผ็ดยอดมะพร้าว , ไอศกรีมมะพร้าวอ่อน , พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน , เค้กมะพร้าวอ่อน , ประโยชน์ของมะพร้าว , คุณค่าทางโภชนาการของมะพร้าว , Coconut Benefits , Coconut Meat , Coconut Water , Coconut oil , Benefits of Coconut , Raw Coconut Benefits , Coconut Milk , Dry Coconut , Health Benefits of Coconut
CR :: https://hdmall.co.th/blog/c/benefits-of-coconut/ , https://prinkotakoon.blogspot.com/2024/11/coconut_20.html
#มะพร้าว สรรพคุณและประโยชน์ของมะพร้าว#Coconut#มะพร้าว#เนื้อมะพร้าว#น้ำมะพร้าว#มะพร้าวปั่นนมสด#แกงเผ็ดยอดมะพร้าว#ไอศกรีมมะพร้าวอ่อน#พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน#เค้กมะพร้าวอ่อน#ประโยชน์ของมะพร้าว#คุณค่าทางโภชนาการของมะพร้าว#Coconut Benefits#Coconut Meat#Coconut Water#Coconut oil#Benefits of Coconut#Raw Coconut Benefits#Coconut Milk#Dry Coconut#Health Benefits of Coconut
1 note
·
View note
Text
มะพร้าว สรรพคุณและประโยชน์ของมะพร้าว น้ำมะพร้าว 81 ข้อ !
มะพร้าว สรรพคุณและประโยชน์ของมะพร้าว น้ำมะพร้าว 81 ข้อ !
มะพร้าว มะพร้าว ชื่อสามัญ Coconut
มะพร้าว ชื่อวิทยาศาสตร์ Cocos nucifera L. จัดอยู่ในวงศ์ปาล์ม (ARECACEAE) ซึ่งแต่เดิมใช้ชื่อวงศ์ว่า PALMAE หรือ PALMACEAE
สมุนไพรมะพร้าว มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ดุง (จันทบุรี), โพล (กาญจนบุรี), คอส่า (แม่ฮ่องสอน), เอี่ยจี้ (จีน), หมากอุ๋น หมากอูน (ทั่วไป) เป็น��้น
มะพร้าวเป็นพืชยืนต้นที่จัดอยู่ในตระกูลปาล์ม ใบมีลักษณะเป็นใบประกอบเหมือนขนนก ผลประกอบไปด้วยเปลือกนอก ใยมะพร้าว กะลา
มะพร้าว และชั้นสุดท้ายคือเนื้อมะพร้าว ซึ่งภายในจะมีน้ำมะพร้าว ถ้าลูกมะพร้าวแก่มาก เนื้อมะพร้าวจะดูดเอาน้ำมะพร้าวไปหมด
สำหรับสถิติการผลิตมะพร้าว ประเทศอินโดนีเซียคืออันดับ 1 ของโลกที่ผลิตมะพร้าวได้มากที่สุด ส่วนประเทศไทยจะอยู่ที่อันดับ 6 ของโลก และรายชื่อพันธุ์มะพร้าวต่าง ๆ ก็ได้แก่ มะพร้าวน้ำหอม มะพร้าวทะเล มะพร้าวไฟ มะพร้าวซอ มะพร้าวกะทิ มะพร้าวพวงร้อย มะพร้าวมลายูสีเหลืองต้นเตี้ย
มะพร้าวเป็นผลไม้ที่นิยมกันอย่างมากในบ้านเรา คุณสมบัติเด่น ๆ ของมะพร้าวก็คือ ส่วนต่าง ๆ สามารถนำมาใช้ทำเป็นประโยชน์ได้หมด ไม่ว่าจะทำเป็นอาหารคาวหวานเพื่อบำรุงสุขภาพและรักษาอาการหรือโรคต่าง ๆ รวมไปถึงการผลิตน้ำมันมะพร้าว กะทิ น้ำตาล และยังรวมไปถึงการทำสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ขึ้นมาใช้สอย (มีประโยชน์ชนิดที่ว่าติดเกาะแล้วไม่อดตาย ฮ่า ๆ)
น้ำมะพร้าว ถ้าจะให้ดีควรกินสด ๆ เปิดลูกแล้วควรดื่มเลย ไม่ควรทิ้งไว้หรือเก็บไว้ในตู้เย็นนานเกินครึ่งชั่วโมง หากดื่มทันทีจะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด แต่ควรระวังเรื่องสารฟอกขาวไว้ด้วย ซื้อมาจากสวนโดยตรงก็จะดีและปลอดภัยมาก และสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือเป็นโรคไตควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมะพร้าว มะพร้าวกับความเชื่อ มีความเชื่อว่าการปลูกต้นมะพร้าวทางทิศตะวันออกของบ้านจะอยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย และยังเป็นมิ่งขว��ญสำหรับคนเกิดปีชวดและปีเถาะอีกด้วย ส่วนในพิธีกรรมทางศาสนาจะจัดให้มีเครื่องสังเวยเป็นมะพร้าวอ่อน เพราะเชื่อว่าเป็นตัวแทนแห่งความอุดมสมบูรณ์ การดื่มน้ำมะพร้าวก็เพื่อความเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ยังใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพอีกด้วย เพราะมีความเชื่อว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ ทำให้ผู้ตายเกิดความผ่องใส สงบจิตใจลงได้ และเดินทางไปยังภพภูมิหน้าได้อย่างเป็นสุข (อ้อ มะพร้าวยิ่งต้นสูงเท่าไหร่ น้ำก็ยิ่งสะอาดมากขึ้นเท่านั้น) (ที่มา : ตำราพรหมชาติฉบับหลวง) น้ำมันพร้าวกับประจำเดือน ด้วยความเชื่อที่ว่า “ในขณะที่มีประจำเดือนไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าวเป็นอันขาด” แต่ความจริงก็คือน้ำมะพร้าวก็เหมือนน้ำหวานทั่ว ๆ ไป จึงไม่มีผลกระทบต่อการมีประจำเดือนแต่อย่างใด แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับบางรายที่อาจมีอาการแพ้น้ำมะพร้าวได้ ดังนั้นคุณสามารถดื่มน้ำมะพร้าวแสน��ปรดของคุณได้ตามปกติแม้จะมีประจำเดือนก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันความเสี่ยง ผู้เชี่ยวชาญไม่แนะนำให้เสี่ยงทดลอง เพราะประจำเดือนอาจจะเปลี่ยนสีและหดหายไปได้ ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดมะเร็งมดลูกได้ในระยะยาว (แหล่งอ้างอิง : ดาราเดลี่) ประกอบกับตำรายาไทยโบราณบอกว่า “น้ำมะพร้าวแสลงกับหญิงที่กำลังมีประจำเดือน” (ที่มา : “สารานุกรมสมุนไพร” (วุฒิ วุฒิธรรมเวช), “สมุนไพรร้านเจ้ากรมเป๋อ” (อุทัย สินธุสาร)) น้ํามะพร้าวกับคนท้อง ด้วยความเชื่อที่ว่า “ดื่มน้ำมะพร้าวมาก ๆ จะทำให้ลูกที่คลอดออกมามีผิวขาว ผิวเกลี้ยง และช่วยล้างไขตามตัว” ความจริงก็คือในน้ำมะพร้าวมีสารอาหารหลากหลายอย่างและกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อดื่มน้ำมะพร้าวจะทำให้สร้างไขที่ตัวเด็กให้มีสีค่อนข้างขาว เลยดูว่าเด็กตัวสะอาด เพราะตามธรรมชาติเด็กทุกคนต้องมีไขมันห่อหุ้มตัวอยู่แล้วแเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงจากอุณหภูมิภายนอกและยังช่วยให้เด็กคลอดง่ายขึ้นด้วย (ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง)
สรรพคุณของมะพร้าว
1. น้ำมะพร้าวช่วยทำให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง ขาวนวลขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่ (น้ำมะพร้าว) 2. น้ำมะพร้าวมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น กระชับ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้เป็นอย่างดี (น้ำมะพร้าว) 3. ประโยชน์ของน้ำมะพร้าว มีส่วนช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตและการแบ่งเซลล์ได้เป็นอย่างดี (น้ำมะพร้าว)
4. ในเนื้อและน้ำมันมะพร้าวอ่อนมีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับร่างกายอย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี วิตามินบี กรดอะมิโน ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุโพแทสเซียม ธาตุเหล็ก และยังมีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมได้ภายใน 5 นาที (น้ำมะพร้าว)
5. น้ำมะพร้าวมีประโยชน์ใช้เป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติที่ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและไม่มีอันตรายใด ๆ ต่อร่างกาย (ยกเว้นผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและโรคไต)
6. น้ำมะพร้าวเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นจึงช่วยดับร้อนในร่างกายได้เป็นอย่างดี (น้ำมะพร้าว)
7. น้ำมะพร้าวอ่อนมีคุณสมบัติเป็นธาตุเย็น ช่วยล้างพิษ ขับพิษของเสียออกจากร่างกาย หรือช่วยดีท็อกซ์นั่นเอง (น้ำมะพร้าว)
8. ช่วยบำรุงร่างกาย (เนื้อมะพร้าว)
9. ช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่ร่างกายมีความเป็นกรดสูง เพราะ��้ำมะพร้าวมีความเป็นด่าง ทำให้กลไกการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายเป็นปกติแส่งผลให้มีสุขภาพดีและแข็งแรง (น้ำมะพร้าว)
10. ช่วยบำรุงโลหิต (ดอก)
11. ใช้เป็นเครื่องดื่มธรรมชาติที่ให้เกลือแร่ได้เป็นอย่างดี จึงเหมาะสำหรับนักกีฬา เนื่องจากอุดมไปด้วยธาตุโพแทสเซียม (น้ำมะพร้าว)
12. ช่วยแก้กระหายน้ำ (น้ำมะพร้าว, เนื้อมะพร้าว, ดอก)
13. น้ำมะพร้าวลดบวม ช่วยแก้อาการบวมน้ำ (น้ำมะพร้าว)
14. น้ำมะพร้าวมีคุณสมบัติปลอดเชื้อโรค จึงนำไปใช้ฉีดเข้าเส้นเลือดได้ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการขาดน้ำหรือปริมาณเลือดลดแบบผิดปกติ (น้ำมะพร้าว)
15. ช่วยป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ภาวะความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง เนื่องจากมีปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง (น้ำมะพร้าวอ่อน)
16. ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและช่วยรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจ (น้ำมะพร้าวอ่อน)
17. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้มะพร้าวแก่ขูดเอาเนื้อมาคั่วให้เหลือง โรยเกลือเล็กน้อย ใส่ภาชนะปิดให้แน่น แล้วนำมารับประทานครั้งละ 1 ช้อนแกง เช้า กลางวัน เย็น ประมาณ 10 วันจะช่วยทำให้ระดับน้ำตาลลดลงเรื่อย ๆ ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวปวดศีรษะได้ (น้ำมะพร้าวอ่อน)
18. นำมาใช้รักษาโรคคอตีบได้ (เปลือกหุ้มรากของมะพร้าว )
19. ช่วยแก้อาการตาอักเสบ ด้วยการใช้น้ำมะพร้าวอ่อน 1 ถ้วย นำมาผสมกับน้ำตาลทรายแดงไว้ดื่มเช้าและเย็น อาการอักเสบก็จะค่อย ๆ หายไปเอง (น้ำมะพร้าวอ่อน)
20. ช่วยแก้อาการระคายเคืองตา ด้วยการใช้เนื้อมะพร้าวอ่อนสด ๆ แปะที่ดวงตา อาการจะค่อย ๆ ทุเลาลง (เนื้อมะพร้าว)
21. ช่วยลดอาการไข้สูง ตัวร้อน เพราะมีฤทธิ์เป็นยาเย็นจึงช่วยทุเลาอาการไข้ได้ (น้ำมะพร้าวอ่อน, เนื้อมะพร้าว)
22. ใช้รักษาคนไข้ที่มีภาวะความเป็นกรดในเลือดสูง (น้ำมะพร้าวอ่อน)
23. ช่วยแก้ไข้ทับระดู ด้วยการเอาจั่นมะพร้าว ที่ยังมีกาบหุ้มอยู่นำมาต้มน้ำดื่ม เช้า กลางวัน เย็น อาการจะค่อยดีขึ้น (บางคนใช้รากก็ได้ผลเหมือนกัน)
24. ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนในช่วงเช้าและช่วงบ่าย (รับประทานเนื้อด้วย)
25. ช่วยแก้อาการไอ ด้วยการดื่มน้ำมะพร้าวห้าว (น้ำมะพร้าวห้า���)
26. ช่วยแก้อาการปากเปื่อย ปากเป็นแผล ด้วยการอมน้ำกะทิสด ๆ จากมะพร้าวแก่ประมาณ 5-10 นาที ประมาณ 3 วันแผลจะหายเร็วขึ้น (น้ำกะทิสด)
27. ใช้แก้อาการเจ็บฟัน ด้วยการใช้เปลือกต้นสดนำไปเผาไฟให้เป็นเถ้าแล้วนำมาสีฟัน (เปลือกต้นสดมะพร้าว)
28. ใช้เป็นยาแก้อาการเจ็บปากเจ็บคอ (ดอก)
29. รากใช้อมบ้วนปากแก้อาการเจ็บคอ (ราก)
30. ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ด้วยการใช้มะนาว 1 ซีกบีบผสมกับน้ำมะพร้าวอ่อนแล้วดื่ม (น้ำมะพร้าวอ่อนผสมมะนาว)
31. สำหรับผู้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกันให้ดื่มน้ำมะพร้าว จะช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ได้เร็ว ทำให้ร่างกายกลับมาเป็นปกติได้ (น้ำมะพร้าว)
32. ช่วยแก้อาการปวดฟัน ด้วยการใช้กะลามะพร้าวแก่จัดที่มีรู ขูดเอาเนื้อออกใหม่ ๆ ใส่ถ่านไฟแดงลงไป แล้วรองเอาน้ำมันมะพร้าวที่ไหลออกมาเก็บใส่ภาชนะปิดให้มิดชิด แล้วใช้สำลีพันปลายไม้ชุบน้ำมันที่ได้อุดรูฟันที่ปวด แต่อย่าให้สัมผัสกับเหงือกหรือเนื้อเยื่อบริเวณรอบ ๆโดยตรง เพราะจะทำให้ชาได้ (น้ำมันจากกะลามะพร้าว)
33. ช่วยกล่อมเสมหะ (ดอก)
34. ช่วยแก้อาการอาเจียนเป็นเลือด (น้ำมะพร้าว)
35. ช่วยรักษาโรคกระเพาะ (น้ำมะพร้าวอ่อน)
36. ใช้แก้อาการท้องเสีย ด้วยการใช้รากล้างสะอาดประมาณ 3 กำมือ ทุบพอแตก ต้มน้ำ 5 แก้ว เคี่ยวเอา 2 แก้ว แบ่งรับประทานครั้งละครึ่งแก้ว เช้า กลางวัน เย็น (ดอก, ราก, กะลา)
37. ช่วยแก้โรคบิด ด้วยการดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน เช้า กลางวัน เย็น อาการจะดีขึ้น (น้ำมะพร้าวอ่อน)
38. ช่วยรักษาโรคลำไส้อักเสบ ด้วยการใช้เปลือกมะพร้าวมาสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำมาต้มน้ำดื่ม อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น (ควรใช้เปลือกมะพร้าวห้าวหรือมะพร้าวแก่)
39. ช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง ด้วยการใช้กะลามะพร้าวสะอาดมาเผาไฟจนแดง แล้วคีบเก็บไว้ในปี๊บสะอาด ปิดฝาให้เรียบร้อย จะได้ถ่านกะลาสีดำ นำมาบดเป็นผงรับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ (กะลา)
40. ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลียจากอาการท้องเสียท้องร่วงได้ ช่วยเติมพลังหลังการเสียเหงื่อ เสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย (น้ำมะพร้าวอ่อน)
41. ช่วยขับปัสสาวะ (น้ำมะพร้าวอ่อน, เนื้อมะพร้าว, ราก)
42. น้ำมะพร้าว สรรพคุณช่วยรักษาโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ (น้ำมะพร้าวอ่อน)
43. ช่วยแก้นิ่ว ด้วยการดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน เช้า กลางวัน เย็น อาการจะดีขึ้นมาก (น้ำมะพร้าวอ่อน)
44. ช่วยรักษาโรคตับและไต (ยังไม่ยืนยัน)
45. ช่วยรักษาโรคดีซ่าน ด้วยการดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน เช้า กลางวัน เย็น เพียง 2 วันอาการก็จะดีขึ้นมาก (น้ำมะพร้าว)
46. ใช้ถ่ายพยาธิได้ (น้ำมะพร้าว, เนื้อมะพร้าว)
47. ช่วยบำรุงและแก้อาการปวดกระดูกและเอ็น (น้ำมันจากกะลามะพร้าว)
48. ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ อักเสบ ช้ำบวม ด้วยการใช้น้ำกะทิเคี่ยวให้ร้อน แล้วนำผักเสี้ยนผีล้างให้สะอาดสับเคี่ยวเข้าด้วยกัน ใส่เมนทอลเล็กน้อยเพื่อให้มีกลิ่นหอมและช่วยให้ตัวยาแทรกซึมได้ดีขึ้น เสร็จแล้วนำมานวดบริเวณที่มีอาการ (น้ำกะทิเคี่ยว)
49. ช่วยแก้อาการเม็ดผดผื่นคันตามตัว ด้วยการดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นประจำ (น้ำมะพร้าวอ่อน)
50. สามารถใช้รักษาโรคผิวหนังได้ (น้ำมันจากกะลามะพร้าว)
51. ช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้นและป้องกันการเกิดแผล��ป็น ด้วยการใช้น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากกะลาเผาไฟ��่าน นำมาทาที่แผล จะทำให้แผลหายเร็วภายในไม่กี่วัน และจะไม่เกิดรอยแผลเป็น (น้ำมันจากกะลามะพร้าว)
52. ใช้รักษาแผลเรื้อรัง ด้วยการเอากะลามะพร้าวมาถูตะไบเอาผง นำมาผสมกับน้ำมันมะพร้าว ใส่พิมเสนเล็กน้อย แล้วนำมาทาบริเวณแผลเช้า กลางวัน เย็น
53. ใช้ทาแก้ผิวหนังแตกลาย (น้ำมันจากกะลามะพร้าว)
54. ใช้เป็นยาทาแก้กลากเกลื้อนได้ ด้วยการใช้กะลามะพร้าวแก่จัดที่ขูดแล้ว มีรู มาใส่ถ่านไฟแดง ๆ น้ำมันมะพร้าวจะไหลออกมา แล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นทิ้งไว้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ยางจะติดอยู่ เกลื้อนจะค่อย ๆ หายไป (น้ำมันจากกะลามะพร้าว)
55. ช่วยรักษาเล็บขบ ฝ่ามือแตกลาย ด้วยการใช้น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการเผากะลามาทาเช้า กลางวัน เย็น หรือหยอดบริเวณที่เป็นเล็บขบ จะหายเร็วขึ้นและไม่มีอาการปวด (น้ำมันจากกะลามะพร้าว)
56. ช่วยรักษาโรคอีสุกอีใส ด้วยการใช้ใบมะพร้าวต้มน้ำดื่ม (ใบมะพร้าว)
57. ใช้ทาแก้หิด (เปลือกต้นสดมะพร้าว)
58. ใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ด้วยการใช้มะพร้าวกะทิปิดบริเวณแผล (มะพร้าวกะทิ)
59. ในไต้หวันและจีน นิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยลดอาการเมา แก้อาเจียนหลังการดื่มแอลกอฮอล์ (น้ำมะพร้าว)
60. ช่วยแก้พิษเบื่อเมา ด้วยการดื่มน้ำมะพร้าวซึ่งจะช่วยล้างพิษที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี (น้ำมะพร้าวอ่อน)
ประโยชน์ของมะพร้าว
1. ช่วยกำจัดริ้วรอยของครกหินที่ซื้อมาใหม่ ด้วยการใช้เนื้อมะพร้าวที่ใช้คั้นกะทิตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ 4-5 ชิ้น ใส่ลงไปในครกแล้วตำเนื้อมะพร้าวจนละเอียด ให้น้ำมันจากเนื้อมะพร้าวออกมาสัมผัสกับผิวครกไปเรื่อย ๆ ประมาณสิบนาที แล้วทิ้งไว้อย่างนั้นประมาณ 1 คืนเพื่อให้น้ำมะพร้าวซึมเข้าตามริ้วรอยของเนื้อครก ก้นครกก็จะลื่นเป็นมันดูสดใสใช้งานได้อย่างคล่องมือ (หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ)
2. มารดาที่เพิ่งคลอดบุตรแต่ไม่มีน้ำนมเพียงพอ ก็สามารถให้บุตรกินน้ำมะพร้าวแทนน้ำนมแม่ได้ชั่วคราวได้ เพราะน้ำมะพร้าวมีกรดลอริกที่มีอยู่มากในน้ำนมแม่นั่นเอง แถมยังมีความบริสุทธิ์ไม่มีสารเคมีเจือปน จึงไม่เป็นอันตรายต่อเด็กทารก (น้ำมะพร้าว)
3. ผู้ที่เป็นสิวหรือมีประจำเดือนติดต่อกันไม่หยุดให้ดื่มน้ำมะพร้าว จะช่วยทำให้ร่างกายขับของเสียออกมาได้มากยิ่งขึ้น (น้ำมะพร้าว)
4. มะพร้าว ประโยชน์ใช้ทำเป็นน้ำ��้มสายชูได้ (น้ำมะพร้าว)
5. ยอดอ่อนมะพร้าว หรือ “หัวใจมะพร้าว” (Coconut’s heart) ซึ่งมีราคาแพงมาก เพราะการเก็บยอดอ่อนจะทำให้ต้นมะพร้าวตายทั้งต้น (ต้องโค่นกันเลยทีเดียว) โดยนำไปใช้ทำอาหารได้หลายอย่าง เช่น ผัด แกงส้ม แกงคั่ว รวมไปถึงยำยอดอ่อนมะพร้าว หรือ “สลัดเจ้าสัว” (Millionaire’s salad)
6. น้ำมะพร้าวนำไปแปรรูปเป็นวุ้นมะพร้าวได้ ด้วยการเจือกรดอ่อนเล็กน้อยลงในน้ำมะพร้าว (น้ำมะพร้าว)
7. มะพร้าวอ่อน นอกจากรับประทานสดแล้ว ยังนำมาทำเป็นวุ้นมะพร้าว มะพร้าวเผา ส่วนประกอบในอาหารคาวหวาน เป็นต้น
8. มะพร้าวแก่ นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคั้นกะทิสด กะทิกล่อง มะพร้าวอบน้ำผึ้ง น้ำมันมะพร้าว รวมไปถึงน้ำมันไบโอดีเซลด้วย เป็นต้น
9. เนื้อในของมะพร้าวแก่ ใช้ทำเป็นกะทิ ด้วยการขูดเนื้อเป็นเศษ ๆ แล้วบีบคั้นเอาน้ำกะทิออก (เนื้อมะพร้าว)
10. กากที่เหลือจากการคั้นน้ำกะทิ สามารถนำไปใช้ทำเป็นอาหารสัตว์ได้อีกด้วย (กากมะพร้าว)
11. กาบมะพร้าวหรือเปลือกมะพร้าว คุณสมบัติแข็งแรง คงทน ยืดหยุ่น มีสปริง นำมาใช้ทำเชือก พรม กระสอบ แปรง อวน ไม้กวาด และเส้นใบสั้นใช้อัดไส้ของที่นอน เบาะรถยนต์ เป็นต้น
12. ใยมะพร้าวนำไปใช้ยัดฟูกเพื่อทำเป็นเสื่อได้ หรือจะนำไปใช้ในการเกษตรก็ได้เช่นกัน (ใยมะพร้าว)
13. จั่นมะพร้าวหรือช่อดอกมะพร้าว อุดมไปด้วยฟรุกโตส ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของผึ้งและแมลงนานาชนิด จึงได้มีการนำน้ำหวานส่วนนี้มาทำเป็นน้ำตาลเพื่อใช้ปรุงอาหารคาวหวาน หรือทำเป็นน้ำตาลสดไว้เป็นเครื่องดื่มเพิ่มพลังก็ได้
14. จาวมะพร้าวนำมาใช้ทำเป็นอาหารได้
15. จาวมะพร้าวช่วยกระตุ้นการเจริญเติบของพืชที่ปลูกได้ เพราะมีฮอร์โมนออกซิน ซึ่งเมื่อนำไปคั้นก็จะได้น้ำไว้สำหรับรดต้นพืชที่ปลูก
16. ใบมะพร้าวนิยมนำมาใช้สานเป็นภาชนะใส่ของ ห่อขนม สานหมวกกันแดดหรือเครื่องเล่นเด็ก กระจาด กระเช้า ตะกร้า ทำของที่ระลึกรูปสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น
17. ก้านใบมะพร้าวหรือทางมะพร้าว นำมาใช้ทำเป็นไม้กวาดทางมะพร้าว เสวียนหม้อหรือก้นหม้อ เครื่องประดับข้างฝา พัด ภาชนะปักดอกไม้ กระเป๋า กระจาด เป็นต้น
18. รกมะพร้าวหรือเยื่อหุ้มคอมะพร้าว ลักษณะเป็นแผ่นใยหยาบ ๆ บาง ๆ มีความยืดหยุ่น (แต่ขาดง่าย) นิยมนำมาทำเป็นกระเป๋า หมวก รองเท้าแตะ ดอกไม้ประด��ษฐ์ กล่องใส่ของ สิ่งประดิษฐ์ใช้ตกแต่งงานศิลปะต่าง ๆ เป็นต้น
19. กะลามะพร้าวนิยมนำไปใช้ทำสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กระบวย กระดุม ซออู้ โคมไฟ เครื่องประดับ เครื่องดนตรี ที่วางแก้วน้ำ ที่เขี่ยบุหรี่ รวมไปถึงทำเป็นถ่านหุงต้ม ถ่านกัมมันต์ น้ำควัน และถ่านสำหรับป้องกันมอดแมลงก็ได้เช่นกัน และอีกสารพัด (ที่อาจารย์สั่งให้ทำส่งเพื่อแลกกับคะแนน)
20. รากมะพร้าวมีเส้นยาว เหนียวเป็นพิเศษ ใช้สานเป็นตะกร้า ถาด ภาชนะต่าง ๆ และสิ่งประดิษฐ์ทั่ว ๆไป
21. ลำต้น เมื่อถูกโค่นทิ้งแล้วสามารถนำมาใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ เก้าอี้ ทำรั้ว ฝาผนัง กระถางต้นไม้ ตกแต่งสวน เป็นต้น
คุณค่าทางโภชนาการของเนื้อมะพร้าวต่อ 100กรัม
🥥 พลังงาน 1,480 กิโลแคลอรี
🥥 คาร์โบไฮเดรต 24.23 กรัม
🥥 น้ำตาล 6.23 กรัม
🥥 เส้นใย 9 กรัม
🥥 ไขมัน 33.49 กรัม
🥥 โปรตีน 3.33 กรัม
🥥 วิตามินบี 1 0.66 มิลลิกรัม 6%
🥥 วิตามินบี 2 0.02 มิลลิกรัม 2%
🥥 วิตามินบี 3 0.54 มิลลิกรัม 4%
🥥 วิตามินบี 5 1.014 มิลลิกรัม 20%
🥥 วิตามินบี 6 0.05 มิลลิกรัม 4%
🥥 วิตามินซี 3.3 มิลลิกรัม 4%
🥥 ธาตุแคลเซียม 14 มิลลิกรัม 1%
🥥 ธาตุเหล็ก 2.43 มิลลิกรัม 19%
🥥 ธาตุแมกนีเซียม 32 มิลลิกรัม 9%
🥥 ธาตุฟอสฟอรัส 113 มิลลิกรัม 16%
🥥 ธาตุโพแทสเซียม 356 มิลลิกรัม 8%
🥥 ธาตุสังกะสี 1.1 มิลลิกรัม 12%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
คุณค่าทางโภชนาการของน้ำมะพร้าวต่อ 100 กรัม
🥥 พลังงาน 79 กิโลแคลอรี
🥥 คาร์โบไฮเดรต 3.71 กรัม
🥥 น้ำตาล 2.61 กรัม
🥥 เส้นใย 1.1 กรัม
🥥 ไขมัน 0.2 กรัม
🥥 โปรตีน 0.72 กรัม
🥥 วิตามินบี 1 0.03 มิลลิกรัม 3%
🥥 วิตามินบี 2 0.057 มิลลิกรัม 5%
🥥 วิตามินบี 3 0.08 มิลลิกรัม 1%
🥥 วิตามินบี 6 0.032 มิลลิกรัม 2%
🥥 วิตามินซี 2.4 มิลลิกรัม 3%
🥥 ธาตุแคลเซียม 24 มิลลิกรัม 2%
🥥 ธาตุเหล็ก 0.29 มิลลิกรัม 2%
🥥 ธาตุแมกนีเซียม 25 มิลลิกรัม 7%
🥥 ธาตุฟอสฟอรัส 20 มิลลิกรัม 3%
🥥 ธาตุโพแทสเซียม 250 มิลลิกรัม 5%
🥥 ธาตุสังกะสี 0.1 มิลลิกรัม 1%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
มะพร้าว สรรพคุณและประโยชน์ของมะพร้าว น้ำมะพร้าว 81 ข้อ ! , มะพร้าว สรรพคุณและปร��โยชน์ของมะพร้าว , Coconut , มะพร้าว , เนื้อมะพร้าว , น้ำมะพร้าว , มะพร้าวปั่นนมสด , แกงเผ็ดยอดมะพร้าว , ไอศกรีมมะพร้าวอ่อน , พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน , เค้กมะพร้าวอ่อน , ประโยชน์ของมะพร้าว , คุณค่าทางโภชนาการของมะพร้าว , Coconut Benefits , Coconut Meat , Coconut Water , Coconut oil , Benefits of Coconut , Raw Coconut Benefits , Coconut Milk , Dry Coconut , Health Benefits of Coconut
ที่มา :: https://medthai.com/ , https://prinkotakoon.blogspot.com/2024/11/coconut.html
#มะพร้าว สรรพคุณและประโยชน์ของมะพร้าว น้ำมะพร้าว 81 ข้อ !#Coconut#มะพร้าว#เนื้อมะพร้าว#น้ำมะพร้าว#มะพร้าว สรรพคุณและประโยชน์ของมะพร้าว#มะพร้าวปั่นนมสด#แกงเผ็ดยอดมะพร้าว#ไอศกรีมมะพร้าวอ่อน#พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน#เค้กมะพร้าวอ่อน#ประโยชน์ของมะพร้าว#คุณค่าทางโภชนาการของมะพร้าว#Coconut Benefits#Coconut Meat#Coconut Water#Coconut oil#Benefits of Coconut#Raw Coconut Benefits#Coconut Milk#Dry Coconut#Health Benefits of Coconut
2 notes
·
View notes
Text
ไอเดียวาดรูป ,
Learn 2 Draw ,
#Drawing
2 notes
·
View notes
Text
ผัดลูกชิ้นถั่วฝักยาว (Stir Fried Meat Ball And Long Beans)
ผัดลูกชิ้นถั่วฝักยาว
ส่วนผสม
พริกแกง 1-2 ช้อนโต๊ะ
ลูกชิ้น200 กรัม
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสเห็ดหอม 1 ช้อนโต๊ะ
ผงปรุงรสเห็ดหอม 1/2 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
แครอท
ถั่วฝักยาว
ใบมะกรูด 3-4 ใบ
พริกแดงหั่น
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ใส่น้ำมันลงในกระทะ ใส่พริกแกงลงไปผัดให้มีกลิ่นหอม
2. ใส่ลูกชิ้นลงไป ปรุงรสตามชอบ ผัดจนเข้ากัน
3. ใส่ถั่วฝักยาว แครอท ลงไป แล้วผัดจนเข้ากัน
4. ใส่พริกแดงและใบมะกรูดลงไป ผัดพอเข้ากัน ตักเสิร์ฟ
ผัดลูกชิ้นถั่วฝักยาว , Stir Fried Meat Ball And Long Beans
2 notes
·
View notes
Text
ไก่หวาน (Sweet Chicken Condiment)
ไก่หวาน (Sweet Chicken Condiment)
เคล็ดลับทำ ไก่หวาน ให้อร��อย ควรหมักไก่ให้เข้าเนื้อ เพื่อให้เนื้อนุ่มและมีรสชาติก่อน โดยใส่ซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ ลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วหมักทิ้งไว้ 30 นาที พอครบเวลา จึงค่อยนำมาผัดให้สุก โดยตัวซีอิ๊วดำจะช่วยแต่งสี ทำให้ไก่หวานของคุณ น่ารับประทานมากขึ้น
สำหรับการทำไก่หวาน ให้หวานฉ่ำ หลังจากผัดจนเนื้อไก่รัดตัวแล้ว ให้เติมน้ำเปล่าลงไป เพื่อให้มีซอสขลุกขลิก และ ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป แล้วเคี่ยวทิ้งไว้ ให้ซอสมีความข้นเหนียว ตัวน้ำตาลปี๊บจะละลายกลายเป็นเนื้อเดียว ทำให้เนื้อไก่ และ น้ำซอส มีรสชาติหวานอร่อย
วิธีทำ ไก่หวาน ด้วยตัวเองที่บ้าน
วิธีทำไก่หวาน ด้วยตัวเองที่บ้าน ทำได้ง่ายมาก ๆ เริ่มจากหมักไก่ โดยใส่ซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วหมักไว้ 30 นาที จากนั้น นำมาผัดคลุกเคล้ากับหอมแดง พอเนื้อไก่เริ่มรัดตัวแล้ว ให้เติมน้ำเปล่าลงไปเล็กน้อยด้วย เพื่อให้มีซอสขลุกขลิก ปรุงรสด้วย น้ำตาลปี๊บ ให้มีรสหวานเค็ม เพียงเท่านี้ ก็จะได้ไก่หวานอร่อย ๆ สำหรับราดข้าว เป็นอาหารจานเดียว หรือ เป็นกับข้าว ทานกันทั้งครอบครัวได้แล้ว
ส่วนผสม
เนื้อสะโพกไก่ 1/2 กิโลกรัม
ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1 ขีด
หอมแดง 10 หัว
น้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
ใช้มีดหั่นเนื้อสะโพกไก่เป็นชิ้น ๆ
เตรียมชามผสม ใส่เนื้อสะโพกไก่ลงไป ตามด้วย ซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วหมักทิ้งไว้ 30 นาที
ตั้งกระทะ เปิดไฟกลาง ใส่น้ำมันลงไป ตามด้วย หอมแดง ผัดให้เหลืองหอม
จากนั้น ใส่เนื้อไก่ที่หมักไว้ ลงไป ผัดไปเรื่อย ๆ จนกว่าเนื้อไก่จะรัดตัว
���ติมน้ำเปล่าลงไปเล็กน้อย แล้วพักทิ้งไว้ เคี่ยวให้เนื้อไก่สุก
ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป คนให้ละลายเข้ากัน จากนั้น เคี่ยวต่อไปให้น้ำซอสมีความข้นเหนียว และ เนื้อไก่สุกดี เป็นอันเสร็จ
ไก่หวาน Sweet Chicken Condiment , ไก่หวาน , Sweet Chicken , Chicken
ที่มา :: https://www.sgethai.com/ , https://prinkotakoon.blogspot.com/2024/11/sweet-chicken.html
2 notes
·
View notes
Text
จะเกิดอะไรขึ้น! หากดื่ม มัทฉะ (Matcha) ชาเขียวทุกวัน?
จะเกิดอะไรขึ้น! หากดื่ม มัทฉะ (Matcha) ชาเขียวทุกวัน?
มัทฉะคืออะไร?
มัทฉะ (Matcha) เป็นชาเขียวผงชน��ดพิเศษที่ปลูกและผลิตในประเทศญี่ปุ่น เป็นส่วนสำคัญของพิธีชงชาแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีมานานหลายศตวรรษ และได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลกจากรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และด้านประโยชน์ต่อสุขภาพ คำว่า "มัทฉะ" นั้นแปลว่า "ชาผง" "抹" อ่านว่า "มะ" และแปลว่า "ถู" หรือ "บด" "茶" อ่านว่า "ชา" แปลว่า "ชา" ดังนั้น เมื่อรวมกันแล้ว "抹茶" หมายถึง "ชาบด"หรือ"ชาผง" ซึ่งก็คือมัทฉะนั่นเอง - ผงบดละเอียดของใบชาเขียวที่ปลูกเป็นพิเศษและแปรรูป
ต้นกำเนิด
ต้นกำเนิดของมัทฉะต้องย้อนกลับไปที่ประเทศจีนในช่วงราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) ชาวจีนในยุคนั้นจะนำใบชามานึ่งแล้วปั้นเป็นก้อนอิฐเพื่อความสะดวกในการขนส่งและค้าขาย จากนั้นนำก้อนชาเหล่านี้มาบดเป็นผงแล้วผสมกับน้ำร้อน การบริโภคชารูปแบบนี้ได้แพร่ไปยังประเทศญี่ปุ่นโดยพระสงฆ์ชื่อ Eisai ในช่วงปลายศตวรรษที่ 12 ซึ่งชาชนิดนี้ถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาในอารามทางพุทธศาสนา อย่างไรก็ตาม ในญี่ปุ่นนั้นการเพาะปลูกและการบริโภคชาผงนั้นเฟื่องฟูอย่างแท้จริง ในที่สุดก็พัฒนาเป็นรูปแบบพิเศษที่เรียกว่ามัทฉะ ชาวญี่ปุ่นเริ่มปลูกต้นชาในที่ร่มเพื่อเพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์ในใบ ซึ่งทำให้ผงชาที่ได้มีสีเขียวสดใสและมีรสชาติเฉพาะตัว วิธีการปลูกนี้ยังช่วยเพิ่มระดับของสารอาหารบางชนิดในชา รวมทั้งแอล-ธีอะนีนและคาเฟอีน ในศตวรรษที่ 16 ปรมาจารย์ด้านชาชื่อ Sen no Rikyu ได้กำหนดวิธีการทำและเสิร์ฟมัทฉะตามแบบพิธีการ ซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นและยังคงปฏิบัติตามมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้เขายังมีบทบาทสำคัญในการทำให้มัทฉะเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นซามูไรของญี่ปุ่นอีกดวย เมื่อเวลาผ่านไป มัทฉะกลายเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมและประเพณีของญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านพิธีชงชาที่เรียกว่า "ชาโนยุ (Chanoyu)" หรือวิถีแห่งชา พิธีนี้เป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี ความเคารพ ความบริสุทธิ์ และความเงียบสงบ แม้ว่ามัทฉะจะเลิกได้รับความนิยมในจีนและนิยมนำไปชงเป็นชาใบหลวมแทน แต่ก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมญี่ปุ่นและเริ่มได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลกในศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันมัทฉะได้รับความนิยมไม่เพียงแค่รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และประโยชน์ต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้งอีกด้วย กระบวนการผลิต
การผลิตมัทฉะเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน สองสามสัปดาห์ก่อนการเก็บเกี่ยว ต้นชาที่ใช้สำหรับมัทฉะจะได้รับร่มเงาเพื่อป้องกันแสงแดดโดยตรง กระบวนการนี้จะเพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์ ทำให้ใบมีสีเขียวสดใส และเพิ่มปริมาณกรดอะมิโน โดยเฉพาะ แอล-ธีอะนีน ซึ่งเชื่อว่ามีผลทำให้สงบ ผ่อนคลาย หลังจากเก็บใบแล้ว ก็นำไปนึ่ง จากนั้นผึ่งลมให้แห้ง ใบชาแห้งที่เรียกว่า “เทนฉะ” จะถูกบดเป็นผงละเอียดโดยใช้เครื่องโม่หิน ผงละเอียดนี้เป็นผงมัทฉะที่ใช้ในพิธีชงชาและปรุงอาหาร รสชาติ
มัทฉะโดดเด่นในรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อุดมไปด้วยผักและรสหวานเล็กน้อย หรืออาจจะมีรสขมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นมัทฉะคุณภาพต่ำหรือชงด้วยน้ำที่ร้อนเกินไป
ขั้นตอนการชงมัทฉะที่ดีที่สุด
การชงมัทฉะเป็นวิธีการที่สงบ ใจเย็น ใช้เวลาและได้เพลิดเพลินไปกับมัน ผลลัพธ์ที่ได้คือเครื่องดื่มสีเขียวที่สวยงาม มีชีวิตชีวา และดีต่อสุขภาพ
อุ่นชาม ขั้นแรก เทน้ำร้อนลงในชามมัทฉะเพื่อให้ชามอุ่น หลังจากนั้นสักครู่ ให้เทน้ำทิ้งและใช้ผ้าเช็ดชามให้แห้ง
ตวงผงมัทฉะ ใช้ chashaku (ช้อนไม้ไผ่) ตวงผงมัทฉะ 1-2 สกู้ป (เทียบเท่า 1-2 ช้อนชา) แล้วใส่ลงในชามที่อุ่นไว้ หากต้องการรสชาติที่เข้มข้นขึ้น ก็สามารถเติมมัทฉะเพิ่มได้
เติมน้ำ เทน้ำร้อนประมาณ 2 ออนซ์ (60 มิลลิลิตร) ลงในชาม น้ำควรร้อนแต่ต้องไม่เดือด อุณหภูมิที่เหมาะสมคือประมาณ 80°C (175°F) น้ำเดือดอาจทำให้มัทฉะไหม้และทำให้มีรสขมได้
ตีมัทฉะ ใช้ Chasen (ตะกร้อไม้ไผ่) ผสมผงมัทฉะกับน้ำเข้าด้วยกัน ปัดในลักษณะซิกแซกหรือตัวอักษร "W" จนกว่าผงทั้งหมดจะละลายและชาเกิดฟอง ควรใช้เวลาประมาณ 15-30 วินาที
พร้อมดื่ม ตอนนี้ชามัทฉะก็พร้อมดื่มแล้ว! ให้ดื่มด่ำรสชาติและกลิ่นหอมในขณะที่ยังอุ่นและเป็นฟองอยู่
ประโยชน์ของมัทฉะ
โดยปกติแล้วผงมัทฉะธรรมดามีแคลอรีที่ต่ำมากและสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการไดเอทและสุขภาพที่ดีได้ การดื่มมัทฉะทุกวันนั้นมีประโยชน์มากมาย ทั้งในด้านของสุขภาพกาย และสุขภาพจิต
อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) มัทฉะเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะ "คาเทชิน (catechins)" ซึ่งเป็นสารประกอบตามธรรมชาติที่ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์และให้ประโยชน์ต่อสุขภาพอื่นๆ สารต้านอนุมูลอิสระที่มีความเข้มข้นสูงในมัทฉะช่วยให้ร่างกายป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระที่เป็นอันตราย ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็งได้
ช่วยให้จิตใจความสงบ ผ่อนคลาย มัทฉะมีกรดอะมิโนแอล-ธีอะนีน (amino acid L-Theanine) ซึ่งจะช่วยเพิ่มคลื่นอัลฟ่าในสมอง ทำให้รู้สึกผ่อนคลายโดยไม่รู้สึกง่วงนอน สิ่งนี้สามารถช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ แอล-ธีอะนีนยังช่วยเพิ่มสมาธิและความจำ ทำให้มัทฉะเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ในการเริ่มต้นวันใหม่ที่��ดใส
บำรุงหัวใจ การบริโภคมัทฉะเป็นประจำสามารถช่วยบำรุงหัวใจได้เนื่องจากมีผลในการลดคอเลสเตอรอล สารต้านอนุมูลอิสระในมัทฉะสามารถช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันของคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลที่ "ไม่ดี") ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจได้
ให้พลังงานที่เสถียร มัทฉะให้พลังงานที่เสถียรอ่อนโยน เนื่องจากการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ของคาเฟอีนจากธรรมชาติและแอล-ธีอะนีน ทำให้รู้สึกกระฉับกระเฉงแบบอ่อนโยน ซึ่งแตกต่างจากกาแฟซึ่งสามารถทำให้หัวใจเต้นเร็วเกินได้ คาเฟอีนในมัทฉะจะถูกปล่อยออกมาอย่างช้าๆ ทำให้ระดับพลังงานคงที่
ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก การศึกษาชี้ให้เห็นว่าคาเทชินในมัทฉะสามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันได้ ซึ่งสามารถช่วยให้บรรลุเป้าหมายการลดน้ำหนักได้ง่ายและเร็วขึ้น มัทฉะสามารถเป็นตัวช่วยเสริมที่ดีสำหรับการไดเอทและการใช้ชีวิตในประจำวัน
ล้างพิษในร่างกาย คลอโรฟิลล์ที่มีอยู่ในมัทฉะ (ซึ่งทำให้มีสีเขียวสดใส) การดื่มชานี้เป็นประจำสามารถช่วยล้างพิษในร่างกายตามธรรมชาติ ขจัดสารพิษที่เป็นอันตรายออกจากระบบร่างกาย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตับอีกด้วย
ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน การรวมกันของสารต้านอนุมูลอิสระ, แอล-ธีอะนีน, EGCG (Epigallocatechin Gallate) และวิตามินต่างๆ ที่มีอยู่ในมัทฉะทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
มัทฉะในการทำอาหาร
นอกเหนือจากการเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพแล้ว มัทฉะยังนิยมในฐานะส่วนผสมในการทำอาหารและการอบอีกด้วย มัทฉะให้สีเขียวที่สวยงามและรสชาติที่โดดเด่นแก่อาหารหลากหลายชนิด มัทฉะใช้ในการทำไอศกรีม เค้ก สมูทตี้ ลาเต้ และแม้แต่อาหารคาว เช่น พาสต้า ซุป ริซอตโต้ เป็นต้น เคล็ดลับการจัดเก็บรักษามัทฉะ
การเก็บมัทฉะอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการรักษารสชาติ สี และคุณค่าทางโภชนาการ
อย่าให้สัมผัสกับอากาศ เก็บมัทฉะไว้ในภาชนะที่ปิดสนิทเพื่อป้องกันไม่ให้สัมผัสกับออกซิเจน การสัมผัสกับอากาศอาจทำให้คุณภาพของมัทฉะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้สูญเสียสีเขียวสดและรสชาติที่เพี้ยนออกไป
เย็นและมืด เก็บมัทฉะไว้ในที่เย็น 15-20°C (59-68°F) และมืด ตู้ครัวที่อยู่ห่างจากแหล่งความร้อนเป็นตัวเลือกที่ดี แสงและความร้อนสามารถทำให้คุณภาพของมัทฉะลดลงได้
การแช่เย็น หากไม่ได้วางแผนที่จะใช้มัทฉะภายในสองสามสัปดาห์หลังจากเปิด ให้เก็บไว้ในตู้เย็น 1-4°C (34-39°F) อุณหภูมิที่เย็นสามารถช่วยรักษาคุณภาพของมัทฉะได้ อย่างไรก็ตาม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าภาชนะบรรจุนั้นปิดสนิทก่อนที่จะนำไปแช่เย็น เนื่องจากมัทฉะสามารถดูดซับกลิ่นจากอาหารอื่นๆได้ เมื่อนำออกจากตู้เย็น ปล่อยทิ้งไว้สักพักให้เป็นอุณหภูมิห้องก่อนเปิดภาชนะเพื่อหลีกเลี่ยงการควบแน่นภายใน
บริโภคทันที เมื่อเปิดบรรจุภัณฑ์มัทฉะแล้ว ควรใช้ให้หมดภายใน2-3สัปดาห์ เพราะมัทฉะไวต่ออากาศ แสง และความร้อน ดังนั้นแม้ในสภาวะที่เหมาะสม ก็ควรบริโภคให้เร็วที่สุดเพื่อให้ได้รสชาติที่สดใหม่ที่สุด
หลีกเลี่ยงการแช่แข็ง ไม่แนะนำให้แช่แข็งมัทฉะ ซึ่งแตกต่างจากชาอื่นๆ เนื่องจากกระบวนก��รแช่แข็งและการละลายอาจทำให้เกิดการควบแน่นซึ่งทำให้คุณภาพของชาลดลงอย่างมาก
มัทฉะเป็นชาที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการเก็บรักษามากกว่าชาประเภทอื่นเล็กน้อย เมื่อทำตามหลักเกณฑ์เหล่านี้ มั่นใจได้เลยว่ามัทฉะจะยังคงสดใหม่และมีรสชาติดีมากที่สุด มัทฉะมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ควรดื่มทุกวัน และนำไปใช้งานได้หลากหลายในการประกอบอาหารหรือขนมต่างๆ เป็นชาประเภทหนึ่งที่โดดเด่นอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบการดื่มชามาเป็นเวลานานหรือเพิ่งเริ่มรู้จักโลกของชา มัทฉะจะมอบประสบการณ์ที่ดีและคุ้มค่าแก่การลอง
Matcha , มัทฉะ , Matcha , ชาเขียว , จะเกิดอะไรขึ้น! หากดื่ม มัทฉะ (Matcha) ชาเขียวทุกวัน?
ที่มา :: https://www.bigfridgeboy.com/ , https://prinkotakoon.blogspot.com/2024/11/matcha.html
1 note
·
View note
Text
Matcha Coffee มัทฉะผสมกาแฟ
Matcha Coffee มัทฉะผสมกาแฟ
Matcha Coffee 抹茶コーヒー
เครื่องดื่มของคนรักมัทฉะเเละกาแฟ ได้รสมัทฉะที่หวานละมุนกับรสขมของกาแฟที่เข้ากันอย่างลงตัว เย็นชดชื่น กลิ่นหอมน่าลิ้มลอง กับการทําที่แสนง่าย เเค่คุณมีเพียง ผงมัทฉะ กับกาแฟ ก็ได้เครื่องดื่มโปรดใหม่ที่อร่อย กลมกล่อม
ส่วนผสมสำคัญ
- ผงมัทฉะ 3 g - น้ำร้อน 40 ml - นมข้นหวาน 20 g - นมสด 90 ml - เอสเปรสโซ่ 50 ml
ขั้นตอนการทำ
ใส่ผงมัทฉะ MATCHA ลงในถ้วยชงชา เทน้ำร้อน และใช้แปรงชงชาละลายผงมัทฉะ
ผสมจนผงมัทฉะเข้ากับน้ำดีแล้ว ใส่นมข้นหวานลงในมัทฉะ คนให้เข้ากัน
เทมัทฉะใส่แก้วเสิร์ฟ เติมน้ำแข็ง ตามด้วยนมสด และปิดท้ายชั้นบนสุดด้วยเอสเปรสโซ่ พร้อมเสิร์ฟ!
Matcha Coffee , Matcha Coffee มัทฉะผสมกาแฟ , Matcha , Coffee , มัทฉะผสมกาแฟ
2 notes
·
View notes
Text
ลาเต้อาร์ต (Latte Art)
ศิลปะบนแก้วกาแฟนม มีต้นกำเนิดมาจากใคร ?
จุดเริ่มต้นของ Latte Art ศิลปะการวาดบนกาแฟที่น่าหลงใหล
คนชอบทานกาแฟนม ย่อมรู้ดีว่า Latte Art นั้นดีต่อใจ ความจริงแล้ว Latte Art เริ่มต้นมาจากไหน ทำไมมีอิทธิพลต่อการชงกาแฟ และปัจจุบันพัฒนามาถึงขนาดไหนแล้ว บทความนี้จะพาคุณไปหาคำตอบกัน
จุดเริ่มต้นของ LATTE ART
Latte Art หรือการแต่งหน้าฟองนมบนแก้วกาแฟ มีจุดเริ่มต้นมาจากเมืองซีแอตเทิล ประเทศสหรัฐอเมริกา จากร้านกาแฟ Espresso Vivace ของเดวิด โชเมอร์ ( David Schomer ) ผู้ที่มีความสนใจด้านงานศิลปะและพยายามหาจุดแตกต่างให้กาแฟที่เขาขาย จึงพยายามคิดค้นกาแฟที่ดีที่สุด เพื่อทำให้ผู้ดื่มประทับใจ เดวิดเป็นหนึ่งในผู้คิดค้นและทำให้ลาเต้อาร์ตได้รับความนิยมในช่วงทศวรรษ 1990 จนถึงปัจจุบัน และเขายังเป็นผู้ที่คิดค้นการรักษาอุณหภูมิของน้ำเพื่อดึงเอาความหวานของกาแฟเอสเพรซโซ่ออกมาได้อีกด้วย
ลวดลายของ LATTE ART มีกี่แบบ ?
ลายแรกที่ขึ้นเกิดขึ้นจากการทำลาเต้อาร์ตนั่นคือรูปหัวใจ ซึ่งถูกพัฒนาขึ่นโดยเดวิด โชเมอร์ ต่อมามีการทดลองวาดลวดลายหลากหลายแบบ และการทำ Latte Art ได้รับความนิยมมากถึงขั้นมีการแข่งขันระดับโลก เข่น World Latte Art Championship
หากถามว่า Latte Art มีกี่ลวดลาย คำตอบคือนับไม่ถ้วน แต่หากถามว่ามีวิธีการทำกี่แบบ คำตอบคือ มีอยู่หลักๆ 2 วิธี นั่นคือ แบบ Free Pouring การใช้ Pitcher และความชำนาญของบาริสต้าในการวาดลวดลายจากการราดฟองนมบนกาแฟเอสเพรซโซ่ และแบบ Etching คือการใช้เครื่องมือคล้ายไม้จิ้มฟัน วาดเป็นลวดลายหลังจากราดฟองนมบนเอสเพรซโซ่แล้ว
LATTE ART ที่ดีต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง ?
ในปัจจุบัน มีการตีฟองนมจนละเอียดขนาด Micro Foam ทำให้การวาดลวดลายของ Latte Art ได้รับความนิมอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากลวดลายที่ทำแล้วเห็นลวดลายได้ชัดเจน จนการทำ Latte Art กลายเป็นงานศิลปะชนิดหนึ่ง การที่จะได้กาแฟที่มีลาเต้อาร์ต��ีๆสักแก้ว ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์และเทคนิคเฉพาะตัวของบาริสต้า รวมไปถึงความละเอียดของฟองนม ความลงตัวที่เข้ากันกับเอสเพรซโว่จนได้สีและลวดลายที่สวยงาม
2 notes
·
View notes
Text
ลาเต้ คืออะไร พร้อมแจกสูตรลาเต้เย็น ถูกใจคอกาแฟ
ลาเต้ คืออะไร พร้อมแจกสูตรลาเต้เย็น ถูกใจคอกาแฟ
ลาเต้ (Latte) เมนูกาแฟที่มีกลิ่นหอม รสกลมกล่อม และสัมผัสนุ่มละมุน กลายเป็นกาแฟแก้วโปรดของหลายๆ คน ซึ่งใครที่ต้องการประหยัดงบค่ากาแฟ หรือดื่มลาเต้รสชาติที่ตนเองชอบโดยเฉพาะ ก็สามารถชงเองได้ที่บ้าน เนื่องจากใช้ส่วนผสมเพียงไม่กี่ชนิด ประหยัดเงิน ที่สำคัญใช้เวลาชงไม่นานก็สามารถดื่มกาแฟ เติมพลังก่อนเริ่มวันใหม่ได้แล้ว
ลาเต้ คืออะไร
ลาเต้ คือ เมนูกาแฟไล่ระดับชั้น โดยชั้นบนสุดเป็นฟองนม โฟมนม และชั้นล่างเป็นเอสเปรสโซ ในอัตราส่วน 1:1:3 เมนูนี้ไม่มีต้นกำเนิดแน่ชัด แต่เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดจากเมืองซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา ในช่วงปี 80 ต่อมาในช่วงปลายปี 90 ลาเต้อาร์ตหรือการวาดลวดลายจากฟองนม ก็ได้ถือกำเนิดในเมืองดังกล่าวเช่นเดียวกัน
ลาเต้เย็นกับคาปูเย็นต่างกันยังไง
หากใครที่ไม่ใช่คอกาแฟหรือเป็นนักดื่มกาแฟหน้าใหม่ อาจเกิดความสับสนระหว่างลาเต้กับคาปู หรือคาปูชิโนได้ เนื่องจากมีหน้าตาภายนอกคล้ายกัน เพียงแต่ลาเต้จะใส่นมในปริมาณที่มากกว่า เพื่อลดความเข้มของกาแฟและเพิ่มความนุ่มละมุนให้กับรสชาติ ส่วนคาปูชิโนจะใส่นมและกาแฟในอัตราส่วนเท่าๆ กัน
เอสเปรสโซกับลาเต้ต่างกันยังไง
แจก 3 สูตรลาเต้ ส่วนผสมหาง่าย ชงเองได้ที่บ้าน
1. สูตรลาเต้เย็น เพิ่มความสดชื่น
ลาเต้เย็น ส่วนผสม
เอสเปรสโซ 50 มิลลิลิตร
นมข้นจืด 25 มิลลิลิตร
นมสด 25 มิลลิลิตร
นมข้นหวาน 35 มิลลิลิตร
วิธีทำลาเต้เย็น
1. ชงกาแฟเอสเปรสโซ จากนั้นผสมกับนมข้นหวานและนมข้นจืด ชงให้เข้ากัน 2. เตรียมน้ำแข็งใส่แก้ว เติมกาแฟที่ชงไว้ 3. ตีฟองนมสดจนร้อน จากนั้นเทลงชั้นบนสุด เป็นอันเสร็จสิ้น
2. สูตรลาเต้ร้อน ดื่มง่าย
ลาเต้ร้อน ส่วนผสม
เอสเปรสโซ 30 มิลลิลิตร
น้ำเชื่อม 1 ช้อนชา
นมจืด 10 มิลลิลิตร
วิธีทำลาเต้ร้อน
1. ชงกาแฟเอสเปรสโซเตรียมไว้ 2. เติมน้ำเชื่อม 1 ช้อนชา 3. ตีฟองนมจนร้อน จากนั้นเทลงชั้นบนสุด พร้อมเสิร์ฟ
3. ลาเต้ร้อนคาราเมล หวานหอม
ลาเต้ร้อนคาราเมล ส่วนผสม
เอสเปรสโซ 30 มิลลิลิตร
ไซรัปคาราเมล 1 ช้อนโต๊ะ
นมจืด 10 มิลลิลิตร
วิธีทำลาเต้ร้อนคาราเมล
1. ชงกาแฟเอสเปรสโซเตรียมไว้ 2. เติมไซรัปคาราเมล 3. ตีฟองนมจนร้อน จากนั้นเทลงชั้นบนสุด 4. ราดไซรัปคาราเมล ถือว่าเสร็จสิ้น พร้อมเสิร์ฟ
เมนูลาเต้กี่แคลอรี
เมนูลาเต้ 1 แก้ว ให้พลังงานสูงถึง 165-190 กิโลแคลอรี นับเป็นเมนูกาแฟที่มีแคลอรีสูงเป็นอันดับต้นๆ ดังนั้น หากใครที่เป็นคอกาแฟ แต่กำลังอยู่ในช่วงรักษาหุ่นหรือควบคุมน้ำหนัก แนะนำให้ดื่มในปริมาณที่พอดี หรือดื่มเมนูเอสเปรสโซและอเมริกาโนแทน เนื่องจากมีแคลอรีต่ำ
Latte , ลาเต้ คืออะไร , แจกสูตรลาเต้เย็น , คอกาแฟ
CR :: https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2701749
2 notes
·
View notes
Text
7 สูตรชงกาแฟลาเต้ อร่อยละมุนพร้อมเปิดร้านคาเฟ่
7 สูตรชงกาแฟลาเต้ อร่อยละมุนพร้อมเปิดร้านคาเฟ่
ประวัติลาเต้
��้นกำเนิดกาแฟชนิดนี้เชื่อกันว่ามาจากเมืองซีแอตเติล ประเทศสหรัฐอเมริกา จากร้านกาแฟที่ชื่อว่า “Espresso Vivace” ของเดวิด โชเมอร์ (David Schomer) ซึ่งหลังจากเกษียณจากการเป็นทหารจึงมาเปิดร้านกาแฟ ประมาณปี ค.ศ. 1988 เขาชื่นชอบการทำกาแฟใส่นม โดยการสร้างสรรค์หน้าตาโฟมนมขึ้นมาในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะลายหัวใจและใบเฟิร์น จนถูกเรียกว่า ลาเต้อาร์ตและได้รับความนิยมตั้งแต่ ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา
กาแฟลาเต้คืออะไร
ลาเต้ คือกาแฟใส่นมทำให้มีรสชาติอ่อนนุ่ม กลมกล่อม ดื่มง่ายขึ้น โดยลาเต้เป็นภาษาอิตาลี แปลว่า “นม” ดังนั้น “กาแฟลาเต้” หมายถึง กาแฟนมนั่นเอง
ลาเต้มีส่วนผสมอะไรบ้าง
ลาเต้มีส่วนผสมของเอสเปรสโซ ประมาณ 1-2 ชอต หรือในปริมาณเหมาะสม และนมอุ่นที่เทตามลงไปปริมาณมากจนเกือบเต็มแก้ว สุดท้ายใส่โฟมนมไล่ระดับชั้นบาง ๆ ที่ด้านบน หรืออาจสร้างลวดลายด้านบน เรียกว่า ลาเต้อาร์ต (Latte Art)
ลาเต้ อาร์ต (Latte Art) คืออะไร
ลาเต้อาร์ต คือ การสร้างลวดลายบนกาแฟ ซึ่งใช้โฟมนมในการสร้างสรรค์ นับว่าเป็นศิลปะที่สวยงาม มีความพิถีพิถัน สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ดื่มกาแฟ โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
การเทอิสระ (Free Pour) การเทโฟมนมเพื่อสร้างลวดลายบนกาแฟ ที่ต้องมีความนิ่ง มีสมาธิ และความอดทนสูง สามารถสร้างลวดลายต่าง ๆ ได้ตามชอบ เช่น รูปหัวใจ รูปแอปเปิล รูปใบไม้เดี่ยว รูปใบไม้คู่ รูปปลา เป็นต้น
การลาก (Drag) ใช้การลาก แกะ เขี่ย วาด หรือหยอดนม เป็นวิธีที่ไม่ยากเพราะไม่ต้องใช้เทคนิคมากมาย ด้วยอุปกรณ์ง่าย ๆ เช่น ไม้จิ้มฟัน ช้อน หรือหลอด เช่น ลายดอกเบญจมาศ ดอกเฟื่องฟ้า ดอกกุหลาบ ลายปลาดาว เป็นต้น
การผสมผสาน ใช้ทั้งเทคนิคการเทและการลาก ช่วยให้ได้ลวดลายที่มีความซับซ้อนสร้างลายที่ยากขึ้น เช่น รูปสัตว์หรือการ์ตูน เป็นต้น
ความแตกต่างระหว่างลาเต้และคาปูชิโน่
แม้ว่ากาแฟทั้งสองชนิดจะเป็นกาแฟฟองนมเช่นกัน แต่ลาเต้จะมีส่วนผสมของนมอุ่นมากกว่าเอสเปรสโซ รสชาติของกาแฟจะอ่อนหน่อย ส่วนคาปูชิโน่จะมีสัดส่วนของกาแฟกับนมใกล้เคียงกัน รสชาติจะเข้มข้นมากกว่า
เอาล่ะ… ต่อไปนี้เรามาดูสูตรชงกาแฟลาเต้กันเลยเผื่อใครคันไม้คันมืออยากลองทำกันจ้า
สูตรชงลาเต้
1. ลาเต้ร้อน
เริ่มกันที่สูตรชงกาแฟลาเต้ร้อน สูตรนี้ใช้เอสเปรสโซตามด้วยนมสด ด้านบนแต่งด้วยโฟมนมโดยตักหยอดหรือทำเป็นลายต่าง ๆ ได้ตามชอบ
ส่วนผสม ลาเต้ร้อน
เอสเปรสโซ 1 ชอต (30 มิลลิลิตร)
นมสด 6 ออนซ์ (180 มิลลิลิตร)
โฟมนม
วิธีทำลาเต้ร้อน
ชงกาแฟเอสเปรสโซ
เทกาแฟลงไปในแก้วกาแฟขนาด 8 ออนซ์
ใส่นมลงในเหยือกสเตนเลส สตรีมนมจนร้อน เทลงไปในแก้วกาแฟ
แต่งด้วยโฟมนมหรือลาเต้อาร์ตตามชอบ
2. ลาเต้เย็น
ลาเต้เย็น อีกทางเลือกของลูกค้าที่ไม่ชอบลาเต้ร้อน สูตรนี้ใส่นมข้นหวานกับนมข้นจืด สุดท้ายแต่งด้วยโฟมนม
ส่วนผสม ลาเต้เย็น
เอสเปรสโซ 3 ออนซ์ (90 มิลลิลิตร)
นมข้นหวาน 1.5 ออนซ์ (45 มิลลิลิตร)
นมข้นจืด 1 ออนซ์ (30 มิลลิลิตร)
นมสด 1 ออนซ์ (30 มิลลิลิตร)
วิธีทำลาเต้เย็น
ชงกาแฟเอสเปรสโซ
ผสมกาแฟ นมข้นหวาน และนมข้นจืด คนให้เข้ากัน เตรียมไว้
ตักน้ำแข็งใส่แก้ว เทกาแฟลงไป
ใส่นมลงในเหยือกสเตนเลส สตรีมนมจนร้อน แต่งด้วยโฟมนม ราดซอสตามชอบ
3. ลาเต้ปั่น
มาต่อกันที่เมนูลาเต้ปั่น สูตรนี้ใส่นมข้นหวาน นมข้นจืด และนมสดปั่นจนเนียนแล้วเทใส่แก้ว ด้านบนแต่งวิปครีมเพิ่มเติมได้
ส่วนผสม ลาเต้ปั่น
เอสเปรสโซ 2 ชอต (60 มิลลิลิตร)
นมข้นหวาน 2 ออนซ์ (60 มิลลิลิตร)
นมข้นจืด 1 ออนซ์ (30 มิลลิลิตร)
นมสด 3 ออนซ์ (90 มิลลิลิตร)
น้ำแข็ง 1 แก้ว (แก้วขนาด 22 ออนซ์)
วิธีทำลาเต้ปั่น
ชงกาแฟเอสเปรสโซ
ผสมกาแฟ นมข้นหวาน นมข้นจืด และนมสด คนให้เข้ากัน
ใส่น้ำแข็งลงในเครื่องปั่น เทกาแฟลงไป ปั่นจนเนียนละเอียด เทใส่แก้ว
แต่งด้วยโฟมนม ราดซอสตามชอบ
4. ลาเต้คาราเมลร้อน
สำ��รับลูกค้าที่เบื่อกับลาเต้แบบเดิม ๆ ทั้งลาเต้ร้อน ลาเต้เย็น หรือลาเต้ปั่น ลองมาทำลาเต้คาราเมลร้อนเป็นทางเลือกกันดู รสหวานหอมกลมกล่อม แต่งด้วยไซรัปคาราเมลเพิ่มสีสัน
ส่วนผสม ลาเต้คาราเมลร้อน
เอสเปรสโซ 1 ชอต (30 มิลลิลิตร)
ไซรัปคาราเมล 7 มิลลิลิตร
นมสด 1 ออนซ์ (30 มิลลิลิตร)
วิธีทำลาเต้คาราเมลร้อน
ชงกาแฟเอสเปรสโซ
เตรียมกาแฟใส่ถ้วย ใส่ไซรัปคาราเมลลงไป
ใส่นมลงในเหยือกสเตนเลส สตรีมนมจนร้อน เทลงบนกาแฟหรือเทแต่งด้านบนกาแฟ หรืออาจแต่งด้วยไซรัปคาราเมล
5. ลาเต้คาราเมลเย็น
ถ้าได้ขายลาเต้คาราเมลร้อนลองเพิ่มเมนูลาเต้คาราเมลเย็นเป็นอีกทางเลือกดีไหม จับทุกอย่างผสมให้เข้ากันแล้วเทใส่แก้วน้ำแข็ง แต่งด้วยโฟมนม
ส่วนผสม ลาเต้คาราเมลเย็น
เอสเปรสโซ 2 ชอต (60 มิลลิลิตร)
ไซรัปคาราเมล 15 มิลลิลิตร
นมข้นหวาน 20 มิลลิลิตร
นมสด 70 มิลลิลิตร
น้ำแข็ง
วิธีทำลาเต้คาราเมลเย็น
ชงกาแฟเอสเปรสโซ
ผสมไซรัปคาราเมล นมข้นหวาน และนมสด คนผสมให้เข้ากัน
ใส่กาแฟลงไป คนผสมให้เข้ากัน เทใส่แก้วน้ำแข็ง
ใส่นมลงในเหยือกสเตนเลส สตรีมนมจนร้อน เทแต่งด้านบนกาแฟ
6. ลาเต้มินต์
กาแฟลาเต้แก้วนี้ชื่อว่า ลาเต้มินต์ ใส่ไซรัปมินต์สีสวยและกลิ่นหอมเย็นสดชื่น ชงดื่มเองง่าย ๆ หรือชงขายก็สร้างความต่าง
ส่วนผสม ลาเต้มินต์
เอสเปรสโซ 2 ชอต (60 มิลลิลิตร)
ไซรัปมินต์ 30 มิลลิลิตร
นมสด 130 มิลลิลิตร
น้ำแข็ง
วิธีทำลาเต้มินต์
ชงกาแฟเอสเปรสโซ
ผสมนมสดกับไซรัปมินต์
เทใส่แก้ว ใส่น้ำแข็งจนเต็มถ้วย เทกาแฟลงไปจนหมด
7. ฮาเซลนัทลาเต้
อีกหนึ่งกาแฟลาเต้ที่น่าสนใจนั่นคือ ฮาเซลนัทลาเต้ ใส่ไซรัปฮาเซลนัทกลิ่นหอมหวาน เพิ่มความละมุนจากนมสด
ส่วนผสม ฮาเซลนัทลาเต้
เอสเปรสโซ 1 ชอต (30 มิลลิลิตร)
ไซรัปฮาเซลนัท 20 มิลลิลิตร
นมสด 240 มิลลิลิตร
โฟมนม ตามชอบ
วิธีทำฮาเซลนัทลาเต้
ชงกาแฟเอสเปรสโซ
ใส่กาแฟลงในถ้วย
ผสมนมสดกับไซรัปฮาเซลนัท เทใส่แก้วกาแฟ
ใส่นมลงในเหยือกสเตนเลส สตรีมนมจนร้อน เทแต่งด้านบนกาแฟ
ใครไม่ชอบกาแฟรสเข้มข้น กาแฟลาเต้อาจเป็นคำตอบ มีหลายสูตรให้ได้เลือกทำกินทำขายกัน จับคู่กับเบเกอรี่อีกสักชิ้นรับรองเด็ด
Latte ,
ขอบคุณข้อมูลจาก coffeeknown.com, coffeefavour.com
1 note
·
View note
Text
ความแตกต่างระหว่าง “คาปูชิโน่” กับ “ลาเต้”
ความแตกต่างระหว่าง “คาปูชิโน่” กับ “ลาเต้”
ในบรรดาอาณาจักรกาแฟใส่นมทั้งหมด เมนูระดับตำนานและเป็นที่นิยมมาเสมอ เห็นจะเป็น คาปูชิโน่ (Cappuccino) และลาเต้ (Latte) สองพี่น้องตระกูลกาแฟนมที่หลายคนก็ว่าคล้ายหลายคนก็ว่าเหมือนหรือแม้แต่บางคนก็อาจแยกทั้ง 2 เมนูไม่ออกกันเลยทีเดียว ซึ่งจริง ๆ แล้วทั้งคาปูชิโน่และลาเต้นั้น มีจุดต่างที่สามารถรับรู้ได้ไม่ยาก
ปริมาณนมและฟองนม
ทั้งคาปูชิโน่และลาเต้ ล้วนมีส่วนผสมของนมและฟองนมเหมือน ๆ กัน แต่ทว่า ปริมาณนมร้อนในคาปูชิโน่นั้นจะมีน้อยกว่าและมีฟองนมด้านบนมากระดับหนึ่ง ขณะที่ ลาเต้จะมีปริมาณนมร้อนที่มากกว่าคาปูและฟองนมน้อยกว่า
ความเข้มข้นของกาแฟ
ด้วยสัดส่วนของนมร้อนในคาปูชิโน่และลาเต้ที่ต่างกัน ซึ่งในคาปูชิโน่นั้นมีปริมาณที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับในลาเต้ ส่งผลให้คาปูชิโน่จะให้รสชาติกาแฟที่เข้มข้นกว่าลาเต้ ปริมาณนมไม่มากหรือน้อยจนเกินไป ขณะที่ในลาเต้มีปริมาณนมที่มากกว่า (Milk 2 : 1 Espresso) ส่งผลให้การเจือจางระหว่างนมและกาแฟในลาเต้จะมีมากกว่า รสชาติที่ได้จึงเบาสบายและมีความเข้มข้นน้อยกว่าคาปูชิโน่ระดับหนึ่ง
การโรยผงหรือเครื่องเทศ
ปกติแล้ววัฒนธรรมการโรยผงโกโก้ หรือ ผงอบเชย (Cinnamon) ไว้ด้านบนฟองนม มักพบในเมนู คาปูชิโน่ ถึงแม้ตามฉบับอิตาเลียนจะไม่มีการโรยผงใด ๆ เลยก็ตาม แต่คาปูชิโน่ในวัฒนธรรมหลายประเทศได้เพิ่มการโรยผงโกโก้ลงบนชั้นโฟมด้านบนสุด ขณะที่ลาเต้มักไม่ปรากฏการโรยผงใด ๆ ลงบนชั้นโฟมบางเหล่านั้น แต่กลับกันได้มีการนิยมทำลาเต้อาร์ต (Latte Art) ลายสวยทดแทน
คาปูชิโน่ เมนูที่คล้ายจะธรรมดาแต่ว่าเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าทึ่งและวัฒนธรรมการดื่มที่น่าสนใจ เป็นอีกหนึ่งเมนูกาแฟใส่นมที่ครองใจคอกาแฟมาแล้วทั่วโลก
Cappuccino , Latte , ความแตกต่างระหว่าง “คาปูชิโน่” กับ “ลาเต้” , คาปูชิโน่ , ลาเต้
CR :: https://chaodoi.co.th/what-is-cappuccino/
1 note
·
View note
Text
คาปูชิโน่ (Cappuccino) คืออะไร?
คาปูชิโน่ (Cappuccino) คืออะไร?
คาปูชิโน่ คือกาแฟอะไร?
คาปูชิโน่ เป็นเครื่องดื่มกาแฟที่ได้รับความนิยมมากชนิดหนึ่ง ซึ่งมีเบสเป็นเอสเปรสโซ่ช็อต ผสมกับนมร้อน แล้วออนท็อปด้วยฟองนม ก่อนจะตบท้ายด้วยการโรยผงโกโก้หรือผงซินนาม่อน จนได้กาแฟนมสีน้ำตาลอ่อน สไตล์คลาสสิกสุด ๆ แก้วหนึ่งซึ่ง 3 สัดส่วนสำคัญอันก่อให้เกิด คาปูชิโน่ นั้นมีสัดส่วน (Ratio) เป็น 1:1:1 ซึ่งทำให้รสชาติที่ได้ไม่เข้มหรือเบาจนเกินไป วัตถุดิบหลักทั้ง 3 จะช่วยเบลนด์กาแฟรสเข้มให้อ่อนนุ่ม ละมุน และดื่มง่าย คาปูชิโน่ จึงเป็นกาแฟแก้วโปรดของใครที่ไม่ชอบ��วามเข้มจนเกินไปของเอสเปรสโซ่ แต่ก็ยังคงความเป็นกาแฟที่ไม่ได้อ่อนจนเกินไป คาปูชิโน่ จึงเป็นดั่งเมนูสายกลางแก้วเด็ดของวงการกาแฟ
ความเป็นมาของ “คาปูชิโน่”
กาแฟนมรสนุ่มสไตล์คลาสสิกในชื่อ คาปูชิโน่ ปรากฏครั้งแรกทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ช่วงปี ค.ศ. 1930 และถึงแม้ว่าจะมีถิ่นฐานมาจากประเทศผู้ร่ำรวยอารยธรรมกาแฟ แต่ก็ยังมีเรื่องราวที่ซับซ้อนลงไปอีกสเต็ป เพราะคาปูชิโน่มีวัฒนธรรมตกทอดทางอ้อมมาจาก กาแฟสไตล์ออสเตรียที่ชื่อว่า “Kapuziner” เมนูกาแฟท้องถิ่นและขึ้นชื่อของกรุงเวียนนา หลายคนมักเรียกในอีกหลายชื่อว่า Viennese Coffee หรือ Café Viennois
“Kapuziner” เป็นเครื่องดื่มกาแฟแก้วแรก ๆ ของยุโรป ที่มีการเติมนมลงไป และถูกนำมาปรากฏตามร้านกาแฟในกรุงเวียนนา ราว ๆ ศตวรรษที่ 17 นอกจากนมแล้ว Kapuziner ยังถูกคิดค้นให้เติมครีม น้ำตาล หรือเครื่องเทศลงไป เช่น อบเชย หรือ ช็อกโกแลต ว่ากันว่าชื่อของเมนูนี้ ถูกตั้งตาม “Capuchin friars” บาทหลวงที่มีผ้าคลุมสีน้ำตาลคล้ายกับเมนูกาแฟแก้วนี้
ถัดจากนั้นนานนับศตวรรษ เศษเสี้ยวของวัฒนธรรมกาแฟเหล่านี้ได้ถูกหลอมรวมและถือกำเนิดเป็น “Cappuccino” จริง ๆ ณ อิตาลีในที่สุด โดยที่ Kapuziner ยังคงมีอยู่และไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดในปัจจุบัน อาจเรียกได้ว่าเป็น Kapuziner เปรียบเหมือนญาติห่าง ๆ ต่างเชื้อชาติของ คาปูชิโน่ ก็คงไม่เกินจริง
หลักในการดื่มคาปูชิโน่
เพียงผิวเผิน หลายคนอาจมองว่า เมนูกาแฟที่ดูหน้าตาเรียบง่าย อย่าง คาปูชิโน่ อาจมีหลักการดื่มไม่ยาก แค่ยกดื่มจบ ไม่ต้องสนอะไร แต่ความจริงแล้ว หลักการดื่มคาปูชิโน่แก้วธรรมดา สามารถเลือกดื่มได้หลากหลาย เพื่อที่จะซึมซับและดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟได้อย่างเต็มที่ โดยองค์ประกอบทั้ง 3 อย่างในคาปูชิโน่ มีการซุกซ่อนดีเทลที่เต็มไปด้วยอารยธรรมกาแฟและเป็นเหมือนการทดสอบฝีมือบาริสต้าไปด้วยในคราวเดียว โดยเฉพาะตรง “ฟองนม”
การดื่มคาปูชิโน่ฉบับอิตาเลียนแท้ ๆ เราไม่ควรนำช้อนไปคนมันให้แตกชั้นหรือให้ฟองแตกตัว แต่จะใช้วิธีจิบกาแฟไปพร้อมกับฟองนมด้านบน ให้รสกาแฟไหลผ่านฟองนมนุ่ม ๆ จะได้สัมผัสที่ละมุนเป็นพิเศษ และเมื่อดื่มคาปูชิโน่จนหมดแก้ว จะปรากฏฟองนมอีกเพียงเล็กน้อย ให้เราสามารถใช้ช้อนตักชิมคล้ายกับของหวานปิดท้ายได้อีกด้วย ที่สำคัญ ฟองนม ที่ออนท็อปบนคาปูชิโน่นั้น ยังสามารถบอกความเก่งและความละเอียดใส่ใจของบาริสต้าได้ในอีกทางด้วย เพราะว่าหากฟองนมมีการสลายก่อนที่กาแฟจะถูกดื่มจนหมด นั่นอาจหมายความว่า ฟองนม บนแก้วนั้น ถูกตีขึ้นฟองแบบรีบ ๆ และไร้คุณภาพ แต่หากฟองนมละเอียด นุ่ม และแน่น นั่งจะสื่อถึงว่า บาริสต้ามีความชำนาญและใส่ใจในกาแฟแต่ละแก้วอย่างแท้จริง
ถึงอย่างนั้น การดื่มคาปูชิโน่ตามฉบับดั้งเดิม แต่เสริม “การคนกาแฟให้เข้ากัน” ยังสามารถทำได้ เพราะตามฉบับอิตาเลียนแล้ว การคนคาปูชิโน่ให้เข้ากันก่อนดื่ม เป็นอีกวิธีดื่มหนึ่งที่ขึ้นอยู่กับตามความชอบส่วนบุคคล ซึ่งช่วยทำให้องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนเข้ากันดี โดยเฉพาะกรณีที่นักดื่มชอบใส่น้ำตาลลงไปด้วย การคนกาแฟก่อนเบา ๆ จึงสามารถเป็นอีกหลักการดื่มคาปูชิโน่สาขาย่อยได้เหมือนกัน
คาปูชิโน่ (Cappuccino) คืออะไร? , คาปูชิโน่ , Cappuccino
ที่มา :: https://chaodoi.co.th/what-is-cappuccino/
0 notes
Text
วิธีต้มไข่ไม่ให้แตก เลือกความสุกได้ พร้อมวิธีปอกเปลือกสุดง่าย
วิธีต้มไข่ไม่ให้แตก
ก่อนต้มไข่
เลือกใช้ไข่เก่า เนื่องจากไข่ใหม่จะมีช่องอากาศขนาดใหญ่กว่าไข่เก่า ทำให้เวลาต้มจะขยายตัวทำให้เปลือกแตกออกได้
นำไข่ออกมาวางไว้ที่อุณหภูมิห้องก่อนต้ม เนื่องจากไข่ที่เย็นจัด เมื่อนำลงไปในน้ำร้อน อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันจะทำให้เปลือกแตก ควรปล่อยให้ไข่ได้อยู่ในน้ำอุ่น ๆ ก่อนประมาณ 10-15 นาที
เจาะเปลือกไข่ด้านล่างให้เป็นรูเล็ก ๆ จะช่วยระบายอากาศในระหว่างต้มออกจากไข่ และลดแรงดันภายในไข่ ป้องกันการแตกได้
ระหว่างต้มไข่
เติมเกลือลงในน้ำ ประมาณ 1 ช้อนชา จะช่วยให้ไข่ขาวเกาะตัวกันแน่นขึ้น ป้องกันไม่ให้ไข่รั่วไหลออกมาหากเปลือกแตก
เริ่มต้มไข่จากน้ำเย็น โดยใส่ไข่ลงในหม้อที่มีน้ำเย็นก่อน จากนั้นเปิดไฟอ่อนค่อย ๆ รอให้น้ำเดือดอย่างช้า ๆ และไม่ควรเติมน้ำลงไปในระหว่างต้ม
ต้มด้วยไฟอ่อนไปเรื่อย ๆ หลังจากที่น้ำเริ่มเดือดแล้วลดไฟให้เบาลง ต้มต่อจนครบเวลาตามที่ต้องการ เพราะการใช้ไฟแรงต้มไข่จะยิ่งทำให้เปลือกแตกง่ายขึ้น
เติมเบกกิ้งโซดาหรือน้ำส้มสายชูลงไปเล็กน้อย ประมาณ 1/2-1 ช้อนชา จะช่วยให้ไข่ขาวเกาะตัวกันแน่นขึ้น
ไม่ใส่ไข่ลงไปต้มในหม้อจนแน่นเกินไป ควรใส่ลงไปต้มเพียงชั้นเดียว เพื่อไม่ให้ไข่ชนกันจนเปลือกแตก
เคล็ดลับปอกเปลือกไข่ต้มง่าย ๆ
ทำให้ไข่เย็นลงทันทีหลังต้ม โดยนำไข่ใส่ลงในอ่างที่มีน้ำผสมน้ำแข็งทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จะช่วยให้ไข่แกะเปลือกได้ง่ายขึ้น
คลึงไข่ต้มที่พักไว้จนเย็นแล้วเบา ๆ จะช่วยให้เปลือกไข่ค่อย ๆ แตกออกและปอกได้ง่ายขึ้น
เคล็ดลับต้มไข่
ต้มไข่ 2 นาที : “ไข่ลวก” ไข่ขาวยังไม่สุกดีนัก และไข่แดงก็ยังดิบอยู่
ต้มไข่ 4 นาที : “ไข่ต้มยางมะตูม” ไข่ขาวสุกเริ่มดีแล้ว ในขณะที่ไข่แดงก็ยังกึ่งสุกกึ่งดิบและเหลวอยู่
ต้มไข่ 6 นาที : ไข่ขาวสุกเต็มที่ และไข่แดงก็เกือบจะสุกแล้ว แต่บริเวณกึ่งกลางยังเหนียวอยู่เล็กน้อย
ต้มไข่ 8 นาที : ไข่ขาวสุกเต็มที่ และไข่แดงก็เกือบสุกแล้วเช่นกัน แต่ยังอ่อนตัวอยู่เล็กน้อย
ต้มไข่ 10 นาที : “ไข่สุก” ทั้งไข่ขาวและไข่แดงสุกเต็มที่
ต่อไปนี้ถ้าอยากต้มไข่ไม่ต้องกลัวไข่แตกแล้ว แถมยังได้วิธีต้มไข่ลวกและไข่ต้มยางมะตูมด้วย เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ตอนเช้าลุยต้มไข่กินรองท้องกันเลยจ้า
Boil eggs , วิธีต้มไข่ , วิธีต้มไข่ไม่ให้แตก
ที่มา https://cooking.kapook.com/view278920.html
0 notes
Text
วิธีต้มไข่ยางมะตูม ทั้งไข่ไก่และไข่เป็ด
วิธีต้มไข่ยางมะตูม ทั้งไข่ไก่และไข่เป็ด กับเทคนิคต้มไข่ให้เยิ้มอร่อยเป๊ะ
วิธีต้มไข่ยางมะตูม ทั้งไข่ไก่และไข่เป็ด ต้มกี่นาทีให้ได้ไข่แดงเยิ้ม ไข่ขาวสุก ไข่ไม่แตกไม่ปลิ้น ปอกง่าย เปลือกล่อน ถ้าอยากรู้ตามมาดูกัน
เคยไหมที่อยากทำไข่ต้มยางมะตูม เมนูไข่ อาหารเช้า กินเองที่บ้าน แต่ลองแล้วบางครั้งก็สุกจนเป็นไข่ต้ม หรือบางครั้งก็กลายเป็นไข่ลวกไป วันนี้เราขอนำเสนอวิธีต้มไข่ยางมะตูม มีทั้งต้มไข่ไก่ยางมะตูมและต้มไข่เป็ดยางมะตูม เอาไปทำเมนูยำ ก๋วยเตี๋ยว ข้าวหมูแดง แกล้มกับคั่วกลิ้ง หรือราดพริกน้ำปลาก็อร่อยแล้ว
การต้มไข่ไก่ยางมะตูม
ส่วนผสม ไข่ไก่ต้มยางมะตูม
ไข่ไก่ อุณหภูมิห้อง
น้ำเปล่า
น้ำเย็นผสมน้ำแข็ง
วิธีต้มไข่ไก่ต้มยางมะตูม
ล้างไข่ให้สะอาด ถ้าเป็นไข่ที่แช่เย็นควรเอาออกมาพักไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อเวลาต้มไข่จะได้ไม่แตกและกะเวลาสุกได้ง่าย
เติมน้ำลงในหม้อกะให้ท่วมไข่ ใช้ไฟกลางค่อนข้างแรง
พอน้ำเดือดใส่ไข่ไก่ลงไปต้ม ค่อย ๆ วางไข่ลงไป เพราะถ้าเปลือกไข่ร้าวจะทำให้เวลาต้มไข่ขาวจะไหลออกมา ทำให้ไข่ไม่สวย (เริ่มจับเวลาตอนใส่ไข่ลงไป) ประมาณ 6 นาที
4. ระหว่างต้มไข่ให้คนไข่เบา ๆ เพื่อให้ไข่แดงอยู่ตรงกลาง พอครบเวลาตักแช่ในน้ำเย็น เพื่อให้ไข่รักษาระดับความสุกและกะเทาะได้ง่ายขึ้น พักไว้จนเปลือกไข่เย็นแล้วค่อยปอกเปลือก
การต้มไข่เป็ดยางมะตูม
ส่วนผสม ไข่เป็ดต้มยางมะตูม
ไข่เป็ด อุณหภูมิห้อง
น้ำเปล่า
น้ำเย็นผสมน้ำแข็ง
วิธีต้มไข่เป็ดต้มยางมะตูม
ล้างไข่ให้สะอาด ถ้าเป็นไข่ที่แช่เย็นควรเอาออกมาพักไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อเวลาต้มไข่จะได้ไม่แตกและกะเวลาสุกได้ง่าย
เติมน้ำลงในหม้อกะให้ท่วมไข่ ใช้ไฟกลางค่อนข้างแรง
พอน้ำเดือดใส่ไข่เป็ดลงไปต้ม ค่อย ๆ วางไข่ลงไป เพราะถ้าเปลือกไข่ร้าวจะทำให้เวลาต้มไข่ขาวจะไหลออกมา ทำให้ไข่ไม่สวย (เริ่มจับเวลาตอนใส่ไข่ลงไป) ประมาณ 7 นาที
4. ระหว่างต้มไข่ให้คนไข่เบา ๆ เพื่อให้ไข่แดงอยู่ตรงกลาง พอครบเวลาตักแช่ในน้ำเย็น เพื่อให้ไข่รักษาระดับความสุกและกะเทาะได้ง่ายขึ้น พักไว้จนเปลือกไข่เย็นแล้วค่อยปอกเปลือก
จบไปแล้วสำหรับวิธีต้มไข่ยางมะตูม เลือกประเภทไข่ได้ตามชอบ ถ้าชอบไข่แดงเยิ้ม ๆ สามารถปรับลดเวลาต้มลงมาอีก กินกับข้าวสวยหรือข้าวผัดก็อร่อยไปอีกแบบ ลองทำกันดูไม่ยากเลยจ้า
Boil eggs , วิธีต้มไข่ , วิธีต้มไข่ยางมะตูม
ที่มา :: https://cooking.kapook.com/view256975.html
0 notes
Text
วิตามินรวม ช่วยเรื่องอะไร เหมาะกับใคร และกินตอนไหนดี?
วิตามินรวม" ช่วยเรื่องอะไร เหมาะกับใคร และกินตอนไหนดี?
ร่างกายของคนเราต้องการสารอาหารที่หลากหลายเพื่อเสริมสร้างระบบการทำงานส่วนต่างๆ แต่บางครั้งไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบและพฤติกรรมการรับประทานอาหารในปัจจุบัน อาจทำให้เราไม่ได้รับสารอาหารและวิตามินต่างๆ อย่างครบถ้วน "วิตามินรวม" จึงถือเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมโภชนาการในชีวิตประจำวันให้แก่คนวัยทำงานทั้งหลายได้ โดยเฉพาะในคนที่อาจไม่สามารถรับประทานอาหารที่หลากหลายได้ในมื้อเดียว
ทำความรู้จัก "วิตามินรวม" คืออะไร
วิตามินรวม (ภาษาอังกฤษ : Multivitamin) คือ วิตามินที่ประกอบด้วยวิตามินหลายชนิด ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานและช่วยเสริมการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งบางครั้งหากเรารับประทานอาหารในแต่ละมื้อก็อาจได้รับสารอาหารที่ไม่ครบถ้วน จึงทำให้วิตามินรวมถูกสกัดในรูปแบบผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับผู้ที่ร่างกายอ่อนเพลีย อยู่ในภาวะขาดวิตามิน หรือไม่ได้รับวิตามินอย่างเพียงพอจากอาหารที่รับประทานเข้าไป
ประโยชน์ของ "วิตามินรวม" ช่วยเรื่องอะไร
คนวัยทำงานส่วนใหญ่มักมีปัญหานอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายอ่อนเพลีย สมองล้า การรับประทานวิตามินรวมก็จะมีส่วนช่วยเรื่องดังต่อไปนี้
ช่วยให้ร่างกายสดชื่น : เนื่องจากวิตามินรวมมีส่วนช่วยเสริมการทำงานของสมองและระบบประสาท ทำให้รู้สึกกระปรี้ประเปร่า ลดอาการง่วงซึมระหว่างวัน ช่วยให้มีสมาธิจดจ่อกับการทำงานมากยิ่งขึ้น
ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น : ใครที่รู้สึกสมองล้า พักผ่อนน้อยติดต่อกันหลายวัน ทำให้มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ วิตามินรวมจะช่วยทำให้นอนหลับง่ายขึ้น หลับเต็มอิ่ม และร่างกายไม่อ่อนเพลีย
ช่วยคลายวิตกกังวล : วิตามินรวมมีส่วนช่วยในการคลายเครียด ลดอาการวิตกกังวล ซึ่งสัมพันธ์กับพฤติกรรมนอนหลับยาก อีกทั้งทำให้อารมณ์ดี รู้สึกสดชื่น และไม่หงุดหงิดง่าย
ช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดวิตามิน : ในผู้ที่มีสภาวะขาดวิตามิน หรือร่างกายได้รับวิตามินจากสารอาหารต่างๆ ไม่เพียงพอ การรับประทานวิตามินเสริมโภชนาการก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก แต่ทั้งนี้ก็ควรได้รับคำแนะนำจากเภสัชกรหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
"วิตามินรวม" เป็นวิตามินที่เหมาะกับใคร
คนที่นอนดึก พักผ่อนน้อย นอนหลับยาก
คนที่ต้องการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
คนที่ร่างกายอ่อนเพลีย รู้สึกไม่สดชื่น
คนที่เบื่ออาหาร รับประทานได้น้อย ไม่ครบตามโภชนาการ
ไขข้อข้องใจ "วิตามินรวม" กินตอนไหนดีที่สุด
แนะนำให้รับประทานวิตามินรวม���ร้อมมื้ออาหาร เพราะวิตามินรวมจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีที่สุด โดยสามารถรับประทานช่วงมื้ออาหารใดก็ได้ แต่ไม่ควรเป็นช่วงก่อนนอนหรือขณะท้องว่าง เนื่องจากอาจทำให้นอนหลับยากและระคายเคืองกระเพาะอาหารได้
"วิตามินรวม" กินทุกวันได้ไหม อันตรายหรือไม่
วิตามินรวมยี่ห้อไหนดี? ในปัจจุบันมีวิตามินรวมหลายยี่ห้อที่สกัดออกมาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพและเสริมระบบการทำงานของร่างกายให้แข็งแรง มีทั้งชนิดแคปซูลและชนิดเม็ดฟู่ที่สามารถละลายน้ำได้ ทั้งนี้ หากจะเลือกซื้อวิตามินรวมควรพิจารณาจากยี่ห้อที่มีฉลาก อย. รับรองคุณภาพ และจัดจำหน่ายโดยร้า��ค้าทางการหรือตัวแทนที่น่าเชื่อถือ
วิตามินรวมสำหรับเด็ก
Multivitamin , วิตามินรวม
ที่มา https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2747786
1 note
·
View note