Tumgik
prapasara · 23 hours
Text
Tumblr media
ไอเดียเมนูแบบมีข้าว
แต่เน้นข้าวไม่ขัดสี เน้นข้าวน้อย ๆ
โปรตีนกับผักเยอะ ๆ
Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media
1 note · View note
prapasara · 23 hours
Text
Tumblr media
ไอเดียเมนูแบบมีข้าว
ขอบคุณเจ้าของภาพ
Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media
1 note · View note
prapasara · 2 days
Text
Tumblr media
🥟 ซาลาเปาทอดน้ำ สูตรเซี่ยงไฮ้ (Sheng Jian Bao) กรอบนอก นุ่มใน อร่อยยย ~~ 🐷😋
• ส่วนผสมแป้ง
- แป้งสาลีอเนกประสงค์ 2 ถ้วย
- ยีสต์ 1 ช้อนชา
- น้ำอุ่น 3/4 ถ้วย
- น้ำตาล 1 ช้อนชา
- น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
- เกลือ 1/2 ช้อนชา
• ส่วนผสมไส้หมู
- หมูบด 300 กรัม
- ต้นหอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ
- ขิงสับ 1 ช้อนชา
- ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันงา 1 ช้อนชา
- พริกไทยขาว 1/4 ช้อนชา
- น้ำตาล 1/2 ช้อนชา
- น้ำเย็น 2 ช้อนโต๊ะ (เพื่อทำให้หมูชุ่ม)
• วิธีทำ
1. **ทำแป้ง**: ผสมยีสต์กับน้ำอุ่นและน้ำตาลในชามเล็ก ๆ ทิ้งไว้ 5 นาทีให้ยีสต์ทำงาน จากนั้นผสมแป้ง เกลือ และน้ำมันเข้าด้วยกันในชามใหญ่ เทน้ำยีสต์ลงไปนวดจนแป้งเนียนและไม่ติดมือ (ประมาณ 10 นาที) พักแป้งในที่อุ่นประมาณ 1 ชั่วโมงให้แป้งขึ้นฟูเป็น 2 เท่า
2. **ทำไส้หมู**: ผสมหมูบด ต้นหอม ขิง ซีอิ๊วขาว น้ำมันงา พริกไทย น้ำตาล และน้ำเย็นให้เข้ากันดี แล้วแช่เย็นพักไว้
3. **ปั้นซาลาเปา**: แบ่งแป้งที่ขึ้นฟูแล้วเป็นก้อนเล็ก ๆ ขนาดประมาณลูกปิงปอง จากนั้นรีดแป้งให้เป็นแผ่นบาง ใส่ไส้หมูตรงกลางแล้วห่อจับจีบให้สวยงาม (อย่าลืมปิดขอบให้แน่น)
4. **ทอดน้ำ**: ตั้งกระทะใส่น้ำมันพอเคลือบก้นกระทะ ใช้ไฟกลาง นำซาลาเปาที่ห่อแล้ววางเรียงในกระทะ ทอดให้ก้นซาลาเปาเหลืองสวย จากนั้นใส่น้ำลงไปในกระทะประมาณ 1/3 ของความสูงของซาลาเปา แล้วปิดฝาอบไว้ 8-10 นาที จนน้ำระเหยหมดและซาลาเปาสุกทั่ว
5. **ตกแต่งและเสิร์ฟ**: เมื่อซาลาเปาสุก โรยงาขาว/งาดำคั่วและต้นหอมซอยเพื่อความหอม พร้อมเสิร์ฟร้อน ๆ
🥟เคล็ดลับ: การทอดน้ำช่วยให้ก้นซาลาเปากรอบและด้านบนยังนุ่มเหมือนซาลาเปานึ่ง
ขอบคุณสูตรและภาพจากอินเตอร์เน็ต
2 notes · View notes
prapasara · 2 days
Text
Tumblr media
ซาลาเปาทอดน้ำไส้หมูสับ
ซาลาเปาทอด
ส่วนผสม แป้งซาลาเปา
- แป้งสาลีอเนกประสงค์ 4 ถ้วย
- แป้งเค้ก 2 ถ้วย
- เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
- น้ำตาลทราย 4 ช้อนโต๊ะ
- ผงฟู 2 ช้อนชา
- ยีสต์ 3 ช้อนชา
- น้ำอุ่น 2 ถ้วย
- น้ำมันพืช 4 ช้อนโต๊ะ
ส่วนผสม ไส้หมูสับ
- หมูสับ 1 กิโลกรัม
- ซีอิ๊วขาว 4 ช้อนโต๊ะ
- เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
- ซอสหอยนางรม 4 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันงา 3 ช้อนชา
- น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
- แป้งข้าวโพด 4 ช้อนโต๊ะ
- ต้นหอมซอย
- ผักชีซอย
วิธีทำไส้หมูสับ
1. นำหมูสับใส่อ่างผสม ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงต่าง ๆ ใส่น้ำมันงา แป้งข้าวโพด ต้นหอม และผักชี นวดผสมให้เข้ากัน
วิธีทำซาลาเปาทอดน้ำไส้หมูสับ
ทำแป้งซาลาเปา โดยผสมแป้ง เกลือ น้ำตาลทราย ผงฟู และยีสต์ ให้เข้ากัน เติมน้ำอุ่น คนให้เข้ากัน ใส่น้ำมัน ปั้นเป็นก้อน คลุมด้วยพลาสติกถนอมอาหาร พักไว้ 30 นาที หรือจนแป้งขึ้นฟูสองเท่า
2. พอแป้งครบเวลาเอามานวดไล่อากาศออก ตัดแบ่งเป็นก้อนขนาด 50 กรัม คลึงแป้งเป็นก้อนกลม พักไว้ 10 นาที จนแป้งขึ้นฟูอีกครั้ง
3. พอแป้งครบเวลานำแป้งมาแผ่เป็นแผ่น ตักไส้หมูสับใส่ลงไป ห่อแป้งให้มิด กดให้แบนเล็กน้อย ทำจนแป้งและไส้หมด
4. ตั้งกระทะใช้ไฟกลาง ใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย วางซาลาเปาลงไปทอดจนสีเหลืองทอง กลับอีกด้าน เติมน้ำเล็กน้อย ปิดฝา ทอดจนสีสวย ตักเสิร์ฟ
ที่มา :; https://cooking.kapook.com/view257676.html
2 notes · View notes
prapasara · 2 days
Text
Tumblr media
16 ประโยชน์ของมัทฉะ
16 ประโยชน์ของมัทฉะ
มัทฉะคืออะไร?
มัทฉะ (Matcha) เป็นชาเขียวผงชนิดพิเศษที่ปลูกและผลิตในประเทศญี่ปุ่น เป็นส่วนสำคัญของพิธีชงชาแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีมานานหลายศตวรรษ และได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลกจากรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และด้านประโยชน์ต่อสุขภาพ คำว่า "มัทฉะ" นั้นแปลว่า "ชาผง"
Tumblr media Tumblr media
ประโยชน์ของมัทฉะ
โดยปกติแล้วผง "มัทฉะ" ธรรมดามีแคลอรีที่ต่ำมากและสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการไดเอทและสุขภาพที่ดีได้ การดื่มมัทฉะทุกวันนั้นมีประโยชน์มากมาย ทั้งในด้านของสุขภาพกาย และสุขภาพจิต
1.อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)
"มัทฉะ"เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะ "คาเทชิน (catechins)" ซึ่งเป็นสารประกอบตามธรรมชาติที่ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์และให้ประโยชน์ต่อสุขภาพอื่นๆ สารต้านอนุมูลอิสระที่มีความเข้มข้นสูงในมัทฉะช่วยให้ร่างกายป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระที่เป็นอันตราย ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็งได้
2.ช่วยให้จิตใจความสงบ ผ่อนคลาย
"มัทฉะ"มีกรดอะมิโน แอล-ธีอะนีน (amino acid L-Theanine) ซึ่งจะช่วยเพิ่มคลื่นอัลฟ่าในสมองทำให้รู้สึกผ่อนคลายโดยไม่รู้สึกง่วงนอน สิ่งนี้สามารถช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ แอล-ธีอะนีน ยังช่วยเพิ่มสมาธิและความจำ ทำให้มัทฉะเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ในการเริ่มต้นวันใหม่ที่สดใส
3.บำรุงหัวใจ
การบริโภค"มัทฉะ"เป็นประจำสามารถช่วยบำรุงหัวใจได้เนื่องจากมีผลในการลดคอเลสเตอรอล สารต้านอนุมูลอิสระใน"มัทฉะ"สามารถช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันของคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลที่ "ไม่ดี") ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจได้
4.ให้พลังงานที่เสถียร
"มัทฉะ"ให้พลังงานที่เสถียรอ่อนโยน เนื่องจากการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ของคาเฟอีนจากธรรมชาติและ แอล-ธีอะนีน ทำให้รู้สึกกระฉับกระเฉงแบบอ่อนโยน ซึ่งแตกต่างจากกาแฟซึ่งสามารถทำให้หัวใจเต้นเร็วเกินได้ คาเฟอีนในมัทฉะจะถูกปล่อยออกมาอย่างช้าๆ ทำให้ระดับพลังงานคงที่
5.ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
การศึกษาชี้ให้เห็นว่าคาเทชินใน"มัทฉะ"สามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันได้ ซึ่งสามารถช่วยให้บรรลุเป้าหมายการลดน้ำหนักได้ง่ายและเร็วขึ้น มัทฉะสามารถเป็นตัวช่วยเสริมที่ดีสำหรับการไดเอทและการใช้ชีวิตในประจำวัน
Tumblr media
6.ล้างสารพิษในร่างกาย
คลอโรฟิลล์ที่มีอยู่ใน "มัทฉะ"(ซึ่งทำให้มีสีเขียวสดใส) การดื่มชานี้เป็นประจำสามารถช่วยล้างพิษในร่างกายตามธรรมชาติ ขจัดสารพิษที่เป็นอันตรายออกจากระบบร่างกาย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตับอีกด้วย
7.ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน
การรวมกันของสารต้านอนุมูลอิสระ แอล-ธีอะนีน, EGCG (Epigallocatechin Gallate) และวิตามินต่างๆ ที่มีอยู่ใน"มัทฉะ"ทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
8.  ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน 
มัทฉะมีสารโพลีฟีนอล แอล-ธีอะนีน และคาเทชิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดริ้วรอย ป้องกันผมร่วง และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
9. ช่วยบำรุงร่างกาย ปรับสมดุลการทำงานของระบบต่าง ๆ 
มัทฉะอุดมไปด้วยวิตามินบี ซี และอี ซึ่งมีส่วนช่วยในการปรับสมดุลการทำงานของร่างกาย บำรุงสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดอาการภูมิแพ้ทางเดินหายใจ เสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง มีส่วนช่วยในการขยายหลอดลม เป็นต้น
10. ช่วยให้ร่างกายตื่นตัว 
มัทฉะมีคาเฟอีนซึ่งจะช่วยให้ร่างกายตื่นตัว ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น ลดอาการปวดภายในร่างกาย ในขณะเดียวกันก็มีแอล-ธีอะนีน ซึ่งช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ควบคุมความเครียด บรรเทาอาการอ่อนเพลียที่อาจเกิดจากคาเฟอีนได้อีกด้วย
11. ช่วยให้ผ่อนคลาย บำรุงหัวใจและหลอดเลือด
มัทฉะจะมีสารธีโอฟิลลีน และธีโอโบรมีน ซึ่งมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ ช่วยในการขยายหลอดลม เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ลดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและอาการปวดเค้นหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยให้ตื่นตัว ลดความตึงเครียด และรู้สึกผ่อนคลายอีกด้วย
12.  ช่วยบำรุงผิวให้สุขภาพดี ดูอ่อนกว่าวัย
มัทฉะมีคลอโรฟิลล์ และสารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิดที่มีส่วนช่วยในให้ผิวมีสุขภาพดี ขับสารพิษ ทำให้รูขุมขนดูเล็กลง ลดเลือนริ้วรอย และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิว
13. ช่วยลดกลิ่นปาก 
มัทฉะมีฟลูออไรด์ซึ่งจะช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และกำจัดจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ ภายในช่องปากได้ เช่น การป้องกันฟันผุ รวมทั้งช่วยบำรุงสุขภาพเหงือกและฟัน และป้องกันการเกิดคราบจุลินทรีย์ (คราบพลัค) ซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นปากได้อีกด้วย
14. ���่วยปกป้องตับ
ตับเป็นอวัยวะสำคัญต่อสุขภาพ ทำหน้าที่ขับล้างสารพิษ เผาผลาญยา และประมวลผลสารอาหาร งานวิจัยบางชิ้นพบว่ามัทฉะอาจช่วยส่งเสริมสุขภาพตับ
บทวิจารณ์งานวิจัย 15 ชิ้นในปี 2015 ระบุว่า การดื่มชาเขียวเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคตับที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม ในปี 2020 ผู้เชี่ยวชาญบางท่านตั้งข้อสังเกตว่า แม้มัทฉะอาจช่วยลดเอนไซม์ตับในผู้ป่วยโรคไขมันพอกตับไม่ติดเชื้อ (NAFLD) แต่ในผู้ที่ไม่มีโรค NAFLD อาจจะกลับเพิ่มเอนไซม์ตับได้ จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อศึกษาผลกระทบของมัทฉะต่อประชากรทั่วไป เนื่องจากงานวิจัยส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่แค่การทดลองผลกระทบของสารสกัดชาเขียวในสัตว์
15. เสริมสร้างสมอง
สารประกอบหลายชนิดในมัทฉะอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง การศึกษาหนึ่งกับผู้เข้าร่วม 23 คน วัดผลการทำงานสมองผ่านชุดทักษะต่างๆ ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ทานมัทฉะมีสมาธิ เวลาตอบสนอง และความจำที่ดีกว่ากลุ่มควบคุม อีกการศึกษาขนาดเล็กชี้ว่า การทานผงชาเขียว 2 กรัมทุกวันเป็นเวลา 2 เดือน ส่งผลดีต่อการทำงานสมองของผู้สูงอายุ
มัทฉะมีคาเฟอีนมากกว่าชาเขียว โดยทั่วไป ชาเขียวจะมีคาเฟอีนประมาณ 11–25 มิลลิกรัมต่อกรัม (mg/g) ขึ้นอยู่กับชนิด ยี่ห้อ และการผลิต ส่วนมัทฉะจะมี 19–44 mg/g นอกจากนี้ มัทฉะยังมีสารประกอบที่เรียกว่า L-theanine ซึ่งช่วยปรับเปลี่ยนผลกระทบของคาเฟอีน ทำให้รู้สึกตื่นตัว แต่ป้องกันอาการตื่นเต้นเกินไปและพลังงานตกเฉียบพลันหลังจากได้รับคาเฟอีน
16. มัทฉะกับมะเร็ง อาจช่วยป้องกันได้
แม้ยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติม แต่อาหารยอดนิยมอย่างมัทฉะก็อาจมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งได้ สรรพคุณนี้เกี่ยวข้องกับสารประกอบบางชนิดในมัทฉะ โดยเฉพาะ เอพิคาเทชิน-3-กัลเลท (EGCG) คาเทชินชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติต้านมะเร็งอย่างเห็นผล การดื่มมัทฉะก็ยังส่งผลดีต่อสุขภาพในด้านอื่นๆ มากมาย เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ การทำงานของสมอง และสุขภาพหัวใจ ดังนั้น จึงถือเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่น่าสนใจ และสามารถเพลิดเพลินได้อย่างปลอดภัย
Tumblr media
มัทฉะคืออะไร?
มัทฉะ (Matcha) เป็นชาเขียวผงชนิดพิเศษที่ปลูกและผลิตในประเทศญี่ปุ่น เป็นส่วนสำคัญของพิธีชงชาแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีมานานหลายศตวรรษ และได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลกจากรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และด้านประโยชน์ต่อสุขภาพ คำว่า "มัทฉะ" นั้นแปลว่า "ชาผง" "抹" อ่านว่า "มะ" และแปลว่า "ถู" หรือ "บด" "茶" อ่านว่า "ชา" แปลว่า "ชา" ดังนั้น เมื่อรวมกันแล้ว "抹茶" หมายถึง "ชาบด"หรือ"ชาผง" ซึ่งก็คือมัทฉะนั่นเอง - ผงบดละเอียดของใบชาเขียวที่ปลูกเป็นพิเศษและแปรรูป ต้นกำเนิด ต้นกำเนิดของมัทฉะต้องย้อนกลับไปที่ประเทศจีนในช่วงราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) ชาวจีนในยุคนั้นจะนำใบชามานึ่งแล้วปั้นเป็นก้อนอิฐเพื่อความสะดวกในการขนส่งและค้าขาย จากนั้นนำก้อนชาเหล่านี้มาบดเป็นผงแล้วผสมกับน้ำร้อน การบริโภคชารูปแบบนี้ได้แพร่ไปยังประเทศญี่ปุ่นโดยพระสงฆ์ชื่อ Eisai ในช่วงปลายศตวรรษที่ 12 ซึ่งชาชนิดนี้ถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาในอารามทางพุทธศาสนา อย่างไรก็ตาม ในญี่ปุ่นนั้นการเพาะปลูกและการบริโภคชาผงนั้นเฟื่องฟูอย่างแท้จริง ในที่สุดก็พัฒนาเป็นรูปแบบพิเศษที่เรียกว่ามัทฉะ ชาวญี่ปุ่นเริ่มปลูกต้นชาในที่ร่มเพื่อเพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์ในใบ ซึ่งทำให้ผงชาที่ได้มีสีเขียวสดใสและมีรสชาติเฉพาะตัว วิธีการปลูกนี้ยังช่วยเพิ่มระดับของสารอาหารบางชนิดในชา รวมทั้งแอล-ธีอะนีนและคาเฟอีน ในศตวรรษที่ 16 ปรมาจารย์ด้านชาชื่อ Sen no Rikyu ได้กำหนดวิธีการทำและเสิร์ฟมัทฉะตามแบบพิธีการ ซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นและยังคงปฏิบัติตามมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้เขายังมีบทบาทสำคัญในการทำให้มัทฉะเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นซามูไรของญี่ปุ่นอีกดวย เมื่อเวลาผ่านไป มัทฉะกลายเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมและประเพณีของญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านพิธีชงชาที่เรียกว่า "ชาโนยุ (Chanoyu)" หรือวิถีแห่งชา พิธีนี้เป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี ความเคารพ ความบริสุทธิ์ และความเงียบสงบ แม้ว่ามัทฉะจะเลิกได้รับความนิยมในจีนและนิยมนำไปชงเป็นชาใบหลวมแทน แต่ก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมญี่ปุ่นและเริ่มได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลกในศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันมัทฉะได้รับความนิยมไม่เพียงแค่รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และประโยชน์ต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้งอีกด้วย กระบวนการผลิต การผลิตมัทฉะเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน สองสามสัปดาห์ก่อนการเก็บเกี่ยว ต้นชาที่ใช้สำหรับมัทฉะจะได้รับร่มเงาเพื่อป้องกันแสงแดดโดยตรง กระบวนการนี้จะเพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์ ทำให้ใบมีสีเขียวสดใส และเพิ่มปริมาณกรดอะมิโน โดยเฉพาะ แอล-ธีอะนีน ซึ่งเชื่อว่ามีผลทำให้สงบ ผ่อนคลาย หลังจากเก็บใบแล้ว ก็นำไปนึ่ง จากนั้นผึ่งลมให้แห้ง ใบชาแห้งที่เรียกว่า “เทนฉะ” จะถูกบดเป็นผงละเอียดโดยใช้เครื่องโม่หิน ผงละเอียดนี้เป็นผงมัทฉะที่ใช้ในพิธีชงชาและปรุงอาหาร รสชาติ มัทฉะโดดเด่นในรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อุดมไปด้วยผักและรสหวานเล็กน้อย หรืออาจจะมีรสขมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นมัทฉะคุณภาพต่ำหรือชงด้วยน้ำที่ร้อนเกินไป
Tumblr media
Tumblr media
ขั้นตอนการชงมัทฉะที่ดีที่สุด การชงมัทฉะเป็นวิธีการที่สงบ ใจเย็น ใช้เวลาและได้เพลิดเพลินไปกับมัน ผลลัพธ์ที่ได้คือเครื่องดื่มสีเขียวที่สวยงาม มีชีวิตชีวา และดีต่อสุขภาพ
อุ่นชาม ขั้นแรก เทน้ำร้อนลงในชามมัทฉะเพื่อให้ชามอุ่น หลังจากนั้นสักครู่ ให้เทน้ำทิ้งและใช้ผ้าเช็ดชามให้แห้ง
ตวงผงมัทฉะ ใช้ chashaku (ช้อนไม้ไผ่) ตวงผงมัทฉะ 1-2 สกู้ป (เทียบเท่า 1-2 ช้อนชา) แล้วใส่ลงในชามที่อุ่นไว้ หากต้องการรสชาติที่เข้มข้นขึ้น ก็สามารถเติมมัทฉะเพิ่มได้
เติมน้ำ เทน้ำร้อนประมาณ 2 ออนซ์ (60 มิลลิลิตร) ลงในชาม น้ำควรร้อนแต่ต้องไม่เดือด อุณหภูมิที่เหมาะสมคือประมาณ 80°C (175°F) น้ำเดือดอาจทำให้มัทฉะไหม้และทำให้มีรสขมได้
ตีมัทฉะ ใช้ Chasen (ตะกร้อไม้ไผ่) ผสมผงมัทฉะกับน้ำเข้าด้วยกัน ปัดในลักษณะซิกแซกหรือตัวอักษร "W" จนกว่าผงทั้งหมดจะละลายและชาเกิดฟอง ควรใช้เวลาประมาณ 15-30 วินาที
พร้อมดื่ม ตอนนี้ชามัทฉะก็พร้อมดื่มแล้ว! ให้ดื่มด่ำรสชาติและกลิ่นหอมในขณะที่ยังอุ่นและเป็นฟองอยู่
Tumblr media
Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media
มัทฉะ ,  Matcha  ,  ชาเขียว  , Green Tea  , ประโยชน์ของมัทฉะ   , ประโยชน์ของ Matcha   ,  Benefits of Matcha Tea  ,  Benefits of  Matcha  ,  Health Benefits of Matcha  ,  Matcha Tea  ,  Matcha Benefits  ,  Matcha Tea Benefits
ที่มา ::    https://board.postjung.com/1545767  ,  https://www.bluekoff.com/  ,  https://www.sanook.com/women/246637/  ,  https://chillchilljapan.com/dictionary/matcha/
2 notes · View notes
prapasara · 2 days
Text
Tumblr media
ชาเขียว Green Tea กับ มัทฉะ Matcha ต่างกันยังไง
ชาเขียว Green Tea กับ มัทฉะ Matcha สีเขียวเหมือนกัน แล้วต่างกันยังไง
ชาเขียวธรรมดา กับชาเขียวมัทฉะต่างกันยังไง สรุปง่ายๆ ให้เข้าใจในเวลาสั้นๆ ! สำหรับใครที่เป็นสาย ชาเขียวเลิฟเวอร์ หรือ Matcha Lovers หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่าที่จริงแล้ว ชาทั้งสองชนิดนั้นมีความแตกต่างกันอยู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องดื่มที่มีสีเขียวด้วยกันทั้งคู่ แต่ทั้งกรรมวิธีการผลิต รสชาติ กลิ่น และรสสัมผัสนั้นไม่เหมือนกันนะจ๊ะ เอาล่ะ ถ้าอยากรู้แล้วว่า ชาเขียว Green Tea กับ มัทฉะ Matcha ต่างกันตรงไหน ก็ตามเรามาหาคำตอบกันเลยค่ะ
ชาเขียวธรรมดา ชาเขียวมัทฉะ ต่างกันยังไง
     ชาเขียว กับ มัทฉะ ชาทั้งสองตัวนี้จะเป็นชาเขียวที่มีลักษณะต้นชาเหมือนกัน หรือเรียกได้ว่าเป็นต้นเดียวกันเลยก็ได้ แต่มีกรรมวิธีในการปลูก การผลิต และแปรรูปที่ต่างกัน ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่นเหมือนกัน ซึ่งชาเขียวสามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้เป็น 4 ประเภท ที่คนรู้จักกันอย่างแพร่หลาย และหาซื้อได้ง่าย คือ
Sencha (เซนฉะ) ใบชาเขียว หรือ Green Tea ที่อบจนแห้ง มีรสหอม หวานโคนลิ้น ดื่มง่าย สีของน้ำชาจะเป็นสีเขียวอ่อน
Genmaicha (เกนไมฉะ) ชาข้าวคั่ว คือการนำใบชาเขียวมาผสมกับข้าวคั่ว ข้าวพอง น้ำชาที่ได้จะมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ สีของน้ำชาจะมีสีเหลืองอ่อน
Hojicha (โฮจิฉะ) ใบชาเขียวที่คั่วผ่านความร้อน จนเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลแดงมีความเข้มคล้ายชาจีน แต่มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สีของน้ำชาจะเป็นสรน้ำตาลใส
Matcha (มัทฉะ) ผงยอดอ่อนใบชา บดละเอียด จนสามารถละลายน้ำได้
     ซึ่งชาเขียวที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกก็คือ Sencha (เซนฉะ) หรือ ชาเขียว Green Tea และ Matcha (มัทฉะ) นั่นเองค่ะ
ขั้นตอนการชง ชาเขียว Green Tea และ มัทฉะ Matcha
     เรียกได้ว่าสิ่งที่ทำให้เราสามารถแยกชาเขียวกับมัทฉะ ว่าแตกต่างกันอย่างไร ที่ง่ายที่สุดก็คือขั้นตอนการชงนั่นเองค่ะ เพราะชาทั้ง 2 ชนิด มีขั้นตอนการชงที่แจกต่างกันโดยสิ้นเชิง
Tumblr media
วิธีการชงชาเขียว
     การชงชาเขียว เป็นการนำใบชามาแช่ในน้ำร้อน ซึ่งต้องชงด้วยน้ำร้อนที่อุณภูมิไม่ร้อนจนเกินไป (ประมาณ 80 องศาเซลเซียส) และก่อนดื่มต้องกรองน้ำชาผ่านตัวกรองก่อน เพราะใบชาเขียวจะไม่สามารถละลายน้ำได้ โดยเวลาในการแช่ใบชาไม่ควรแช่นานเกินไปเพราะจะทำให้น้ำชาเฝื่อน และขม
Tumblr media
วิธีการชงมัทฉะ
     การชงมัทฉะ เป็นการผสมผงชาเข้ากับน้ำร้อน น้ำเย็น หรือนมเย็น ถ้าชงด้วยน้ำร้อนจะต้องควบคุมอุณภูมิของน้ำเพราะถ้าใช้น้ำร้อนจัดเกินไป รสชาติชาจะมีความเฝื่อน ขม และการผสมชาควรใช้แปรงตีชา (Chasen) ตีผสมชาเป็นรูปตัว M เพราะเป็นการคนที่จะช่วยให้ผงชาละลายได้ดีที่สุด และเกิดฟองสวยงาม
ลักษณะชา
ชาเขียว : มีลักษณะเป็นใบชาแห้ง ซึ่งความละเอียดของใบอาจจะแตกต่างกันออกไป
มัทฉะ : ลักษณะเป็นผง มัทฉะเป็นอาหารที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก เป็นการนำยอดอ่อนใบชาเขียวมาบดจนเป็นผงละเอ���ยดมากๆ จนเหมือนผงแป้ง
สีของน้ำชา
ชาเขียว : น้ำชาจะมีสีเขียว ใส ถ้าชงแล้วปล่อยทิ้งไว้จะไม่ค่อยตกตะกอน
มัทฉะ : ลักษณะจะมีสีเขียวขุ่น เข้มข้น สีอาจจะอ่อนหรือแก่ ขึ้นอยู่กับการผลิตของแต่ละพื้นที่ เมื่อชงน้ำชาวางทิ้งไว้ผงชาจะตกตะกอนไปที่ก้นแก้ว
กลิ่น
ชาเขียว : มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ บางวิธีการชงอาจจะทำให้น้ำชามีกลิ่นคล้ายสาหร่าย ที่ประเทศไทยนิยมอบใบชาเขียวพร้อมดอกมะลิ จะทำให้กลายเป็นกลิ่นชาเขียวมะลิ
มัทฉะ : มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ของยอดอ่อนใบชา มีกลิ่นหอมนวลๆ ขึ้นจมูก
รสชาติ รสสัมผัส
ชาเขียว : เป็นน้ำชาใสๆ หอมกลิ่นใบชา มีกลิ่นอูมามิ สดชื่น ไม่ขม
มัทฉะ : น้ำชามีลักษณะนวล เนียน เข้มข้น ไม่ขม หอมโดดเด่น มีรสอูมามิชัดเจน มีความข้นกว่าการชงแบบใบชา บางคนอาจจะสัมผัสได้ถึงความเป็นผงๆ ตอนดื่ม เหมาะกับการดื่มแบบร้อน เอามาชงกับนม นำมาทำไอศกรีม และผสมในขนมต่างๆ
การปลูก
ชาเขียว : ปลูกกลางแจ้ง แบบปกติ
มัทฉะ : มีขั้นตอนการปลูกและการดูแลที่ละเอียดทุกขั้นตอน ต้นชาจะต้องปลูกในร่มเท่านั้น มีการกางสแลนคลุมเพื่อไม่ให้ใบชาโดนแดด ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้ต้นชาผลิตคลอโรฟิลล์มากขั้น จึงทำให้ยอดใบชามีสีเขียวเข้ม กว่าชาเขียวปกติ
ราคา
ชาเขียว : ด้วยขั้นตอนการปลูก และการผลิตที่ไม่ยุ่งยาก จึงทำให้มีราคาไม่สูงมาก
มัทฉะ : มัทฉะเป็นใบชาที่ต้องใช้ขั้นตอนการปลูก การเก็บเกี่ยว และการผลิตที่ละเอียด นึงทำให้ผงมัทฉะมีราคาสูง ยิ่งคุณภาพดี ก็ยิ่งแพง
อุปการณ์ที่ใช่ในการชงชา
อุปกรณ์ในการชงชาเขียว
ใบชาเขียว
กาน้ำชา พร้อมที่กรองใบชา
ถ้วยชา
อุปกรณ์ในการชงมัทฉะ
ผงมัทฉะ
ที่ตักมัทฉะ
แปรงตีชา (Chasen) หรือที่ตีฟองชา ทำมาจากไม้ไผ่
ที่กรองผงมัทฉะ
ถ้วยชา
การเก็บรักษาชาเขียว และมัทฉะ
จริงๆ แล้วชาทั้งสองชนิดมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ภายใต้เงื่อนไขดังนี้ค่ะ
ไม่ควรวางชาอยู่ใกล้กับอาหารที่มีกลิ่น
เวลานำชาไปให้ห้ามใช้มือหยิบ ควรใช่ช้อนที่แห้งสนิทเท่านั้น
ควรรักษาความชื้นของใบชา และผงชา รีบเปิดและรีบปิดภาชนะใส่ชา
เวลาปิดถุงชาควรรีดอากาศให้ออกจากถุงก่อนที่จะปิดถุงให้สนิท
ห้ามนำถุงชาหรือกระปุกชาไปโดนแดด ควรใส่ในภาชนะทึบแสงเท่านั้น
ปิดฝาถุงให้สนิท พยายามอย่าให้อากาศเข้าไปในถุงได้ เพราะความชื้นในอากาศจะทำให้ชามีรส สี กลิ่น ที่เปลี่ยนไปได้
มัทฉะ , Matcha , ชาเขียว , Green Tea , ประโยชน์ของมัทฉะ , ประโยชน์ของ Matcha , Benefits of Matcha Tea , Benefits of Matcha , Health Benefits of Matcha , Matcha Tea , Matcha Benefits , Matcha Tea Benefits
CR   ::    https://food.trueid.net/detail/Mdy8j2LOgENo
1 note · View note
prapasara · 2 days
Text
Tumblr media
มัทฉะ (Matcha) ต่างจากชาเขียวอย่างไร
 มัทฉะ (Matcha) ต่างจากชาเขียวอย่างไร 
ใครชอบดื่มเครื่องดื่มอย่างเมนูมัทฉะ หรือเมนูชาเขียว ขอให้ยกมือขึ้น! แต่ทุกคนรู้กันไหมคะว่าเมนูเครื่องดื่มที่เราดื่มกันอยู่ทุก ๆ วันนี้ระหว่าง “ชาเขียวกับมัทฉะต่างกันยังไง?” แตกต่างกันที่สี? รสชาตื? หรือกรรมวิธีการชงชา? วันนี้พิมรวบรวมคำตอบเกี่ยวกับชาเขียว และมัทฉะว่าแตกต่างกันยังไง มาไว้ที่นี่แล้วค่า ถ้าอยากรู้ว่าสิ่งที่เราคิดไว้จะตรงกับคำตอบที่พิมหามาให้ไหมก็ตามเลยค่า
1. ประเภทของชาเขียว
เพื่อน ๆ รู้กันไหมคะว่าใบชาเขียวที่เราเห็น หรือดื่มเวลาไปคาเฟ่จริง ๆ แล้วสามารถแยกย่อยออกมาได้หลายประเภทมาก ๆ เลยค่ะ ซึ่งจริง ๆ แล้วผงมัทฉะ คือหนึ่งของปร��เภทชาเขียวนั่นเองค่ะ แต่วันนี้พิมจะมาแนะนำใบชาเขียวที่เราใช้กันบ่อย ๆ หรือดื่มกันเป็นประจำให้เพื่อน ๆ ได้รู้กันน้า
Tumblr media
1.1 เกียวคุโระ (Gyakuro)
ชาเขียวประเภทชาใหม่ที่ผ่านการเลี้ยงในที่ร่มเพื่อรักษาสารอาหารให้ได้มากที่สุด เก็บเกี่ยวได้ทีละน้อย ทำให้ชาเกียวคุโระมีราคาแพง เน้นใช้ในงานพิธีการ รสชาติหวาน และฝาดน้อย ลักษณะพิเศษของชาเกียวคุโระ คือ ใบชาที่ม้วนตัวอย่างสวยงาม และชื่อยังมีความหมายว่า “น้ำค้างหยก” ซึ่งสื่อถึงสีเขียวอ่อนของน้ำชาชนิดนี้ด้วยนะคะ
1.2 มัทฉะ (Matcha)
มัทฉะ มาจากชาเทนฉะ ที่ถูกเลี้ยงในที่ร่มเหมือนชาเกียวคุโระก่อนจะนำไปบดเป็นผงด้วยหินอย่างพิถีพิถัน มักจะใช้ในพิธีชงชา มัทฉะแบ่งเป็นหลายเกรด เช่น สำหรับทำขนม เครื่องดื่ม ชงในงานพิธีการ เป็นต้น สามารถสังเกตได้จากสีของมัทฉะ ยิ่งมัทฉะสีเข้มเท่าไหร่ คุณภาพก็ยิ่งดี หากดื่มมัทฉะ 1 ถ้วย จะได้รับสารอาหารเท่ากับดื่มชาเขียวประเภทอื่น 10-15 แก้วเลยทีเดียว
1.3 เซนฉะ (Sencha)
เซนฉะ คือชาเขียวที่ชาวญี่ปุ่นดื่มในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องเลี้ยงในร่ม เป็นชาที่ได้มาจากการเก็บเกี่ยวในเดือนแรกเท่านั้น จึงได้ชื่อเรียกว่า "ชาใหม่" มีวิธีการอบที่หลากหลายทำให้ชามีรสชาติที่แตกต่างกัน แต่จะมีความสมดุลระหว่างความอูมามิ และความขม ทำให้ความรู้สึกสดชื่นเวลาดื่ม
1.4 บังฉะ (Bancha)
บันฉะ จะมีคุณภาพรองลงมาจากชาเซนฉะ เพราะเก็บเกี่ยวใบชาเขียวในช่วงที่สามหรือสี่ของปี ใช้ดื่มทั่วไป เป็นใบชาเขียวที่เหลือจากยอดต้น มีรสชาติอ่อน มีวิธีการผลิตต่างกันไปตามแต่ละท้องที่ เมื่อชงแล้วมีทั้งแบบที่ได้น้ำสีเขียวชาเขียวทั่ว ๆ ไป และแบบที่ได้น้ำชาสีน้ำตาล
1.5 โฮจิฉะ (Hojicha)
โฮจิฉะ ทำมาจากใบชาเขียวบันฉะ และใบชาเขียวเซนฉะ และใบชาเขียวคุคิฉะที่ถูกเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายมาผสมรวมกันก่อนจะนำไปคั่วทำให้ชามีสีน้ำตาล มีรสชาติอ่อน กลิ่นหอมหวาน เหมาะสำหรับดื่มระหว่างมื้อหรือหลังอาหารเย็น และเหมาะสำหรับเด็กเพราะมีคาเฟอีนต่ำ
1.6 เกนไมฉะ (Genmaicha)
เกนไมฉะมีชื่อเล่นอีกชื่อว่า “ชาป๊อปคอร์น” เพราะเสียงที่เกิดขึ้นเมื่อใบชาถูกนำไปคั่ว หรือบางคนก็เรียกว่า “ชาเขียวข้าวกล้อง” จากการนำใบชาเขียวไปผสมกับข้าวกล้อง สมัยก่อนขึ้นชื่อว่าเป็น ‘ชาของทุกคน’ เพราะเมื่อก่อนชามีราคาแพง ชาวญี่ปุ่นจึงนำชาไปคั่วกับข้าวกล้องเพื่อให้ราคาถูกลงและคนทุกชนชั้นสามารถซื้อได้ แต่ปัจจุบันชาชนิดนี้เป็นที่นิยมของคนทั่วไป เพราะดื่มง่าย มีความอุ่น และรสคล้ายถั่ว ขณะที่ตัวใบชาจะให้กลิ่นคล้ายใบหญ้า สีของน้ำจะมีสีเหลืองอ่อน มีปริมาณคาเฟอีนน้อย
2. ชาเขียวกับมัทฉะต่างกันยังไง
2.1 ลักษณะการใช้ชาเขียว และมัทฉะ
ปกติแล้วเวลานำทั้งสองอย่างนี้มาประกอบเมนูส่วนมากเราจะใช้เป็นใบชาเขียว และผงมัทฉะ มาชงเป็นเครื่องดื่มกันกันใช่ไหมคะ แต่มีใครเคยสังเกตไหมคะว่าเราไม่นิยมนำใบชาเขียวมาประกอบอาหารหรือขนมหวานต่าง ๆ สักเท่าไหร่ มักจะใช้ผงมัทฉะในการทำแทนเพราะสะดวกกว่านั่นเองค่ะ
2.2 ลักษณะการชงชาเขียว และการชงมัทฉะ
การชงชาเขียว และอุปกรณ์การชง
อุปกรณ์การชงชาเขียว
🟢ใบชาเขียว
🟢น้ำอุณหภูมิประมาณ 70-80 องศาเซลเซียส
🟢ที่กรองใบชาเขียว
🟢ถ้วยชาเขียว
Tumblr media
วิธีชงชาเขียว
1. นำใบชาเขียวมาแช่ในน้ำอุณหภูมิประมาณ 70-80 องศาเซลเซียสประมาณ 3 นาที แบบปิดฝาถ้วย
2. เมื่อครบเวลากรองเอาใบชาเขียวออก พร้อมดื่มแล้วค่า
การชงมัทฉะ และอุปกรณ์การชง
อุปกรณ์การชงมัทฉะ
🟢 ผงมัทฉะ
🟢 น้ำอุณหภูมิประมาณ 70-80 องศาเซลเซียส
🟢 กระชอนร่อนผงมัทฉะ
🟢 ชะฉะคุ คือ ช้อนตักผงมัทฉะโดยทั่วไปทำจากไม้ไผ่ มีลักษณะยาว ปลายแหลมเล็ก
🟢 ชะเซน คือ อุปกรณ์ที่คนชาให้เข้ากัน
🟢 ที่เก็บแปรงชงมัทฉะ
🟢 ถ้วยชา
Tumblr media
วิธีชงมัทฉะ
1. อุ่นถ้วยชา และแปรงชงชา ด้วยน้ำร้อนพักไว้ 10 วินาที แล้วจึงเทน้ำทิ้ง
2. ตักผงมัทฉะใส่ถ้วยประมาณ 1-2 กรัม
3. เทน้ำร้อนอุณหภูมิประมาณ 70-80 องศาเซลเซียสลงไปในถ้วย แล้วคนผงมัทฉะให้ละลาย
4. จากนั้นให้ใช้แปรงตีชาจนเกิดเป็นฟอง ถือว่าเสร็จเรียบร้อย
2.3 รสชาติของชาเขียว และมัทฉะ
🟢 ชาเขียว จะให้ลักษณะเครื่องดื่มที่ใส มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ และมีรสชาติคล้ายสาหร่าย เมื่อดื่มจะให้ความรู้สึกดื่มง่าย ๆ เบา ๆ สดชื่น และไม่ค่อยมีรสขม
🟢 มัทฉะ จะให้ลักษณะเครื่องดื่มที่เข้มข้น นวล มีกลิ่นหอม และมีรสชาติอูมามิที่ชัดเจน เมื่อดื่มจะให้ความรู้สึกที่เป็นผง ๆ จากการชงผงมัทฉะ มักนำผงมัทชามาชงเป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของนม และทำขนมหวานต่าง ๆ เช่น ไอศกรีมมัทฉะ
2.4 ลักษณะของสีน้ำชา
🟢 น้ำชาเขียว จะมีสีเขียวชาเขียวอ่อน ๆ คล้ายสีสาหร่าย และใส เมื่อชงชาเขียวทิ้งไว้จะไม่มีก่อนตกตะกอน
🟢 น้ำมัทฉะ มีสีเขียวมัทฉะทั้งเข้ม และอ่อน ขึ้นอยู่กับชนิดของผงมัทฉะที่ใช้ แต่จะมีสีเขียวนวล เมื่อชงชามัทฉะทิ้งไว้ผงมัทฉะจะลงไปตกตะกอนอยู่ที่ด้านล่างแก้ว ก่อนดื่มอีกครั้งควรคนให้เข้ากัน
3. ประโยชน์ของชาเขียว และมัทฉะ
🟢 ป้องกันฟันผุ กลิ่นปาก และโรคเหงือก เนื่องจากมีสารโพลีฟีนอล และแคทีชิน ที่มีอยู่ในใบชาเป็นตัวช่วยกำจัดแบคทีเรียในช่องปาก
🟢 ชะลอความชรา และช่วต้านสารอนุมูลอิสระ เพราะในใบชาเขียว และผงมัทฉะมีสารโพลีฟีนอล และสาร OPC ซึ่งเป็นสารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ โดยช่วยป้องริ้วรอยก่อนวัย และจุดด่างดำต่างๆ ได้อีกด้วย
🟢 ป้องกันผมร่วง และช่วยกระตุ้นการงอกของผม เนื่องจากชาเขียว และมัทฉะนั่นอุดมไปด้วยสารแคทีชิน ที่ช่วยป้องกันผมร่วง และสาร EGCG ที่ช่วยกระตุ้นการงอกของผมนั่นเอง
🟢 อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซี และอี ที่มีส่วนช่วยชะลอวัยทำให้ดวงตา และผิวพรรณสดใส
🟢 ลดระดับของน้ำตาลในเลือด เนื่องจากมัทฉะ และชาเขียวมีสรรพคุณช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน อีกทั้งการดื่มชาเขียวสามารถช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนอินซูลินในตับอ่อน และช่วยดูดซึมกลูโคสในผู้ป่วยเบาหวาน
Reference :
MATCHA. (2564). อยากรู้ เรามีคำตอบให้ “ประเภทของชาญี่ปุ่น" มีอะไรบ้าง. สืบค้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2565. จาก. https://matcha-jp.com/th/898#matcha_4.
Hearbest Tastegood. (2561). "ชาเขียว" กับความลับที่นักดื่มชาต้องรู้. สืบค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2565. จาก. https://www.wongnai.com/food-tips/things-to-know-about-green-tea.
vanwongyai. (2560). ประเภทของชาเขียว มีอะไรบ้าง ชนิดไหนอร่อย มาดูกัน!. สืบค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2565. จาก. https://www.wongnai.com/food-tips/green-tea-secrets. 
1 note · View note
prapasara · 2 days
Text
Tumblr media
มัทฉะ vs ชาเขียว กับความแตกต่างที่ไม่ธรรมดาอย่างที่คิด
 มัทฉะ vs ชาเขียว กับความแตกต่างที่ไม่ธรรมดาอย่างที่คิด
เชื่อว่าในปัจจุบันนี้คงไม่มีใครที่ไม่เคยดื่มชา เพราะไม่ว่าจะไปร้านอาหารไหนหรือคาเฟ่ใดๆ ก็สามารถพบเจอได้ตลอด บางร้านก็มีชาหลากหลายชนิดให้เลือก แต่ชาสองชนิดที่หลายคนนิยมรับประทานกันก็คือชาเขียว (Green Tea) และชามัทฉะ (Matcha) แต่ทราบหรือไม่ว่าชาทั้งสองชนิดนี้มีข้อแตกต่างที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ก่อนจะทำความรู้จักกับชาทั้งสอง ต้องกล่าวเบื้องต้นก่อนว่า ไม่ว่าจะเป็นชาเขียวชนิดไหนๆ ก็มีต้นกำเนิดมาจากต้นชา (Camellia Sinensis) ด้วยกันทั้งหมด เพียงแต่แตกต่างกันไปตามสถานที่เพาะปลูก กรรมวิธีการเก็บเกี่ยว และการผลิตนั่นเอง
มัทฉะคือ ชาแบบไหน?
Tumblr media
หากกล่าวเบื้องต้นมัทฉะก็คือชาเขียวชนิดหนึ่ง แต่จะถูกผลิตออกมาในรูปแบบ “ผง” แตกต่างจากชาเขียวชนิดอื่นที่ใช้ใบชาแห้งในการชง เพราะมีลักษณะเป็นเนื้อครีมข้น สีเขียวสดใส และรสชาติหวานกว่าชาชนิดอื่นๆ ส่วนต้นชาเองก็จะถูกปลูกในร่มเพื่อชะลอการเจริญเติบโตในช่วงนั้น และผู้เชี่ยวชาญจะเลือกเก็บเกี่ยวที่ยอดอ่อนของต้นชาเท่านั้น หลังจากผ่านการอบไอน้ำและการเป่าแห้ง ใบชาก็จะถูกนำมาบดนั่นเอง
นอกจากนี้จุดเด่นของการเป็นผงทำให้ละลายน้ำได้นั้น ผู้คนจึงนิยมนำมัทฉะไปเป็นส่วนผสมในการทำนม ไอศกรีม และขนมชนิดต่างๆ บวกกับความหวานและกลิ่นหอมธรรมชาติของมัทฉะด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ขนมหวานเหล่านั้นมีความอร่อยมากขึ้นไปอีก
ชาเขียวมีลักษณะอย่างไร
Tumblr media
โดยปกติแล้วชาเขียวเป็นเครื่องดื่มที่ถูกชงจากใบชาอบแห้ง ไม่ได้บดละเอียดเหมือนมัทฉะแต่อย่างใด และมีกรรมวิธีการเก็บเกี่ยวและผลิตนั้นที่ซับซ้อนน้อยกว่า อย่างไรก็ตามชาเขียวนั้นก็มีหลากหลายชนิดเช่นกัน ได้แก่
เคียวคุโระ (Kyokuro) มีความหมายว่า “น้ำค้างหยก” ที่บอกถึงสีเขียวอ่อนของน้ำชา โดยต้นชาจะถูกคลุมด้วยเสื่อฟางในช่วงสัปดาห์ก่อนการเก็บเกี่ยว ทำให้เกิดรสหวาน และชาชนิดนี้จะถูกชงด้วยอุณหภูมิที่ต่ำกว่าและใช้เวลาแช่น้ำนานกว่าชาชนิดอื่นๆ เป็นหนึ่งในชาที่มีราคาแพงที่สุดในญี่ปุ่น
เซนฉะ (Sencha) ทำมาจากใบชาที่เก็บเกี่ยวในเดือนแรก จึงได้ชื่อว่า “ชาใหม่” โดยเซนฉะใบชาเซนฉะมักจะมีรสหวานและสีเข้มกว่าชาเขียวจีน อุดมไปด้วยสารอาหาร และมีกลิ่นหอมสดชื่น ส่วนรสชาติของชาเซนฉะนั้นจะเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิของน้ำที่ใช้ชง ซึ่งถ้าชงด้วยน้ำร้อนรสชาติจะยิ่งขมมากขึ้นด้วย
โฮจิฉะ (Hojicha) ไม่เหมือนกับชาชนิดอื่นที่ผ่านการนึ่ง โฮจิฉะเป็นชาที่ถูกนำไปคั่วแทน จึงทำให้ใบชามีสีน้ำตาลแดง เป็นการลดระดับคาเฟอีนและความขมของชาลง ทำให้ดื่มง่ายขึ้น
เกนไมฉะ (Genmaicha) อาจเป็นชาที่คนไทยไม่ค่อยคุ้นหูนัก ซึ่งชาชนิดนี้เกิดจากใบชาที่ผสมกับข้าวกล้องทำให้มีรสชาติคล้ายถั่ว มีคาเฟอีนน้อยและสามารถช่วยปรับสภาพกระเพาะอาหารด้วยน้ำตาลและแป้งจากข้าว ชาวญี่ปุ่นนิยมดื่มหลังอาหารเย็น และเกนไมฉะยังมีชื่อเล่นน่ารักๆ คือ “ชาป๊อปคอร์น” อีกด้วย
ความแตกต่างระหว่าง มัทฉะ และ ชาเขียว
ความแตกต่างของมัทฉะและชาเขียว green tea ที่ชัดเจนที่สุด คือ ลักษณะที่นำมาใช้ชง เนื่องจากชาเขียวจะมาในรูปแบบของใบชาแห้ง ในขณะที่มัทฉะมาในรูปแบบของผงละเอียด กระบวนการผลิตก็แตกต่างกันอีกด้วยอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น นอกจากนี้ข้อแตกต่างสำคัญเลยก็คือรสชาติ กลิ่น และเนื้อสัมผัส ชาเขียวจะเป็นน้ำใสๆ มีรสชาติฝาดไปจนถึงขม สีอาจจะเป็นเขียวอ่อนไปจนถึงเขียวเข้ม ส่วนมัทฉะมีลักษณะของน้ำที่ออกเป็นครีมเข้มข้น สีเขียวสว่าง มีรสชาติหวานกว่า อีกทั้งยังสามารถเอาไปทำขนม หรือไอศกรีมได้อีกด้วย ในขณะที่ชาเขียว (ชาใบ) สามารถใช้ชงเครื่องดื่มได้ แต่ไม่เหมาะที่จะไปทำขนมหรือไอศกรีมแต่อย่างใด
ประโยชน์ของชาเขียวทั้งสองชนิด
ทั้งชามัทฉะและชาเขียว นั้นซ่อนคุณประโยชน์มากมายไว้ในรสชาติที่กลมกล่อม การดื่มชาเขียวในปริมาณที่พอเหมาะจะช่วยร่างกายได้หลายด้านเลยทีเดียว เช่น
สามารถกำจัดแบคทีเรียในช่องปากที่เป็นสาเหตุของฟันผุ กลิ่นปาก และโรคเหงือก โดยมีสารโพลีฟีนอล (Ployphenols) และแคทีชิน (Catechins) ที่มีอยู่ในใบชาเป็นตัวช่วย
ชะลอความชรา สารโพลีฟีนอล (Polyphenols) และสาร OPC (Oligomeric proanthocyanidins) ที่มีในชาเขียวนั้นจะช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ และสารชนิดนี้จะช่วยต่อสู้กับปัญหาผิวต่างๆ เช่น ริ้วรอยก่อนวัย และจุดด่างดำต่างๆ ได้ด้วย
ป้องกันผมร่วง เนื่องจากชาเขียวนั่นอุดมไปด้วยสารแคทีชิน (Catechins) ช่วยป้องกันการเกิดผมร่วงและมีสาร EGCG (Epigallocatechin gallate) ซึ่งที่สามารถช่วยกระตุ้นการงอกของผมอีกด้วย
นอกจากประโยชน์ของมัทฉะและชาเขียว ที่กล่าวไปนั้น ชายังมีคุณสมบัติช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และดีต่อสุขภาพและสมองของผู้ดื่มอีกด้วย
มัทฉะ ,  Matcha  ,  ชาเขียว  , Green Tea
CR    ::            https://www.aromathailand.com/matcha-vs-green-tea/?lang=th
2 notes · View notes
prapasara · 2 days
Text
Tumblr media
ความแตกต่างของมัทฉะ (Matcha) และชาเขียว (Green Tea)
ความแตกต่างของมัทฉะ (Matcha) และชาเขียว (Green Tea)
มัทฉะและชาเขียว มีความแตกต่างกันในหลากหลายแง่มุม
ชาเขียว เป็นเครื่องดื่มยอดฮิตของชาวญี่ปุ่นที่ผลิตมาจากใบชา ซึ่งแต่ละแหล่งก็จะมีรสชาติและการปรุงแต่งที่แตกต่างกันออกไป ในปัจจุบันชาเขียวได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้นในประเทศไทย เรารู้จักกันในชื่อว่า Green Tea ที่เป็นการผสมผสานระหว่างน้ำร้อนกับใบชา จนได้ออกมาเป็นน้ำชาสีเข้ม มีรสชาติขมเป็นเอกลักษณ์
Tumblr media
แต่เรานิยมนำมาผสมกับน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมเพื่อเพิ่มรสชาติ ดังนั้น นี่จึงไม่ใช่ต้นตำรับของชาวญี่ปุ่นโดยตรง และพวกเขาก็ไม่ยอมรับว่านี่คือน้ำชาเขียว แต่มันเป็นเพียงน้ำหวานธรรมดาที่ผสมน้ำชาเขียวลงไปเท่านั้น ส่วนอีกชื่อหนึ่งที่เราก็คุ้นหูกันอยู่ไม่น้อยเช่นกัน นั่นก็คือเจ้าชาเขียวที่เรียกว่า มัทฉะ (Matcha) เป็นชาเขียวที่แตกต่างจาก Green Tea ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นชนิดเดียวกัน ดังนั้นเพื่อทำความเข้าใจให้มากขึ้น ลองมาทำความรู้จักกับชาเขียวทั้งสองประเภทว่ามีเอกลักษณ์ที่ต่างกันอย่างไรบ้าง
Tumblr media
จุดกำเนิดของชาเขียวและมัทฉะ
เริ่มต้น ชาเขียวก็มาจากต้นชาหลักๆ 2 สายพันธุ์ด้วยกัน นั่นก็คือ ชาดำหรือที่รู้จักกันในชื่อว่าชาอู่หลง ไม่ว่าจะเป็นชาเขียว Macha หรือ Green Tea ต่างก็มีต้นกำเนิดมาจากต้นเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันอยู่ที่ “กรรมวิธีการผลิต” ดังนั้นจุดเริ่มต้นของการเป็นชาเขียวคือ ไม่ว่าจะเป็นแบบผงที่ใส่ไว้ในซองไนล่อน แช่น้ำร้อน หรือจะเป็นแบบใบตากแห้งแล้วเอาไว้ชงกับน้ำร้อนเราจะเรียกชาเขียวเหล่านี้ว่า “Green Tea” แต่ลักษณะการเรียกชื่อจะแตกต่างกันออกไปตามรูปแบบ เช่น ใบชาที่เป็นใบแห้งใช้ชงกับน้ำร้อน เราเรียกกันว่า เซนฉะ (Sencha) แบบใบผสมกับความหอมของข้าวคั่วหรือชาข้าว จะเรียกว่า เก็นมัยฉะ (Genmaicha) และชาเขียวที่นำมาบดเป็นผงละลายลงไปในน้ำ พร้อมดื่ม มีความเข้มข้นมากๆ เราเรียกกันว่า มัทฉะ (Matcha) เป็นชาเขียวที่จัดได้ว่าเป็นที่นิยมอย่างมาก และมีกรรมวิธีในการผลิตที่ซับซ้อนมากกว่า Green Tea อย่างมากเลยทีเดียว
Tumblr media
ความซับซ้อนที่กว่าจะมาเป็น Matcha
Matcha อาจจะมาจากชาแบบเดียวกัน แต่การผลิตที่พุ่งเป้าไปที่ชาชนิดนี้โดยตรง จะมีขั้นตอนการปลูกที่เรียกได้ว่าซับซ้อนมากกว่า ชาเขียวชนิดอื่นๆ กรณีที่ต้องการได้ส่วนยอดของใบชาเอาไปใช้สำหรับทำ Matcha จะมีการดูแลตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก ด้วยการสร้างแสลนสำหรับกรองแสงให้ผ่านเข้ามาที่ต้นชาไม่มากนัก ซึ่งจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้ต้นชามีการสร้างสารคลอโรฟิลล์มากยิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มระดับในการสังเคราะห์แสง ใบชาจะมีความแตกต่างจาก Green Tea สีใบมีความเข้มมากกว่า ก่อนจะนำยอดมาทำเป็น Matcha ให้สมบูรณ์แบบด้วยการบดให้ละเอียด ความละเอียดอยู่ในระดับที่ละลายไปกับน้ำได้ นิยมนำไปใช้เป็นส่วนผสมของอาหาร ขนม และเครื่องดื่มต่างๆ หรือจะชงดื่มกับน้ำธรรมดาก็ได้ แต่สำหรับชาวญี่ปุ่นแล้ว Matcha จะมีราคาสูงมากกว่าชาเขียวแบบอื่นๆ ดังนั้นมักนิยมนำมาใช้ชงดื่มสำหรับแขกที่มาเยี่ยมเยือน หรือในงานพิธีชงชา
Tumblr media
เรียนรู้ประวัติความเป็นมาของทั้งชาเขียวและมัทฉะกันไปไม่มากก็น้อยแล้ว ลำดับต่อไป Barista Buddy จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับความแตกต่างของทั้งชาเขียวและมัทฉะให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีทั้งกรรมวิธีในการปลูก การผลิต และแปรรูปที่ต่างกันทั้ง 5 ข้อด้วยกันดังนี้
1. ความแตกต่างกรรมวิธีการชงชาเขียวและมัทฉะ
มัทฉะ: มาในรูปแบบผง ต้องนำไปผสมน้ำร้อน นมร้อน น้ำเย็น หรือนมเย็น และใช้อุปกรณ์การชงมัทฉะ หรือแปรงตีชา (Chasen) คนให้เข้ากัน ช่วยให้ผงละลายได้ดีที่สุด และยังทำให้เกิดฟองสวยงาม สามารถนำไปทำเมนูเครื่องดื่มต่างๆ ได้เลย *ข้อแนะนำ ไม่ควรใช้น้ำที่ร้อนจัดเกินไป เพราะอาจทำให้รสชาติชาเขียวมัทฉะขมหรือฝาดได้ ชาเขียว: มาในรูปแบบใบชาเขียวแห้ง ต้องนำไปแช่ในน้ำร้อน (ประมาณ 80 องศาเซลเซียส) และผ่านกระบวนการการกรองน้ำชาผ่านตัวกรอง สามารถนำไปทำเมนูชาเขียวอื่นๆ ต่อได้เลย *ข้อแนะนำ ไม่ควรแช่ใบชานานจนเกินไป เพราะอาจทำให้เสียรสชาติเดิมไปได้
2. ความแตกต่างเรื่องการเพาะปลูกชาเขียว
มัทฉะ :ปลูกในขั้นตอนที่ซับซ้อนมีรายละเอียดในทุกขั้นตอน ต้นชาของมัทฉะจะต้องปลูกในร่ม และมีการคลุมไม่ให้ใบชาโดนแสงแดดโดยตรง ช่วยกระตุ้นให้เกิดการผลิตคลอโรฟิลล์ ทำให้ใบชามีสีเขียวเข้มกว่าชาเขียวปกติ ชาเขียว : ปลูกในระบบกลางแจ้งปกติ สามารถเก็บผลผลิตได้ตามฤดูกาล 3. ความแตกต่างเรื่องรสชาติและกลิ่นของมัทฉะและชาเขียว
มัทฉะ : มีรสชาติที่ขมและเข้มข้น หวาน และบอดี้แน่นกว่าชาเขียว กลิ่นหอมจะเป็นเอกลักษณ์ หอมนวลๆ ละมุน ชาเขียว : รสชาติออกฝาดเล็กน้อย มีความขม ดื่มง่าย และยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายสาหร่าย ซึ่งบางที่นิยมนำชาเขียวไปสกัดกับกลิ่นดอกไม้ต่างๆ ได้ชาเขียวมะลิ ชาเขียวกุหลาบ เป็นต้น 4. ความแตกต่างเรื่องการประกอบเมนูต่าง ๆ ของมัทฉะและชาเขียว มัทฉะ : เนื่องด้วยมัทฉะมีรสชาติที่เข้มข้นและหอมมัน จึงสามารถนำผงชาเขียวมัทฉะไปประกอบเมนูได้หลากหลายอย่าง ทั้งเมนูเครื่องดื่มและของหวาน ไม่ว่าจะเป็น มัทฉะปั่น, มัทฉะเย็น, มัทฉะร้อน หรือ เค้กมัทฉะ, มูสมัทฉะ, ชีสเค้กมัทฉะ, มัทฉะบานอฟฟี่ นอกจากนี้สามารถนำไปทำเป็นไอศกรีมที่ได้รับความนิยมแพร่หลายในปัจจุบันอีกด้วย ชาเขียว : ส่วนใหญ่แล้วหลายคนนิยมนำชาเขียวไปประกอบเป็นเมนูเครื่องดื่มเป็นหลัก ซึ่งทำได้ทั้งร้อน เย็นและปั่น อีกทั้งสามารถนำไปประกอบเป็นเมนูของคาว ทั้งทำเป็นซุป ครีมสลัดต่างๆ ให้ทั้งประโยชน์และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ด้วย 5. ความแตกต่างด้านคุณค่าสารอาหารของมัทฉะและชาเขียว
เนื่องจากมัทฉะมีความเข้มข้นสูงจึงให้สารอาหารที่มากกว่าชาเขียวทั่วไป 5-10 เท่า หลักๆ แล้วจะให้ประโยชน์ในเรื่องของช่วยในการเผาผลาญไขมัน มีทั้งแร่ธาตุและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย แค่ดื่มเป็นประจำทุกวัน
Tumblr media
ผงชาเขียวแนะนำจากเกาหลี: Greentea Powder 15% เหมาะสำหรับชงเมนูเครื่องดื่มร้อนเย็น ด้วยผงชาเขียวมัชชะเกรดเอ ที่ปรุงมาสำเร็จสามารถชงใส่นมร้อนสามารถดื่มได้ทันที่ สะดวกสบาย และลดขั้นตอนในการชง
โดยสรุปแล้วใบชาเขียวระหว่าง Macha กับ Green Tea มีความแตกต่างกันตั้งแต่ขั้นตอนในการปลูกแล้ว ไปจนถึงกระบวนการผลิต แม้จะเป็นใบชาเหมือนกัน แต่การดูแลก็จะมีความแตกต่างกัน ชาเขียวธรรมดาใช้ชงดื่มเป็นเครื่องดื่มร้อนทั่วไปที่มีความหยาบ ต้องกรองก่อนนำไปดื่ม แต่สำหรับ มัทฉะ แล้วจะถูกบดอย่างละเอียดมากที่สุดจนเกือบจะกลายเป็นผงแป้ง จัดได้ว่าเป็นชาชั้นยอดของชาวญี่ปุ่น นิยมนำไปใช้ในพิธีชงชาที่ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย
Tumblr media
มัทฉะ ,  Matcha  ,  ชาเขียว  , Green Tea
ที่มา : http://www.coffeefavour.com/
2 notes · View notes
prapasara · 2 days
Text
Tumblr media
“เลือดกำเดาไหล” กับวิธีปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง
ตอนเด็กๆ เคยเกิดเหตุ “เลือดกำเดาไหล” กันบ้างไหมคะ? สำหรับตัวเราเองนั้นเคยเห็นแต่คนอื่นเป็น นั่งเล่นอยู่เฉยๆ ก็หยดแหมะๆ ใส่เสื้อต่อหน้าต่อตา ทำไมเลือดกำเดาถึงไหล แล้วเรามีวิธีหยุดเลือดอย่างไรถึงจะถูกต้อง  เรามีเคล็ดลับให้จำเอาไปใช้กัน
เลือดกำเดา คืออะไร?
เลือดกำเดา คือเลือดที่ไหลออกมาจากโพรงจมูก ไม่ว่าจะเป็นข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง เกิดจากเส้นเลือดภายในโพรงจมูกแตก ที่อาจเป็นเพราะเส้นเลือดในโพรงจมูกเปราะบางแตกง่ายด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น อาการที่เปลี่ยน (ร้อนเกินไป, หนาวเกินไป, แห้งเกินไป) สั่งน้ำมูกแรงเกินไป ผลข้างเคียงจากอาการภูมิแพ้ ความดันโลหิตสูง หรือเกิดจากการแคะ แกะ เกาในโพรงจมูกอย่างรุนแรง หรือเกิดอุบัติเหตุในบริเวณที่ใกล้เคียงกับจมูก เป็นต้น
เลือดกำเดา มีกี่ชนิด?
ทราบหรือไม่ว่าเลือดกำเดาแบ่งออกเป็น 2 ชนิด
เลือดที่ออกจากโพรงจมูกด้านหน้า มักเกิดขึ้นกับคนทั่วไป เกิดจากเส้นเลือดบริเวณจมูกในส่วนหน้าแตก ไม่ก่อให้เกิดอันตราย ผู้ป่วยสามารถทำให้เลือ���กำเดาหยุดไหลได้เอง
เลือดที่ออกจากโพรงจมูกส่วนหลัง เกิดจากเส้นเลือดบริเวณโพรงจมูกด้านหลังแตก หรือส่วนที่อยู่ลึกเข้าไปในโพรงจมูก จนอาจทำให้มีเลือดไหลลงไปในลำคอด้วย มักเกิดกับผู้สูงวัย หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคอันตรายร้ายแรงบางอย่าง ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน
เลือดกำเดาไหลแบบไหน อันตราย
หากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน
เลือดกำเดาไหลที่ด้านหลังโพรงจมูกจนไหลเข้าไปในลำคอ
เลือดกำเดาไหลไม่หยุดแม้ผ่านไปมากกว่า 20 นาที
เลือดกำเดาไหลซ้ำอีกหลายครั้ง
เวียนศีรษะ หน้ามืด
กระอักเลือด หรืออาเจียนเป็นเลือด
มีผื่นขึ้นตามตัว
มีไข้สูง (มากกว่า 5 องศาเซลเซียส)
วิธีหยุดเลือดกำเดาไหลด้วยตัวเอง
นั่งนิ่งๆ บนเก้าอี้หรือพื้น เอนตัวไปข้างหน้า และอาจก้มหน้าเพียงเล็กน้อย ไม่ต้องเงยหน้า ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้บีบจมูก แล้วหายใจทางปากราว 10 นาทีแล้วค่อยปล่อยนิ้ว หากเลือดกำเดายังไม่หยุดไหล ให้ทำตามวิธีนี้อีกครั้ง
ไม่นอนราบ หากมีเลือดไหลลงคอให้บ้วนเลือดออกมา ไม่กลืนลงไป เพราะเลือดกำเดาอาจไหลเข้าไปในกระเพาะอาหารจนทำให้เกิดอาการอื่นๆ ตามมาได้ เช่น อาเจียน เป็นต้น
อาจใช้ผ้าชุบน้ำเย็น หรือน้ำแข็งวางบริเวณสันจมูกขณะบีบจมูกไปด้วยก็ได้
หากเลือดกำเดายังไม่หยุดไหล ให้รับพบแพทย์โดยด่วน
>> เข้าใจใหม่! คุณอาจ “หยุดเลือดกำเดาไหล” ผิดวิธีมาตลอดชีวิต
ขอขอบคุณ
ข้อมูล :รศ.พญ. ดารินทร์ ซอโสตถิกุล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย  ,  Sanook! Health
1 note · View note
prapasara · 2 days
Text
Tumblr media
21 พฤษภาคม วันชาสากล
21 พฤษภาคม วันชาสากล วันแห่งเครื่องดื่มยอดนิยมของคนทั้งโลก
Tumblr media
21 พฤษภาคม วันชาสากล หนึ่งวันสำคัญที่เกษตรกรผู้ปลูกชาต่างลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมในการค้าชา และเป็นวันแห่งเครื่องดื่มยอดนิยมตลอดกาลของคนทั้งโลก
ชา คือ เครื่องดื่มที่อยู่คู่กับมนุษย์มายาวนานกว่า 2,000 ปี โดยชาวจีนเป็นชนชาติแรกที่รู้จักการปลูกและบริโภคชา และเมื่อเวลาผ่านไป ชาได้ถูกเผยแพร่ไปปลูกยังที่ต่าง ๆ จนกลายเป็นที่นิยม การดื่มชาถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในหลาย ๆ ชาติ ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น และอินเดีย แน่นอนว่าทุกคนล้วนรู้จักชากันทั้งนั้น แต่รู้หรือไม่ว่ามีวันสำคัญวันหนึ่งที่จัดตั้งขึ้น��พื่อเครื่องดื่มชนิดนี้โดยเฉพาะ นั่นคือ วันชาสากล แล้ววันชาสากลคืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร ? เรามาทำความรู้จักไปพร้อม ๆ กันเลย
ประวัติวันชาสากล
          วันชาสากล (International Tea Day) ตรงกับวันที่ 21 พฤษภาคม ของทุกปี โดยจุดเริ่มต้นเริ่มมาจากเกษตรกรผู้ปลูกชากลุ่มเล็ก ๆ หลายกลุ่มในเบงกอลตะวันตกและหลายรัฐทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ได้รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องถึงสิทธิและความชอบธรรมในการค้าชาของตน โดยในช่วงนั้น แม้ว่าชาจะเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่มีการปลูกอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ แต่อุตสาหกรรมค้าชาในประเทศอินเดียกลับมีความอ่อนแอและบริหารจัดการได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพเท่าใดนัก เกษตรกรผู้ปลูกชากลุ่มเล็ก ๆ ในหลายพื้นที่ได้นำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการปลูก ทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตดีขึ้น ได้ผลิตผลเพิ่มมากขึ้น และชาที่ได้ก็มีคุณภาพดี
  ทว่าเกษตรกรเหล่านี้กลับไม่ได้รับความเป็นธรรมในการค้าขาย พวกเขาถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกกดราคา แทนที่คุณภาพชีวิตพวกเขาจะดีขึ้นกลับต้องแย่ลง แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น กระทั่งองค์กรเพื่อการสื่อสารและการศึกษาของประเทศอินเดีย (CEC - Centre for Communication and Education) ซึ่งเป็นองค์กรที่ช่วยเหลือสิทธิของเกษตรกรและผู้ผลิตรายย่อยในประเทศ ได้เล็งเห็นถึงปัญหาและได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ พวกเขาได้ร่วมมือกับองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ เข้ามาพัฒนาและช่วยเหลือเกษตรกรผู้ค้าชากลุ่มย่อย ๆ ให้ได้รับความเป็นธรรมในการค้าชา และทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น
          ชาได้ถูกพัฒนาให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพนับตั้งแต่นั้น และได้มีการจัดตั้งให้วันที่ 21  พฤษภาคม ของทุกปี คือ วันชาสากล เพื่อระลึกถึงคุณประโยชน์ของชาและตระหนักถึงความสำคัญของเหล่าเกษตรกรตัวเล็ก ๆ ผู้ปลูกพืชซึ่งกลายเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่านี้
Tumblr media
          ในปัจจุบันสภาพชีวิตของเกษตรกรผู้ค้าชาในอินเดียดีขึ้นกว่าเดิมมาก และชาก็ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าจะเป็นชาเขียว ชาแดง ชาดำ หรือชาที่มาในรูปแบบชาเย็นผสมนม ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องดื่มโปรดของใครหลาย ๆ คน และการเฉลิมฉลองในวันชาสากลนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย เพียงแค่ชงชาถ้วยโปรดแล้วดื่ม ระลึกถึงเหล่าผู้ที่คัดสรรชาคุณภาพดี ทุก ๆ ใบ ทุก ๆ ยอดอันมีคุณค่านี้มาให้เราดื่ม เพียงเท่านี้ก็นับว่าเราได้มีส่วนร่วมในวันชาสากลแล้ว
#ชา #สรรพคุณของชา #ประโยชน์ของชา #ใบชา #Tea #ข้อดีของการดื่มชา #ChineseTea #ThaiTea #BenefitsOfTea #Matcha #WhiteTea #GreenTea #OolongTea #BlackTea #Pu-erhTea #วันชาสากล #InternationalTeaDay
ขอบคุณข้อมูลจาก : fao.org, un.org, calendarr.com  ,  https://hilight.kapook.com/view/146468  ,  https://prinkotakoon.blogspot.com/2024/10/international-tea-day.html
1 note · View note
prapasara · 2 days
Text
Tumblr media
ชา สรรพคุณและประโยชน์ของชา ใบชา น้ำชา 36 ข้อ ! (Tea)
 ชา สรรพคุณและประโยชน์ของชา ใบชา น้ำชา 36 ข้อ ! (Tea) 
ชา 
ชา ชื่อสามัญ Tea, Thea ชา ชื่อวิทยาศาสตร์ Camellia sinensis (L.) Kuntze จัดอยู่ในวงศ์ชา (THEACEAE) 
สมุนไพรชา มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เมี่ยง เมี่ยงป่า (ภาคเหนือ), ชา (ภาคกลาง), ลาบ่อ (อาข่า), นอมื่อ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), แต๊ (จีนแต้จิ๋ว), ฉา (จีนกลาง) เป็นต้น
ลักษณะของต้นชา 
สมุนไพรชา เป็นไม้ยืนต้นที่เชื่อว่ามีถิ่นกำเนิดมาจากเทือกเขาทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เนื่องจากมีหลักฐานการค้นพบต้นชาสายพันธุ์ดั้งเดิมหลายสายพันธุ์ที่เป็นพืชพื้นเมืองประจำถิ่นของมณฑลยูนนาน และภายหลังได้แพร่กระจายไปปลูกตามประเทศทางเอเชียตะวันออกรวมถึงญี่ปุ่น ในการเพาะปลูกมักตัดแต่งกิ่งให้เป็นพุ่มสูงประมาณ 0.6-1 เมตร ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการเก็บใบชา ส่วนการเก็บใบชามักจะเก็บแต่ใบอ่อน ๆ แรกผลิออกเป็น 3 ใบเท่านั้นชาเป็นพืชกึ่งร้อนที่เจริญเติบโตได้ดีในเขตอบอุ่นและมีฝน ปลูกได้ดีที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลตั้งแต่ 200-2,000 เมตร โดยชาที่ผลิตทางการค้าส่วนใหญ่จะมีอยู่ 2 สายพันธุ์[4] ได้แก่ กลุ่มชาพันธุ์จีน (Chinese Tea) และกลุ่มชาพันธุ์อัสสัม (Assam tea)
- กลุ่มชาพันธุ์จีน (Chinese Tea) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis var. sinensis เป็นสายพันธุ์นำเข้ามาจากประเทศไต้หวันและจีน นิยมปลูกกันมากเนื่องจากให้ผลผลิตสูงและเป็นที่ต้องการของตลาด ในประเทศไทยปลูกกันมากทางภาคเหนือ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ซึ่งการปลูกจะปลูกเป็นแถวแบบขั้นบันได มีการจัดการแปลงปลูกอยากเป็นระบบและตัดแต่งกิ่งอย่างสม่ำเสมอ
* ต้นชา ชาสายพันธุ์จีนจัดเป็นพรรณไม้ขนาดย่อมจนถึงขนาดกลาง มีความสูงของต้นประมาณ 1-6 เมตร ลำต้นแตกกิ่งก้านมาก ตามกิ่งอ่อนมีขนปกคลุม ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด พรรณไม้ชนิดนี้เป็นพันธุ์เดิมของประเทศจีน แต่ในบ้านเราก็มีปลูกมานานแล้ว เคยพบที่จังหวัดพะเยาแต่ไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็มีปลูกกันบ้างประปรายทางภาคเหนือ
Tumblr media
ใบชา ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ลักษณะของเป็นรูปหอก ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นจักเล็ก ๆ หรือเป็นฟันเลื่อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร และยาวประมาณ 6-12 เซนติเมตร หลังใบเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนท้องใบเป็นสีเขียวอ่อน แผ่นใบหนาและเหนียว เรียบเป็นมัน คล้ายใบข่อยแต่จะยาวและใหญ่กว่า เส้นใบเป็นตาข่าย ส่วนก้านใบสั้น
Tumblr media
ดอกชา ออกดอกเป็นช่อหรือออกเป็นกระจุกตามง่ามใบ ลักษณะของดอกคล้ายกับดอกส้มเขียวหวาน โดยดอกชาจะมีลักษณะใหญ่สีสวย ดอกเป็นสีขาวนวล และมีกลิ่นหอม ในช่อหนึ่งจะมีดอกประมาณ 1-4 ดอก กลีบดอกมี 5 กลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงมี 2 กลีบ ดอกมีเกสรเพศผู้อยู่กลางดอกจำนวนมาก
Tumblr media
ผลชา เป็นผลแบบแคปซูล มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-4 เซนติเมตร เมื่อแก่จะแตกออก ในหนึ่งผลจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 1-3 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปสามเหลี่ยมแบน หรือค่อนข้างกลม ผิวเมล็ดเรียบ เป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำหรือสีน้ำตาลอมแดง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10-14 มิลลิเมต���
Tumblr media
- กลุ่มชาพันธุ์อัสสัม (Assam tea) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis var. assamica มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น ชาอัสสัม ชาป่า ชาพื้นเมือง ชาเมี่ยง เป็นต้น ชาชนิดนี้จะเป็นพันธุ์ชาที่ใบใหญ่กว่าชาพันธุ์จีน เจริญเติบโตได้ดีในป่าเขตร้อนชื้นที่มีร่มไม้และแสงแดดพอประมาณ ในประเทศไทยพบได้ที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง แพร่ และน่าน
* ต้นชา จัดเป็นไม้พุ่มขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผิวลำต้นเรียบ ตามกิ่งอ่อนปกคลุมไปด้วยขนอ่อน ๆ มีความสูงของต้นประมาณ 6-18 เมตร มีขนาดใหญ่กว่าชาจีนอย่างเด่นชัด กิ่งที่มีอายุมากจะเปลี่ยนเป็นสีเทา
Tumblr media
ใบชา ใบเป็นใบเดี่ยว ออกสลับและเวียน ปลายใบแหลม ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อยเด่นชัด โดยมีหยักฟันเลื่อยประมาณ 9 หยัก ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตร และยาวประมาณ 7-16 เซนติเมตร หรืออาจพบใบมีที่มีขนาดใหญ่กว่านี้ แผ่นใบเป็นสีเขียวอ่อนถึงสีเขียวเข้ม ก้านใบและท้องใบมีขนอ่อนปกคลุม
Tumblr media
ดอกชา ดอกเจริญจากตาบริเวณง่ามใบบนกิ่ง ในแต่ละตาจะประกอบไปด้วยตาที่เจริญไปเป็นกิ่งอยู่ด้านบนของตา ส่วนใหญ่ดอกออกติดกันเป็นกลุ่ม ๆ ช่อละประมาณ 2-4 ดอกต่อตา ดอกมีกลีบเลี้ยงประมาณ 5-6 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน ลักษณะเป็นรูปทรงโค้งมนยาว ก้านดอกยาวประมาณ 10-12 มิลลิเมตร ส่วนกลีบดอกมีประมาณ 5-6 กลีบ โคนกลีบติดกับฐานดอกแคบ ส่วนปลายกลีบบานออก วงเกสรเพศผู้ประกอบไปด้วยอับละอองเกสรสีเหลืองติดอยู่ ส่วนปลายของก้านชูอับละอองเกสรเป็นสีขาว ยาวได้ประมาณ 5 มิลลิเมตร เกสรเพศเมียมีลักษณะเป็นก้านกลม ภายในรังไข่แบ่งออกเป็นช่อง 1-3 ช่อง เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดกว้างประมาณ 3.65 เซนติเมตร
Tumblr media
ผลชา ผลเป็นแบบแคปซูล มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-4 เซนติเมตร เมื่อแก่เต็มที่เปลือกจะแตกออก ภายในมีเมล็ดลักษณะกลม ผิวเมล็ดเรียบแข็ง เป็นสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอมแดง หรือสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ เมล็ดมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 11-12 มิลลิเมตร
Tumblr media
ในเรื่องของกระบวนการผลิตชาจะเริ่มจากการเก็บใบชาสด แล้วนำมาเข้ากระบวนการที่ทำให้เกิดการหมักในระดับที่แตกต่างกันไป ซึ่งเมื่อจัดแบ่งประเภทชาตามระดับของการหมักแล้วจะสามารถแ���่งชาหลัก ๆ ออกได้เป็น 3-4 ประเภท คือ ชาขาว (White tea), ชาเขียว (Green tea), ชาอู่หลง (Oolong tea) และชาดำ (Black tea) โดยชาขาวและชาเขียวนั้นเป็นชาที่ไม่ผ่านการหมักเลย ส่วนชาอู่หลงเป็นชาที่ผ่านการหมักบางส่วน และชาดำเป็นชาที่ผ่านการหมักอย่างสมบูรณ์
Tumblr media
Tumblr media
สรรพคุณของชา 
1. ใบนำมาต้มเคี่ยวเอาน้ำกิน ช่วยกระตุ้นทำให้กระชุ่มกระชวย ไม่ง่วงนอน ทำให้ตาสว่าง กระตุ้นให้หายเหนื่อย (ใบ)
2. ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ หน้ามืดตามัว (ใบ)
3.ใบชานำมานึ่งแล้วหมักกับเกลือ ทำเป็นคำ ๆ ใช้อม จะช่วยทำให้คอชุ่ม แก้อาการกระหายน้ำได้ดีมาก (ใบ)
4. ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ (ใบ)
5. ใบชามีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น (ใบ)
6. รากชามีสรรพคุณช่วยกระตุ้นให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้น แก้โรคหัวใจบวมน้ำ (ราก)
7. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด (ใบ)
8. กิ่งและใบมีสรรพคุณเป็นยาแก้หืด (ใบ,กิ่ง)
9. ใบมีฤทธิ์เป็นยาฝาดสมานใช้รักษาและลดอาการท้องร่วง (ใบ)
10. ใบใช้เป็นยาแก้บิด (ใบ)
11. ใบแห้ง ใช้ชงใส่น้ำตาล กินเป็นยารักษาอาการปวดท้อง (ใบ)
12.  รากใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย (ราก)
13. ช่วยในการย่อยอาหาร (ใบ)
14. ช่วยขับปัสสาวะ (ราก,ใบ)
15. ช่วยแก้ตับอักเสบ (ราก)
16. ใบมีสรรพคุณเป็นยาแก้พิษ (ใบ)  กิ่งและใบ นำมาชงแก่ ๆ ใช้รักษาอาการเป็นพิษของยาอันตรายที่เป็นอัลคาลอยด์ต่าง ๆ (กิ่งและใบ)
17. รากมีสรรพคุณช่วยต้านเชื้อ แก้ปากเป็นแผล (ราก)
18. กิ่งมีสรรพคุณเป็นยาสมานแผล (กิ่ง)
19. ใบใช้เป็นชะล้างแผล สมานแผล แก้บวม (ใบ)  
20. ราก เมล็ดและน้ำมันใช้เป็นยาภายนอก แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แก้แผลเปื่อย (ราก,เมล็ดและน้ำมัน)  กากใบชาใช้เป็นยาพอกแผล สำหรับแผลที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก (กากใบชา) ส่วนกิ่งและใบใช้ทำเป็นน้ำยาสมานของกรดแทนนิน ใส่แผลไหม้พอง (กิ่งและใบ)
21. ราก เมล็ดและน้ำมัน ใช้ภายนอกเป็นยาแก้โรคผิวหนัง กลากเกลื้อน (ราก,เมล็ดและน้ำมัน)  ส่วนใบก็มีสรรพคุณรักษากลากเกลื้อนได้เช่นกัน 
22. ใบชามีสรรพคุณช่วยรักษาอาการปวดเมื่อยตามร่างกายได้ดี (ใบ)
หมายเหตุ : วิธีใช้ตาม [2] ในส่วนของใบให้ใช้ใบแห้งประมาณ 3-10 กรัม หรือกะเอาตามสมควร นำมาชงกับน้ำรับประทาน ส่วนรากให้ใช้รากแห้งประมาณ 30-50 กรัม[2] ส่วนอีกวิธีระบุให้ใช้ใบแห้งประมาณ 1 หยิบมือ ชงกับน้ำร้อน 1-2 แก้ว ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที นำมาจิบบ่อย ๆ ดื่มต่างน้ำ
Tumblr media
Tumblr media
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของชา 
- สารที่พบได้แก่ Caffeine 1-4%, Barringtogenol, Gallotannic acid, Theophylline, Theobromine, Theasapogenol A, B, C, D, E, Theafolisaponin, Xanthine, Vitamin C และน้ำมันหอมระเหย เป็นต้น[2] ส่วนอีกข้อมูลระบุว่า สารสำคัญที่พบในชา ได้แก่ acetaldehyde, acetamide, acetone, acetophenone, afzelechin, amyrin, apigenin, aromadendrin, benzaldehyde, benzolthiazole, brassinolide, butyroin, caffeine, camellia galactoglucanm camelliaside A, B, C, carvacrol, fluoride, linalool-β-D-glucopyranoside - ชามีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิตสูง ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ลดไขมัน กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยแก้อาการซึมเศร้า ป้องกันฟันผุ กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
- สาร Caffeine และสาร Theophylline มีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดหัวใจแข็งตัว ทำให้หัวใจถูกกระตุ้นและมีผลทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นด้วย
- เมื่อนำสารที่สกัดได้จากใบชามาทดลองกับหัวใจที่อยู่นอกร่างของกบ พบว่า มีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของหัวใจกบ และมีผลต่อการเต้นของหัวใจให้แรงขึ้น โดยเฉพาะในใบชาเขียว จะมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
- เนื่องจากใบชามีสาร Caffeine และสาร Theophylline รวมอยู่ด้วย โดยสารเหล่านี้มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของท่อดูดซึมน้ำในไต จึงมีประสิทธิภาพในการขับปัสสาวะได้มากขึ้น
- คาเฟอีนยังมีฤทธิ์กระตุ้นกระเพาะอาหาร ทำให้หลั่งสารน้ำย่อยของกระเพาะมากขึ้น เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นโคกระเพาะเป็นแผล จึงห้ามดื่มน้ำชา
- จากการศึกษาฤทธิ์ของสาร Catechins ในหนูขาวเพศผู้อายุ 7 สัปดาห์ โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มควบคุมให้กินน้ำ และกลุ่มทดลอง 2 กลุ่ม ที่ให้กินสารละลาย catechins เข้มข้น 0.1% และ 0.5% ผสมในน้ำตามลำดับ หลังจากนั้น 3 สัปดาห์ พบว่าน้ำหนักตัวของหนูขาวในกลุ่มทดลองลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม และยังพบว่ากลุ่มทดลองที่กินสารละลาย catechins เข้มข้น 0.5% สามารถลดระดับไขมัน ระดับคอเลสเตอรอล และระดับไตรีกลีเซอไรด์ในเยื่อยึดลำไส้และตับได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลโดยรวมในซีรัม และลดระดับกรดน้ำดีในซีรัมด้วย จากการศึกษาครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นว่าสาร catechins ในชาไม่เพียงแต่จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ในคนอ้วนเท่านั้น แต่ยังได้ผลดีกับคนที่ไม่อ้วนอีกด้วย
* เมื่อปี ค.ศ.2003 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการทดลองผลการลดไขมันในเลือดของชา โดยทำการทดลองกับผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีไขมันในเลือดสูง แบ่งเป็นชาย 7 คน และหญิง 3 คน ทำการทดลองให้ชาผู้ป่วยดื่ม ในกลุ่มควบคุมให้ชาที่ free caffeine พบว่าหลังจาก 3 เดือนผ่านไป ผู้ป่วยที่ได้รับชา จะมีค่าคอเลสเตอรอลลดลง 6.5%, LDL-c 0.1%, lipoprotein 16.4% จึงสรุปได้ว่า ชาสามารถลดระดับไขมันในเลือดได้
* เมื่อปี ค.ศ.2008 ที่ประเทศบราซิล ได้ทำการศึกษาทดลองในผู้ป่วยที่มีระดับไขมันในเลือดสูงจำนวน 100 คน แบ่งกลุ่มการทดลองเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งให้ซุป (kinako) 50 กรัมต่อวัน กลุ่มที่สองให้ชาเขียว 3 กรัมต่อวัน กลุ่มที่สามให้ซุป (kinako) และน้ำชา ขนาด 50 กรัม และ 3 กรัมต่อวัน ส่วนกลุ่มที่สี่เป็นกลุ่มควบคุม โดยใช้เวลาทำการทดลอง 45 วัน และ 90 วัน ผลการทดลองพบว่ากลุ่มที่สองและสามที่ให้น้ำชา มีระดับคอเลสเตอรอลลดลง * เมื่อปี ค.ศ.2008 ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการทดลองในคนที่มีไขมันในเลือดสูง จำนวน 47 คน โดยให้สารสกัดใบชาในรูปของยาเม็ด ขนาด 333 มิลลิกรัม ส่วนกลุ่มควบคุมให้ placebo ให้กิน 3 เวลาต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน ผลการทดลองพบว่าอาสาสมัครมีระดับคอเลสเตอรอลลดลง 4.32-0.14 mol/L P<0.01 ค่า LDL-c ลดลง 3.81-0.13 mol/L ค่าไตรกลีเซอไรด์ลดลง P<0.01 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ * เมื่อปี ค.ศ.2008 ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการทดลองผลการลดไขมันในเลือดของ bleak tea ชาจีน ซึ่งสามารถลดระดับไขมันในเลือด หลังการให้สารละลายในหนูที่ให้ไขมันคอเลสเตอรอล 130 mg./kg. และให้ชาจีนขนาด 0.3 g./kg. หลังจากให้ชาแล้วพบว่า ค่า postprandial ของน้ำตาลในเลือดลดลง ระดับไขมันในเลือดลดลง แต่สำหรับชาเขียวที่ไม่ได้ผ่านการหมักบ่ม ไม่ได้ให้ผลดังกล่าว โดยใช้เวลาในการทดลอง 3 สัปดาห์ และพบว่าระดับไขมันในเลือดลดลง 1.36 mol/L P<0.05 และพบไขมันในไตลดลง 0.3% P<0.05 พบค่า LDL-c ลดลง 0.51 m mol/L , 0.1% P<0.05 ซึ่งค่าทางคลินิกดงกล่าวจะใช้ในการรักษาผู้ป่วยไขมันในเลือดสูงต่อไป * เมื่อปี ค.ศ.2008 ที่ประเทศเกาหลี ได้ทำการศึกษาผลการลดไขมันในเลือดของใบชา ซึ่งมี GCG-Rich Tea Catechins เป็นสารสำคัญในใบชา โดยทำการทดลองกับหนูทดลองที่ให้อาหารและกระตุ้นให้มีไขมันในเลือดสูง ผลการทดลองพบว่า หลังจากให้สารสกัดจากใบชาในหนูทดลองดังกล่าว ระดับไขมันในเลือดของหนูจะลดลง * เมื่อปี ค.ศ.2009 ที่ประเทศจีน ได้ทำการศึกษาทดลองผลในการลดระดับไขมันในเลือดของ Kombucha tea ในหนูทดลอง โดยพบว่าใบชาดังกล่าวจะกระตุ้นการผลิต D-saceharic acid-1, 4-lactone และเพิ่ม antioxidant enzyme ทำให้สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูได้ภายหลังการทดลอง - จากการทดสอบความเป็นพิษ สารสกัดจากชาด้วยเอทานอลและน้ำ ในอัตราส่วน 1:1 ในขนาด 50 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ให้ทางปาก มีสารสกัด Sapponin เป็นสารพิษ เกิดความเป็นพิษผสม tannic acid จากชาปริมาณ 0.25-15.25% ในอาหาร ให้หนูขาวกินเป็นเวลา 80 สัปดาห์ จะทำลายลำไส้ ตับและไต ถ้าให้หนูขาว หนูตะเภากินสารสกัดจากชา ขนาดต่ำกว่า 5 กรัมต่อกิโลกรัม ครั้งเดียว หนูจะตายภายใน 14 วัน
Tumblr media
ประโยชน์ของชา 
1. ในช่วงที่อากาศร้อน ๆ การดื่มชาจะช่วยทำให้คุณรู้สึกสดชื่นขึ้นได้ เนื่องจากในใบชามีสารโพลีฟีนอล กรดอะมิโน และคาร์โบไฮเดรต เมื่อสารเหล่านี้เกิดปฏิกิริยากับน้ำลายจะช่วยกระจายความร้อนส่วนเกินในร่างกายได้ 2. ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีธาตุอาหารอยู่หลายชนิดที่ช่วยบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพดี ช่วยกระตุ้นระบบประสาทและร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะใบชามีสารคาเฟอีนที่ช่วยกระตุ้นระบบประสาท ช่วยหมุนเวียนโลหิต มีอิทธิพลต่อกระบวนการเมตาบอลิซึมของเซลล์ภายในร่างกาย และยังมีการใช้ชาผสมกับยาแก้ปวด รักษาโรคไมเกรน เพื่อช่วยเพิ่มฤทธิ์ในการรักษาและทำให้ยาออกฤทธิ์ได้นานยิ่งขึ้น
3. การดื่มชาเป็นประจำจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงสดชื่น ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชราและมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณ 4. การดื่มชามีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ และช่วยสลายไขมัน ลดระดับคอเลสเตอรอล โดยไปเพิ่มการขับคอเลสเตอรอลในร่างกายผ่านทางน้ำดีในอุจจาระ
5. ในประเทศจีนรู้กันมานานแล้วว่า ชาจีนสามารถควบคุมการเกิดโรคอ้วนได้ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค ต้านจุลชีพ ลดการอักเสบ สมานแผล ช่วยขับและล้างสารพิษในร่างกาย เนื่องจากใบชามีสารโฟลีฟีนอลที่สามารถช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรี���ในลำไส้ใหญ่ได้ ส่วนฤทธิ์ต้านการอักเสบเชื่อว่าชาสามารถช่วยป้องกันโรคที่ก่อการอักเสบเรื้อรังได้ เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์
6. คนญี่ปุ่นเชื่อว่าการดื่มชาสามารถช่วยลดการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร เพราะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและเสริมสุขภาพ 7. ชามีประโยชน์ต่อระบบหัวใจและการไหลเวียนของโลหิต ช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน และการดื่มชายังช่วยรักษาอาการเจ็บหน้าอก และกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้อีกด้วย 8. การดื่มชาแก่ ๆ สักถ้วย จะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และช่วยในการย่อยอาหารจำพวกวิตามินกลุ่มต่าง ๆ 9. ชายังมีสารไอโอดีน และฟลูออไรด์ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยป้องกันภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ฟลูออไรด์ในจำนวนที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายจะช่วยป้องกันฟันผุและเสริมมวลกระดูกได้ 10. ใบอ่อนมีรสฝาด หอม หวาน ใช้ยำกินได้อร่อยมาก 11. ใบอ่อนนำมาปรุงแต่งและอบกลิ่นเป็นใบชา ส่งไปขายเป็นสินค้าตามต่างประเทศ ในบ้านเราเรียกว่าต้นเมี่ยง ส่วนมากทางภาคเหนือรู้จักกันมานาน 12. กากเมล็ดมีสารซาโปนิน (Saponin) ที่มีคุณสมบัติช่วยล้างสิ่งต่าง ๆ ได้สะอาดดีมาก และยังใช้สระผมเพื่อล้างสิ่งสกปรกออกจากผล นอกจากนี้น้ำมันที่ติดกากเมล็ดยังช่วยทำให้เส้นผมชุ่มชื้นเป็นมันอีกด้วย 13. กากชามีประโยชน์ช่วยในการดูดกลิ่น ส่วนใบชายังใช้ใส่ลงในโลงศพ เพื่อดูดกลิ่นเหม็นจากศพได้ด้วย 14. ส่วนคนเมืองจะใช้ใบอ่อนหมักเป็นเมี่ยงขาย ส่วนยอดอ่อนเก็บเป็นผลผลิตไว้ขาย
Tumblr media
ข้อควรระวังในการดื่มชา 
- สำหรับบางคน การดื่มชาอาจจะไม่เหมาะสมและอาจทำให้เกิดโทษได้ ได้แก่ ผู้ที่ไตทำงานบกพร่องหรือมีอาการไตวาย ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้ กระเพาะเป็นแผล สตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิด สตรีตั้งครรภ์ สตรีให้นมบุตร ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ผู้ที่มีไข้สูง ผู้ที่เป็นโรคนอนไม่หลับ รวมไปถึงเด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ขวบก็ไม่ควรดื่มชา * ผู้ที่มีปัญหานอนไม่ค่อยหลับ นอนหลับยาก หรือเป็นโรคนอนไม่หลับ ไม่ควรดื่มชาก่อนเข้านอน เพราะคาเฟอีนที่มีอยู่ในชาจะมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน และลดความสามารถและระยะเวลาในการนอนหลับ
* ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ไม่ควรดื่มชา เพราะคาเฟอีนจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว หลอดเลือดหดตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจได้ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น * คาเฟอีนยังทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้อีกด้วย ดังนั้นชาจึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน * ส่วนผู้ที่มีไข้สูง สาเหตุที่ไม่ควรดื่มชาก็เพราะจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจเต้นเร็ว ยิ่งทำให้ตัวร้อนมากขึ้น และแทนนินยังทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกมาน้อยกว่าปกติ * คาเฟอีนมีฤทธิ์เพิ่มการหลั่งกรดในกระเพาะ ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะและลำไส้จึงไม่ควรดื่ม เพราะจะทำให้รู้สึกอึดอัด อาเจียนออกมาเป็นน้ำใส ๆ และไม่ควรดื่มชาเวลาท้องว่างในตอนเช้า เพราะจะทำให้ระบบการย่อยอาหารผิดปกติ แต่ถ้าอยากดื่มชาในตอนเช้า ก็ควรหาอะไรกินรองท้องก่อน
* ผู้ที่ไตทำงานบกพร่องหรือมีอาการไตวาย ก็ไม่ควรดื่มชามากจนเกินไป เพราะร่างกายจะไม่สามารถขับน้ำออกทางปัสสาวะได้ตามปกติ และทำให้ไตทำงานหนักขึ้น
* ผู้ป่วยไทรอยด์ไม่ควรดื่มชา เพราะอาการกระสับกระส่ายจะยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีกเพราะฤทธิ์ของคาเฟอีน * สำหรับสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดไม่ควรดื่มชา โดยเฉพาะก่อนและหลังกินยาคุม 4 ชั่วโมง เพราะสารแทนนินจะทำให้สารต่าง ๆ ในยาคุมกำเนิดละลายตัวยากและดูดซึมได้น้อยลง * สตรีตั้งครรภ์ที่ไม่ควรดื่มชา สาเหตุก็เพราะอาจเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์ได้ * แม่ลูกอ่อนที่ให้นมลูก ก็ไม่ควรดื่มชา เพราะจะทำให้สารต่าง ๆ ในน้ำชาจะผ่านไปทางนมแม่ ทำให้ทารกขาดแร่ธาตุสำคัญ และยังทำให้ความสามารถในการขับน้ำนมของแม่ลดลงด้วย
* เด็กเล็กก็ไม่ควรดื่มชา เพราะจะทำให้ร่างกายย่อยและดูดซึมอาหารได้ไม่เต็มที่ เป็นอุปสรรพคุณต่อการเจริญเติบโต
- สารคาเฟอีนในชา มีฤทธิ์กระตุ้นประสาทและมีผลเสพติดอ่อน ๆ ถ้าไม่ได้ดื่มแล้วอาจจะรู้สึกหงุดหงิดได้ และร่างกายไม่ควรได้รับคาเฟอีนเกินวันละ 200 มิลลิกรัม (ประมาณ 4-5 ถ้วย) ผลของคาเฟอีนจะอยู่ได้ประมาณ 8-14 ชั่วโมง และร่างกายจะต้องใช้เวลามากกว่า 48 ชั่วโมงในการสลายคาเฟอีน ถ้าหากร่างกายได้รับคาเฟอีนในปริมาณสูงหรือประมาณ 3,000-10,000 มิลลิกรัม จะทำให้ตายได้ในเวลาอันสั้น
- ใบชาที่มีคุณภาพต่ำจะมีกรดแทนนินอยู่มาก มีผลต่อกระเพาะอาหารหรือลำไส้ ส่งผลให้ดูดซึมอาหารได้ไม่เต็มที่ ซึ่งอาจนำไปสู่การเจ็บป่วยด้วยอาการขาดธาตุเหล็กในเลือด และเมื่อแทนนินรวมกับโปรตีนจะทำให้ย่อยโปรตีนยากขึ้นด้วย - การดื่มชาที่เข้มข้นมาก ๆ จะมีผลทำให้กระเพาะอาหารดูดซับอาหารได้น้อยลง ทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานผิดปกติ ซึ่งจะทำให้ท้องผูกได้ ยิ่งถ้าดื่มตอนท้องว่างติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็อาทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารได้ แต่ทางที่ดีควรจะดื่มชาหลังรับประทานอาหารไปแล้วประมาณ 2-3 ชั่วโมง - ใบชามีสารออกซาเลต (Oxalate) แม้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าดื่มมาก ๆ และดื่มเป็นประจำ สารนี้ก็อาจสะสมในร่างกายและเป็นอันตรายต่อไตได้ - ใบชายังมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่มีโทษต่อร่างกาย แต่ไม่ค่อยมีคนกล่าวถึง นั่นก็คือฟลูออไรด์ที่มีในปริมาณสูง อาจทำให้เกิดการสะสมและมีผลทำให้ไตวาย เกิดมะเร็งลำไส้ โรคข้อ โรคกระดูกพรุน และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับกระดูกได้ แต่ถ้าดื่มไม่มากก็ไม่ต้องเป็นกังวล - ไม่ควรดื่มชาขณะกินยา ไม่ว่าจะยาแผนโบราณหรือยาแผนปัจจุบัน เพราะสารต่าง ๆ ในน้ำชาอาจไปทำปฏิกิริยากับยาที่กินเข้าไป เช่น ทำให้คุณสมบัติของยาลดลง หรืออาจกลายเป็นพิษได้ แต่หากต้องดื่มชาในยามป่วยก็ควรต้องดื่มก่อนหรือหลังกินยาประมาณ 2 ชั่วโมง และให้ชงอ่อน ๆ เข้าไว้ - ผู้ท���่รับประทานวิตามินหรืออาหารเสริม เช่น เกลือแร่ ธาตุเหล็ก หรือยาที่คล้ายคลึงกัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชาร่วมด้วย เพราะสารสำคัญจากใบชาจะไปตกตะกอนธาตุเหล็กหรือเกลือแร่ ทำให้ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย - ในระหว่างที่กินยาบำรุงโลหิตก็ไม่ควรดื่มชา เพราะแทนนินจะไปทำปฏิกิริยากับธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นสารสำคัญในการช่วยบำรุงโลหิต ทำให้ดูดซึมธาตุเหล็กได้น้อย รวมไปถึงผู้ที่กินยาบำรุงต่าง ๆ เช่น โสม เขากวาง ก็ไม่ควรดื่มชาเช่นกัน เพราะมันจะไปหักฤทธิ์กัน - การดื่มชาไม่ควรดื่มชาในขณะที่ยังร้อนจัด เพราะความร้อนจะไปทำลายเนื้อเยื่อในช่องปากจนทำให้เกิดอันตรายในช่องปาก ลำคอ รวมถึงลำไส้ได้ - ไม่ควรดื่มชาที่ชงค้างไว้นานหลายชั่วโมง เพราะจะมีกรดแทนนินสูง และสารต่าง ๆ ในน้ำชาอาจทำปฏิกิริยาจนกลายเป็นสารพิษได้
Tumblr media
เคล็ดลับการชงชา 
- อุ่นกาใส่ชาให้ร้อนก่อนเสมอ : ขั้นตอนแรกของการที่จะทำให้สามารถดึงรสชาติของชาได้มากที่สุดก็คือ การใส่น้ำร้อนลงไป แล้ววนรอบในกา แล้วเททิ้ง เพื่อเป็นการวอร์มทำให้การ้อนก่อน สาเหตุก็เพราะใบชาต้องการความร้อน
-  ปริมาณต้องพอเหมาะ อุณหภูมิน้ำเดือดต้องพอดี : เมื่อพูดถึงวิธีการชงชาว่า นักชงชามักแนะนำว่าให้ใช้ชา 1 ช้อนสำหรับคนหนึ่งคน แล้วบวกเข้าไปอีก 1 เสมอ เมื่อชงแล้วหากว่ามีรสเข้มเกินไป คราวต่อไปก็ให้ลดจำนวนชาลง ทั้งนี้ความเข้มของชาจะขึ้นอยู่กับจำนวนชาและจำนวนน้ำเป็นหลัก สำหรับชาดำนั้นควรใช้อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส นั่นก็คือ อุณหภูมิน้ำเดือด เมื่อน้ำเดือดแล้วก็ให้ใส่น้ำร้อนเข้าไปในชาได้เลย และไม่ควรทิ้งน้ำให้เดือดนาน ๆ เพราะออกซิเจนในน้ำจะหายไป ทำให้รสชาติน้ำเปลี่ยน แต่ถ้าเป็นชาขาว ชาเขียว และชาอู่หลง ให้ใช้อุณหภูมิต่ำกว่าเล็กน้อย เมื่อน้ำเดือดแล้ว เราอาจจะต้องปิดไฟแล้วรอสัก 2-3 นาที เพื่อให้อุณหภูมิลดลงเล็กน้อย เพราะชากลุ่มนี้เป็นชาที่ละเอียดอ่อนกว่า ถ้าใช้อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียสจะทำให้ชากลุ่มนี้ขมเกินไป - ชาแบบซองไม่ต้องแกว่ง แต่ให้ใช้เวลา : หลายคนนิยมนำชาที่เป็นซองมาชงดื่ม สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ หลายคนไม่ทราบว่าต้องทิ้งระยะไว้นานเท่าไหร่ หลาย ๆ คนคิดว่าเมื่อเทน้ำร้อนลงไป หลังจากผ่านไป 30 วินาที แล้วก็กระตุกถุงชา จะทำให้น้ำเริ่มเปลี่ยนสี แต่ความจริงแล้วมันเป็นวิธีที่ผิด สิ่งที่คุณเห็นในแก้วชา มันก็เป็นแค่น้ำที่มีสีเหมือนชาเท่านั้น แต่รสชาติยังไม่ใช่ชา เพราะแท้จริงแล้วการชงชาจะต้องใช้เวลาประมาณ 3 นาที ถึงจะดึงรสชาติและคุณภาพจริง ๆ ออกมาได้ ข้อสำคัญอีกอย่างก็คือ ไม่ควรกระตุกซองชา แต่ควรปล่อยไว้นิ่ง ๆ อย่างนั้นแล้วรอจนกว่าจะครบ 3 นาที แล้วจึงค่อยนำถุงชาออกมา - คุณภาพของชา : เพื่อรักษาคุณภาพของชา ควรเก็บใบชาไว้ในภาชนะที่มีผาปิดสนิท และไม่วางรวมกับของที่มีกลิ่นแรง เพราะชามีสรรพคุณในการดูดซับกลิ่น - น้ำที่ใช้ชงชา : ไม่ใช้น้ำที่ผ่านการต้มมาแล้วหลายครั้งมาใช้ชงชา เพราะน้ำที่ต้มจะมีปริมาณออกซิเจนน้อย ทำให้น้ำมีรสชาติชืด นำมาชงชาไม่อร่อย
- กาที่ใช้ชงชา : ควรล้างให้สะอาดอยู่เสมอ เพราะหากกาชามีคราบฝังอยู่เนื่องจากล้างกาไม่สะอาด จะทำให้น้ำชาที่ได้มีรสชาติขมเกินไป ส่วนวิธีการล้างกาชงชาให้สะอาดก็ทำได้ไม่ยาก นั่นก็คือ ให้ใช้เบคกิ้งโซดา 2 ช้อนชา เทลงไปในกาที่มีน้ำเดือดอยู่ จากนั้นแช่ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วล้างออกเบา ๆ อีกครั้ง จะทำให้คราบหลุดออกมาอย่างง่ายดาย
- การเสิร์ฟชา : ก่อนเสิร์ฟชา ควรหมุนวนกาน้ำชาสักสามรอบก่อนนำมาเสิร์ฟ ที่สำคัญหลังชงชาเสร็จควรเสิร์ฟในทันที เพราะถ้าหากปล่อยไว้นานเกิน 10 นาที จะทำให้รสชาติของชาเปลี่ยนไป - การดื่มชา : การดื่มชาเข้มข้นก่อนอาหารหรือหลังอาหารทันที จะทำให้กระเพาะลำไส้ดูดซึมอาหารได้น้อยลง ซึ่งเวลาที่เหมาะสมสำหรับการดื่มชาก็คือหลังอาหารประมาณ 2-3 ชั่วโมง และไม่ควรดื่มชาที่ชงทิ้งไว้นานหลายชั่วโมง เพราะน้ำชาอาจบูด และทำให้สารต่าง ๆ ทำปฏิกิริยากัน ทำให้ชาเสื่อมคุณภาพ
 #ชา #สรรพคุณของชา #ประโยชน์ของชา #ใบชา #Tea #ข้อดีของการดื่มชา #ChineseTea #ThaiTea #BenefitsOfTea #Matcha #WhiteTea #GreenTea #OolongTea #BlackTea #Pu-erhTea #วันชาสากล #InternationalTeaDay 
ขอขอบคุณที่มา     ::     เว็บไซต์เมดไทย (Medthai)
 ,   https://medthai.com/%e0%b8%8a%e0%b8%b2/ | Medthai   ,   
1 note · View note
prapasara · 2 days
Text
Tumblr media
ประโยชน์ของชาแต่ละชนิด
ประโยชน์ของชาแต่ละชนิด
▶ ชาขาว ◀
ชาขาว คือ ใบชาที่ได้มาจากการเก็บเฉพาะส่วนยอดอ่อนใบชาส่วนเดียวเท่านั้น ในขณะที่ชาเขียว คือ ใบชาที่ได้จากการเก็บยอดอ่อน ใบอ่อนใบแรกที่ติดกับยอด หรือใบอ่อนใบที่สองถัดลงมา
และชาขาวจะไม่ผ่านกรรมวิธีการหมักเช่นเดียวกับชาเขียวหรือชาดำ จึงทำให้คุณค่าทางโภชนาการและศักยภาพในการต้านอนุมูลอิสระสูงสุด เมื่อเปรียบเทียบกับชาชนิดอื่น ๆ
ประโยชน์ของชาขาว 
• มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าชาเขียวถึง 3 เท่า
• มีวิตามินซี
• มีวิตามินอี
• กรดอะมิโน แร่ธาตุต่างๆ เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
• ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์
• ลดความเสี่ยงการเกิดโรคไขข้อ
• ชะลอความแก่ ลดรอยเหี่ยวบนใบหน้า
• ดื่มชาขาวร่างกายรู้สึกสดชื่น ช่วยผ่อนคลาย ลดความเครียด
• ชาขาว ช่วยป้องกัน และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม เนื่องจากมีสารคาเทซิน สารโพลีฟินอล สารพลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูนอิสระ
• ทั้งยังบำรุงหลอดเลือด และหัวใจ ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
• ป้องกันโรคเบาหวาน
• ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล กำจัดไขมันในเส้นเลือด แถมยังช่วยลดน้ำหนักอีกด้วย
ระยะเวลาในการชงชาขาวก็จะใช้เวลามากกว่าการชงชาทั่วไป เพราะต้องทิ้งไว้ประมาณ 5-7 นาที จึงสามารถนำมารินดื่มได้
▶ ชาดำ ◀
ชาดำ (Black tea) คือ ชาที่ผ่านการแปรรูป ซึ่งได้มาจากการเก็บใบชาอ่อน (ใบชาสายพันธุ์ Camellia sinensis) นำมาทำให้แห้งเพื่อลดปริมาณของน้ำลงบางส่วน แล้วนำใบชากึ่งแห้งนั้นไปคลึงหรือบดด้วยลูกกลิ้ง เพื่อให้ใบชาช้ำ ซึ่งเซลล์ในใบชาจะแตกช้ำโดยใบไม่ขาด และเอนไซม์ในเซลล์จะย่อยสลายสารเกิดเป็นกระบวนการหมัก
ทำให้เกิดกลิ่นและรสจนใบชาเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีทองแดง เมื่อทิ้งไว้ระยะหนึ่งก่อนใช้ความร้อนเป่าไปที่ใบชา (หรืออาจนำใบชาไปอังไฟ หรือรมด้วยไอน้ำ) เอนไซม์จะหมดฤทธิ์ ใบชาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ เมื่อนำไปตากหรืออบให้แห้ง จากนั้นก็บดหรือหั่นตามแต่ชนิดของชา ซึ่งชาที่ได้มานี้จะเรียกว่า “ชาดํา“
ประโยชน์ของชาดำ
• ช่วยบำรุงหัวใจ
• ช่วยบำรุงกระเพาะ
• ช่วยในการย่อยอาหาร บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย
• ช่วยบำรุงโลหิตสำหรับสตรีที่มีประจำเดือน
• ในใบชามีสารฟลูออไรด์ที่ช่วยยับยั้งแบคทีเรียในช่องปาก จึงช่วยป้องกันฟันผุ และช่วยลดอาการสึกหรอของฟันได้เป็นอย่างดี
• ชาดำนั้นอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับ ชาเขียว ชาขาว ชาวอู่หลง จึงช่วยในการล้างสารพิษในร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่าง ๆ และช่วยในการชะลอวัย
• ช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แก้อาการง่วงนอน เพราะในชาดำจะมีสารกาเฟอีนที่ทำให้รู้สึกสดชื่น ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและช่วยกระตุ้นระบบกล้ามเนื้อหัวใจ
• ชาดำมีส่วนในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ได้เป็นอย่างดี ช่วยเพิ่มกระบวนการเผาผลาญ ช่วยละลายไขมัน ทำให้ไขมันแตกตัว
และช่วยในการลดน้ำหนัก (ควรเป็นชาร้อน เพราะจะช่วยลดไขมัน ถ้าเป็นชาเย็นจะทำให้ไขมันเกิดการจับตัว)
▶ ชาเขียว ◀
ประโยชน์ของชาเขียว
• เพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมัน และลดคอเลสเตอรอล
ชาเขียวมีส่วนช่วยในการเพิ่มอัตราการเผาผลาญแคลอรี  4 % รวมทั้งสารสกัดจากชาเขียวสามารถเพิ่มการออกซิเดชั่นของไขมันได้ 17% เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก
• ป้องกันโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ชาเขียวมีส่วนช่วยในการเพิ่มความไวของอินซูลิน (Insulin) และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
• ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง สำหรับผู้ที่ดื่มชาเขียวทุกๆวัน หรือมีพฤติกรรมการจิบชาเขียวในแต่ละมื้ออาหารเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้
• เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสมอง ชาเขียวจะมีคาเฟอีน ที่ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของสมอง
และมีกรดอะมิโนแอล-ธีอะนีน (Amino acid L-theanine) ที่ช่วยเพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาทกาบา (GABA)ที่รักษาความสมดุลของระบบสื่อประสาท ทำให้สมองผ่อนคลาย ลดความเครียด นอนหลับสนิท
• ป้องกันโรคสมองเสื่อม ชาเขียวจะมีสารประกอบของคาเทชิน มีส่วนช่วยในการป้องกันเซลล์ประสาท ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะสมองเสื่อมได้
• ป้องกันโรคมะเร็ง ชาเขียวจะมีสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) มีส่วนในการลดความเจริญเติบโตของเนื้องอก เช่น มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง มะเร็งรังไข่ มะเร็งต่อมลูกหมาก รวมทั้งมะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก
• มีส่วนช่วยในการบำรุงหัวใจ และช่วยลดคอเลสเตอรอล(Cholesterol)ในเลือด
การดื่มชาเขียวอย่างเหมาะสม
• การดื่มชาเขียวควรดื่มไม่เกิน  4 – 5 ถ้วยต่อวัน เพราะถ้าหากมากกว่านั้น อาจทำให้ได้รับคาเฟอีน เกิน 200 มิลลิกรัม และส่งผลกระทบต่อร่างกายได้
• ควรดื่มชาเขียวระหว่างรับประทานอาหาร และหลังการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ จะทำให้จะทำให้อิ่มง่าย ไม่หิวบ่อย ช่วยลดการกินอาหารจุบจิบได้ สามารถลดน้ำหนักได้ผลเช่นกัน
• ควรเลือกช��เขียวที่ชงจากถุง หรือชาเขียวที่เป็นใบชาสำหรับชงดื่มเท่านั้น หากเลือกบริโภคแบบขวดตามร้านสะดวกซื้อ จะมีปริมาณน้ำตาลที่สูง ไม่ควรดื่มบ่อยๆ
ชาเขียวที่มีคุณภาพจะได้จากใบชาคู่ที่หนึ่งและใบชาคู่ที่สองที่เก็บจากยอด สำหรับสี กลิ่น และรสชาติของชานั้นจะขึ้นอยู่กับปริมาณของสารคาเทชินที่มีอยู่ในชา ลักษณะของสีน้ำชา ถ้าชงชาจากใบชาจะให้น้ำชาออกสีเหลืองอ่อนไปจนถึงสีเขียวอ่อน
▶ ชาดอกไม้-ชาผลไม้ ◀
ชาดอกไม้-ชาผลไม้เป็นชาที่ทำจากดอกไม้-ผลไม้แห้งและเป็นชาที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ของสาวๆ
ตอบโจทย์คนที่ไม่ชอบคาเฟอีนหรืออยากบริโภคคาเฟอีนในปริมาณที่น้อยลง เพราะชาชนิดนี้แทบจะไม่มีคาเฟอีนเลย ยกเว้นเสียจากชาจากแบรนด์นั้นได้ใช้ชาดำหรือชาเขียวมาผสมกับผลไม้เพื่อให้รสชาติอร่อยมากยิ่งขึ้น
โดยผลไม้ที่นิยมนำมาทำชาคือแอปเปิล, ส้ม, มะนาว, สตรอว์เบอร์รี, บลูเบอร์รี, ราสเบอร์รี, ลูกพีช, เสาวรส ฯลฯ ชาผลไม้มีรสชาติอร่อยและให้ความสดชื่นแก่ผู้ที่ทานได้เป็นอย่างดี แต่นอกจากความสดชื่นแล้วชาดอกไม้-ผลไม้ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย
ที่นิยมดื่มกันมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นกับ
❀ ชากุหลาบ ❀
ชากุหลาบนอกจากจะมีสีสันสวยงามและกลิ่นหอมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดแล้ว
ยังมีสรรพคุณมากมายที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วยค่ะ เช่น
• มีสารต้านอนุมูลอิสระ
• บำรุงระบบหัวใจให้แข็งแรง
• บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
• แก้อาการปวดประจำเดือนของผู้หญิง
• ช่วยให้ร่างกายสดชื่น มีความกระปรี้กระเปร่า
• แก้อาการอ่อนเพลีย
• บำรุงเลือด ตับ และม้าม
✽ ชาดอกคาโมมายล์ ✽
ชาดอกคาโมมายล์เป็นชาดอกไม้ที่มีฤทธิ์ของสารในกลุ่มเทอร์ปีน ฟลาโวนอยด์
สรรพคุณของชาคาโมมายล์
• ช่วยให้หลับลึกและหลับสบายมากขึ้น
• ทำให้รู้สึกผ่อนคลายความเครียดหรือความวิตกกังวล
• ลดอาการปวดหัว
• ต้านโรคมะเร็งและโรคหัวใจ
• ลดอาการท้องอืดหรือการเกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร
#ชา #สรรพคุณของชา #ประโยชน์ของชา #ใบชา #Tea #ข้อดีของการดื่มชา #ChineseTea #ThaiTea #BenefitsOfTea #Matcha #WhiteTea #GreenTea #OolongTea #BlackTea #Pu-erhTea #วันชาสากล #InternationalTeaDay
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
https://bestreview.asia/best-fruit-tea/
1 note · View note
prapasara · 2 days
Text
Tumblr media
14 คุณประโยชน์ของชาอู่หลง
14 คุณประโยชน์ของชาอู่หลง
1. ประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือด เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าการดื่มชาอู่หลงจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ด้วยเหตุนี้จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจไปด้วย การวิจัยพิสูจน์ได้ว่าผู้ที่ดื่มชาอู่หลง 1-6 ถ้วยในหนึ่งสัปดาห์ จะมีความเสี่ยงต่ำต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 2. ต้านอนุมูลอิสระ ชะรอความชรา ไขมันผิวหนัง (Skin lipids) มีความจำเป็นสำหรับการที่เราจะมีผิวพรรณที่ดูดีมีชีวิตชีวา อนุมูลอิสระจะเป็นตัวเร่งกระบวนการของการเกิดริ้วรอยโดยการแปลงไขมันผิว (Skin Lipids) เป็นไขมันเปอร์ออกไซด์ (Lipid Peroxide) ซึ่งส่งผลให้เกิดจุดด่างดำและสีเข้มของผิวหนัง สารโพลีฟีนอลที่พบในใบชาอู่หลงจะช่วยขจัดอนุมูลอิสระออกจากร่างกายของเรา การดื่มชาอู่หลงจึงช่วยชะลอความชราได้ 3 ช่วยเรื่องการลดน้ำหนักและควบคุมโรคอ้วน สารโพลีฟีนอลในชาอู่หลงจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขม���นในร่างกาย การดื่มชาอู่หลงทุกวันจึงช่วยในการลดน้ำหนักและลดความอ้วนไปในตัว โดยการเร่งกระบวนการ Lipolysis ที่จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น ดังนั้นการดื่มชาอู่หลงจึงเป็นทางเลือกที่ดีและแน่นอนที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก 4. ป้องกันฟันผุ สารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าโพลีฟีนอลที่มีอยู่ในชาอู่หลงจะช่วยเสริมสุขภาพช่องปากและฟัน โดยการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของฟันผุและโรคมะเร็งในช่องปาก การดื่มชาอู่หลงช่วยป้องกันการสะสมของคราบจุลินทรีย์ ช่วยต่อสู้และสกัดกั้นการเกิดฟันผุ 5. มีคุณสมบัติต้านมะเร็ง นักดื่มชาโดยทั่วไปจะมีความเสี่ยงต่ำต่อการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง ด้วยความเข้มข้นของสาร Polymeric Polyphenols  เช่น Thearubigin และ Theaflavin ที่มีอยู่สูงในชาอู่หลงเมื่อเทียบกับชาพันธุ์อื่น ๆ สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วยต้านสารก่อมะเร็งและช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง โพลีฟีนอลช่วยส่งเสริมการตาย (Apoptosis) และการเจริญเติบโตของเซลมะเร็งในกระเพาะอาหารและทำหน้าที่เสมือนคีโมป้องกันการพัฒนาเซลมะเร็งต่างๆ โดยเฉพาะมะเร็งรังไข่ในสตรี 6 ส่งเสริมสุขภาพกระดูกให้แข็งแรง สารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในชาอู่หลงนอกจากช่วยป้องกันฟันผุแล้วยังเสริมสร้างโครงสร้างกระดูก การดื่มชาอู่หลงจึงเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากในการช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนในร่างกายมนุษย์ 7. รักษาโรคเบาหวาน ชาอู่หลงมีความเข้มข้นสูงของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าโพลีฟีนอล นอกเหนือไปจากวิตามินและแร่ธาตุในชาอู่หลง เช่น วิตามิน แคลเซียม โพแทสเซียม, ซีลีเนียม ฟลูออรีน แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส สารอาหารเหล่านี้ช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย ช่วยกระบวนการย่อยอาหารและลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน ชาอู่หลง จึงได้รับพิจารณาให้เป็นพืชสมุนไพรในการรักษาโรคเบาหวาน (Type 1 Diabetes) อีกด้วย 8. ช่วยขจัดความเครียด สารโพลีฟีนอลที่มีในชาอู่หลงเปรียบดังมือปราบความเครียดและกำจัดอารมณ์แปรปรวน การดื่มชาอู่หลงในระหว่างวันจึงช่วยทำให้ร่ายกายปรับสมดุล ผ่อนคลาย ลดความเครียดให้หายไปได้ 9. ต้านการติดเชื้อแบคทีเรีย สารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในชาอู่หลงช่วยต้านการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อบางชนิดได้ 10. รักษาโรคผิวหนังอักเสบ โรคผิวหนังอักเสบ (Atopic Dermatitis) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังซึ่งจะมีอาการคัน, บวม, แดง ทำให้เกิดแผลเป็นและการติดเชื้อเนื่องจากการเกาแผลบ่อยๆ มีการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยที่รับการรักษาอาการผิวหนังอักเสบที่ได้ดื่มชาอู่หลงอย่างน้อยวันละ 3 ถ้วย ควบคู่กับการรักษาจะมีอาการดีขึ้นกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้ดื่มชาอู่หลง 11. การต้านริ้วรอย (Anti–aging) สารอนุมูลอิสระที่เกิดจากการที่ผิวหนังที่ต้องเผชิญกับแสงแดดและมลภาวะมากๆ จะเร่งกระบวนการเกิดริ้วรอย และเกิดการผลัดเซลล์ผิวลดลง ส่งผลให้เกิดริ้วรอยและจุดด่างดำก่อนวัยอันควร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในชาอู่หลงจะช่วยลดปฎิกริยาออกซิเดชั่นของ ซึ่งส่งผลช่วยให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์สุขภาพดี 12. ช่วยให้ผิวพรรณดูมีน้ำมีนวล ปกติของการดื่มชาอู่หลงจะช่วยในเรื่องของการลดริ้วรอยและเพิ่มความยืดหยุ่นของเซลส์ผิวหนัง ซึ่งส่งผลให้เราแลดูอ่อนเยาว์มากขึ้น สารโพลีฟีนอลที่มีอยู่ในชาสามารถช่วยปกป้องการทำลายผิวหนังที่เกิดจากการสัมผัสแสงแดดและมลพิษโดยตรง 13. ป้องกันปัญหาผมร่วง สารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในชาอู่หลงช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศชายและDHT ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าความผิดปกติของทั้งสองสิ่งนี้เป็นสาเหตุของการเกิดผมร่วง Tea rinse ที่ทำจากชาอู่หลงจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยป้องกันการเกิดผมร่วงได้ 14. ช่วยให้สุขภาพผมดี สลวย สวย เงางาม Tea rinse ที่ทำจากชาอู่หลง จะอ่อนโยนและเป็นธรรมชาติ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้นุ่มสลวยแต่ก็ยังช่วยให้ผมมีความเงางามอีกด้วย
#ชา #สรรพคุณของชา #ประโยชน์ของชา #ใบชา #Tea #ข้อดีของการดื่มชา #ChineseTea #ThaiTea #BenefitsOfTea #Matcha #WhiteTea #GreenTea #OolongTea #BlackTea #Pu-erhTea #วันชาสากล #InternationalTeaDay
ที่มา  ::  http://www.stylecraze.com/articles/best-benefits-of-oolong-tea-for-skin-hair-and-health/?ref=pin
0 notes
prapasara · 2 days
Text
Tumblr media
ข้อดีของการดื่มชาเพื่อสุขภาพ
  ข้อดีของการดื่มชาเพื่อสุขภาพ!!!
ไม่น่าเชื่อว่าประวัติการดื่มน้ำชามีมานานกว่า 4,700 ปี นอกเหนือจากการเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยดับกระหาย แก้ง่วง ยังพบว่าสามารถแก้สารพัดโรคได้อีก ไม่ว่าจะเป็นการต้านอนุมูลอิสสระที่เกิดขึ้นภายในเซลของร่างกาย ยังช่วยต้านอาการอักเสบ ป้องกันตับจากสารพิษ ต้านเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ ฯลฯ
ซึ่งการที่เครื่องดื่มชาให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายก็ว่ามีองค์ประกอบของสารสำคัญในใบชาอย่างแทนนิน หรือ ทีโพลีฟีนอล ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่ามีฤทธิ์ต้านโรคภัยได้หากดื่มเป็นประจำ แต่สารสำคัญจากใบชามักจะสลายตัวได้อย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศและความร้อน
มาดูกันว่าวิธีการชงชาหรือเครื่องดื่มชาแบบไหนที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด และแบบไหนจะให้ประโยชน์น้อยที่สุด หรือส่งผลเสียต่อร่างกายได้
ผู้ที่นิยมดื่มน้ำชาร้อนๆ
สารสำคัญที่เป็นประโยชน์คือ Catechins (คาเทคชินส์)  จะถูกความร้อนของน้ำทำลายไปเกือบหมดทำให้เหลือแต่ความหอมและรสชาติ ถ้าต้องการให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ และยังนิยมดื่มชาร้อน ๆ ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้น ซึ่งจะทำให้มีปริมาณสารคาเทคชินส์ที่เข้มข้น แม้สารเหล่านี้จะสลายตัวไปบางส่วนเมื่อโดนความร้อนจากน้ำร้อนก็จริง แต่จะยังคงมีบางส่วนที่หลงเหลืออยู่และพอจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้บ้าง
ชาเขียวหรือสารสกัดจากใบชาสด
หากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ในความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสารสำคัญในใบชาไว้ได้ดี แต่หากผ่านกระบวน การผลิต ซึ่งเครื่องดื่มชาเขียวจะต้องผ่านขบวนการทำให้ร้อนในขบวนการฆ่าเชื้อจุลลินทรีย์ ก่อนบรรจุลงในขวด ปริมาณสารสำคัญในน้ำชาเขียวก็จะถูกทำลายหรือลดน้อยลงไปเช่นกัน
น้ำชาไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด
การดื่มน้ำชาไม่ว่าจะชาร้อนหรือชาที่แช่เย็น ไม่ควรแต่งรสด้วยนมไม่ว่าจะน้ำนมสด นมข้นหรือนมผง เพราะโปรตีนที่อยู่ในนมจะไปจับกับสารสำคัญในชา ส่งผลทำให้เกิดการทำลายประสิทธิภาพสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งวิธีการดื่มชาให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ ควรเลือกดื่มน้ำชาล้วนๆไม่ควรปรุงแต่ง เพราะผู้ที่ชื่นชอบชาเย็นใส่นมจะไม่ได้ประโยชน์ จากใบชาแน่นอน
17 ข้อควรรู้จากประโยชน์ของการดื่มชา
1. ในช่วงที่อากาศร้อนๆ การดื่มชาจะช่วยทำให้คุณรู้สึกสดชื่นขึ้น เพราะในใบชามีสารโพลีฟีนอล กรดอะมิโน และคาร์โบไฮเดรต เมื่อสารเหล่านี้ทำปฏิกิริยากับน้ำลายจะช่วยกระจายความร้อนส่วนเกินในร่างกายได้
2. ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีธาตุอาหารอยู่หลากหลายชนิด ช่วยบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพดี และช่วยกระตุ้นระบบประสาทและร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในใบชามีสารคาเฟอีนที่ช่วยกระตุ้นระบบประสาท ทำให้ช่วยหมุนเวียนโลหิต
3. ชามีอิทธิพลต่อกระบวนการเมตาบอลิซึมของเซลล์ภายในร่างกาย ซึ่งมีการใช้ชาผสมกับยาแก้ปวด เพื่อช่วยเพิ่มฤทธิ์ในการรักษาโรคไมเกรน และทำให้ยาออกฤทธิ์ได้นานยิ่งขึ้น
4. ดื่มชาเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงและสดชื่น ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย ที่สำคัญคือช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชราและมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณ
5. ดื่มชาบ่อยๆ มีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ และช่วยสลายไขมัน ลดระดับคอเลสเตอรอล โดยไปเพิ่มการขับคอเลสเตอรอลในร่างกายผ่านทางน้ำดีในอุจจาระ
6. ชาจีน สามารถควบคุมการเกิดโรคอ้วนได้ เพราะมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค ต้านจุลชีพ ช่วยลดการอักเสบ สมานแผล ช่วยขับและล้างสารพิษในร่างกาย ซึ่งในใบชามีสารโฟลีฟีนอลที่สามารถช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ได้
7. คนญี่ปุ่นเชื่อว่าการดื่มชาจะสามารถ ช่วยลดการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร เพราะใบชามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและช่วยเสริมสุขภาพ
8. ชามีประโยชน์ต่อระบบหัวใจ และช่วยในการไหลเวียนของโลหิต ซึ่งจะช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตับ การดื่มชายังช่วยรักษาอาการเจ็บหน้าอก และกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
9. การดื่มชาแก่ๆ สักถ้วย จะเป็นการช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และยังช่วยในการย่อยอาหารจำพวกวิตามินกลุ่มต่าง ๆ
10. ชามีสารไอโอดีน และฟลูออไรด์ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยป้องกันภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป มีฟลูออไรด์ในจำนวนที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายโดยจะช่วยป้องกันฟันผุและเสริมมวลกระดูกได้
11. ใบชาทุกประเภทมีส่วนประกอบของโปรตีนและวิตามิน วิตามินซี วิตามินบี สารแทนนิน กาเฟอีน โพแทสเซียม กรดแอมโมเนีย สารคาเทชิน โพลีฟีนอล แร่ธาตุอีกหลายชนิดที่ทำให้ร่างกายมีความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ลดความเครียด ความดันโลหิต และป้องกันหลอดเลือดตีบตัน
12. การดื่มชาจะช่วยทำให้การไหลเวียนของโรคดีขึ้น ช่วยละลายไขมัน ป้องกันการสะสมไขมันส่วนเกินในร่างกาย ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และช่วยชะลอความแก่ ฯลฯ
13. สรรพคุณในทางยาของ ชาเขียว สมัยก่อน ใช้บำบัดรักษาอาการต่างๆ ไม่ว่าจะอาการปวดหัวไปจนถึงโรคซึมเศร้า
14. สารประกอบในชาเขียวช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และยังพบอีกว่าการดื่มชาเขียวเป็นประจำช่วยลดระดับคอเลสเทอรอลในเลือดลงได้
15. ดื่มชาเขียวจะช่วยลดน้ำหนักได้ ซึ่งคาเทชินในชาเขียวจะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น ทำให้ น้ำหนักตัวลดลง โดยไม่มีผลกระทบต่ออัตราการเต้นของหัวใจ
16. คุณค่าที่มีอยู่ในใบชาชาว คือโปรตีน วิตามินซี วิตามินบี โพแทสเซียม และโดยเฉพาะโพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระหรือแอนตี้ออกซิแดนท์ที่แข็งแรงที่สุด ชาขาวจึงมีสารต้านอน���มูลมากกว่าชาเขียวถึง 3 เท่า หรือเทียบเท่ากับน้ำส้มคั้น 12 แก้ว และมีปริมาณคาเฟอีนน้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับชาชนิดอื่นๆ
17. ถ้าต้องการดื่มเพื่อสรรพคุณทางยาควรดื่มชาวันละ 10 ถ้วยขึ้นไปจึงมีผลต่อการรักษาโรคต่างๆได้ ซึ่งการดื่มชาหนึ่งถ้วยก่อนอาหารประมาณยี่สิบนาที จะช่วยทำให้รู้สึกอิ่ม ความอยากอาหารลดลง”
ได้ทราบประโยชน์ของชาหลากสไตล์กันไปแล้ว คราวนี้มาเลือกกันได้แล้วล่ะว่า…คุณจะดื่มชาประเภทไหนที่จะให้ประโยชน์กับร่างกายที่สุด
 
#ชา #สรรพคุณของชา #ประโยชน์ของชา #ใบชา #Tea #ข้อดีของการดื่มชา #ChineseTea #ThaiTea #BenefitsOfTea #Matcha #WhiteTea #GreenTea #OolongTea #BlackTea #Pu-erhTea #วันชาสากล #InternationalTeaDay
ที่มาของข้อมูล  ::  https://www.ochasama.com/   ,    https://skm.ssru.ac.th/news/view/a302
0 notes
prapasara · 2 days
Text
Tumblr media
5 ประโยชน์ของชาที่ใครหลาย ๆ คนยังไม่รู้!
5 ประโยชน์ของชาที่ใครหลาย ๆ คนยังไม่รู้!
ถ้าให้จัดท็อป 3 อันดับเมนูเครื่องดื่มที่นิยมทั่วทั้งโลก เชื่อเลยว่ายังไงผลโหวตแบบเอกฉันท์ก็ต้องมี ‘ชา’ อยู่ในนั้นอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะชานม / ชาเขียว / ชาน้ำผึ้ง และไม่ว่าจะชงด้วยอุณหภูมิร้อนหรือเสิร์ฟมาแบบเย็นก็ตาม ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีทุกรูปแบบที่ตอบโจทย์กับทุกความชอบของผู้คน แต่เพื่อน ๆ รู้กันหรือเปล่าว่าเมื่อพูดถึงประวัติศาสตร์ของชานั้น เราต้องย้อนกันกลับไปไกลก่อนคริสตกาลกันเลย และความอร่อยของเจ้าชาก็มีความสำคัญทั้งในเชิงของการเมือง สังคม และผู้คนเอามาก ๆ มาตั้งแต่แรก
จุดเริ่มต้นของชาใบแรก
เชื่อกันว่าจุดกำเนิดของชาเกิดขึ้นในช่วงประมาณ ปี 2737-2750 ก่อนคริสตกาล
มันเป็นบ่ายธรรมดาวันหนึ่งที่ Shen Nong (หรือ Shen Nung ในบางแหล่งข้อมูล) จักพรรพัดของประเทศจีนในช่วงเวลานั้น ตัดสินใจใช้ยามว่างพักผ่อนหย่อนใจอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ พลางต้มน้ำร้อนดื่มเพื่อขับไล่ความหนาวไปพลาง แต่แล้วจู่ ๆ ลมก็พัดเข้าใส่อย่างรุนแรง จนใบไม้ได้จากต้นเกิดปลิดปลิวร่วงเข้าไปในหม้อต้มน้ำของเขา ต้นไม้ต้นนั้นคือ ‘ต้นชา’ และนั่นคือน้ำชาแก้วแรกของโลก เมื่อพบว่ารสชาติอันแปลกใหม่นี้อร่อยมาก Shen Nong ก็ทดสอบหลายอย่างจนพบว่าใบชามีคุณสมบัติรักษาโรคด้วยอีกต่างหาก
จากวันนั้น ต้องใช้เวลากว่า 3,000 ปี ชาถึงเป็นที่รู้จักและเป็นของดีประจำชาติประเทศจีนในช่วงสมัยของราชวงถัง (ค.ศ. 618-907) แต่ว่าชาถูกส่งออกไปจากแผ่นดินใหญ่ตอนไหนกัน ?
ข้ามเวลามาในปี 1610 ชาวดัตช์เป็นชาวต่างชาติกลุ่มแรกที่ดื่มชาและพาชาเข้าสู่ทวีปยุโรป โดยเรือของบริษัทชื่อ Dutch East India Company ก่อนที่ชาจะเข้าสู่ช่วงสำคัญของประวัติศาสตร์ในปี 1650 มุ่งหน้าสู่หมู่เกาะที่ชื่อว่า ‘อังกฤษ’ และกระจายเข้าวัฒนธรรม Tea Time
ในปี 1657 ชายชื่อ Thomas Garway ชาวบริติชคนแรกผู้เปิดร้านชาอย่างเป็นจริงเป็นจัง และทำให้การดื่มชากลายเป็นที่นิยมมาก ๆ ขึ้นมาหลังจากที่อังกฤษนิยมดื่มกาแฟมาอย่างยาวนาน ไม่เท่านั้น ความไวรัลในวัฒนธรรมยิ่งกระจายออกไปเป็นวงกว้างมากขึ้น เมื่อเจ้าหญิงกาตารีนาแห่งบรากังซา (Catherine of Braganza) แห่งราชวงศ์โปรตุเกศ คู่อภิเษกสมรสของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เป็นคนนำเสนอไอเดีย Tea Time ต่อศาลอังกฤษ จนทำให้ช่วงศตวรรษที่ 19 ชากลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตคนอังกฤษยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้
จากชาใบแรกในหม้อของ Shen Nong เจ้าใบสีเขียวเดินทางไปไกลทั่วทุกมุมโลก มีชาที่ถูกปลูกขึ้นในไต้หวัน (Formosa Tea) / ชาจากรัฐอัสสัม (Assam) ของอินเดียที่นำเข้าอังกฤษในปี 1839 และแน่นอนกับชาเขียวมัทฉะที่โด่งดังที่สุดในโลก ที่เกิดจากพระภิกษุชาวญี่ปุ่น Myōan Eisai นำเมล็ดชาชุดแรกจากจีนกลับสู่เกียวโต
นี่คือส่วนหนึ่งของการเดินทางครั้งสำคัญของชา ที่ทำให้กลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่สุดชนิดหนึ่งของโลก และเพื่อให้เห็นความสุนทรียะของชาที่มากขึ้น เราจะมาทำความรู้จักชาให้มากขึ้น โดยเริ่มจากประเภทของชากันก่อนเลย
ชนิดของชาที่ต้องรู้จัก
ชาทุกชนิดเกิดจากสิ่งเดียวกันคือ ‘ต้นชา’ ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Camellia Sinensis เป็นต้นไม้ซึ่งเติบโตได้ดีท่ามกลางสภาพอากาศที่มีแดดออกตลอดวัน กลางคืนอันเย็นสบาย และฝนตกชุมฉ่ำ แต่ว่าชนิดของชานั้นเกิดขึ้นจากการเลือกส่วนของใบชา ผ่านกรรมวิธีการหมัก เพื่อให้เกิดการทำปฎิกิริยาที่เรียกว่า ออกซิเดชั่น (oxidation) หรือ ออกซิได (oxidized)
ชาดำ (Black Tea)
ชาดำ เป็นชาที่พบได้ทั่วไปมากที่สุดบนโลก โดยคิดเป็นสัดส่วน 85% ของการบริโภคชาทั้งหมดในตะวันตก ชาดำคือชาที่ถูกนำไปคั่วและผ่านกระบวนการ oxidized แบบสมบูรณ์ จะสังเกตได้ว่ามีสีที่เข้มน้ำตาลออกแดง รสชาติสุดเข้มขม กลิ่นหอมชัดเจน พร้อมปริมาณคาเฟอีนที่สูงกว่า และแทนนิน (ความฝาดที่พบได้ในไวน์) ที่มากกว่าชาชนิดอื่น
ชาเขียว (Green Tea)
ชาเขียว คือ ชาที่ไม่ผ่านกระบวนการออกซิได (unoxidized) หลังจากที่เก็บเกี่ยวใบชาแล้ว จะถูกนำไปผ่านความร้อนทันที เพื่อทำลายเอนไซม์ (enzymes) ซึ่งจะก่อให้เกิดกระบวนการ ‘unoxidized’ ซึ่งชาเขียวจะได้คุณประโยชน์ สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ดังนั้นเองเราถึงนิยมกินชาเขียวแท้ ๆ เพื่อประโยชน์ ถึงแม้จะนำไปใส่นมหรืออื่น ๆ ให้อร่อยไปอีกแบบได้ก็ตาม
ชาอู่หลง (Oolong Tea)
ชาอู่หลง เป็นชนิดของชาแบบกึ่งออกซิได (semi-oxidized) ตัวใบที่เก็บเกี่ยวแล้วจึงจะถูกพักไว้ก่อน 2-4 ชั่วโมงหลังเก็บเกี่ยว ก่อนที่จะนำไปผ่านความร้อนเพื่อหยุดกระบวนการออกซิได ซึ่งปริมาณ oxidation เป็นสิ่งที่ส่งผลต่อรสชาติของใบชาชนิดนี้มาก ๆ การปล่อยให้เกิดกระบวนการออกซิไดซ์ที่ยาวนาน ก็แน่นอนว่าจะไปทางเข้มข้นแบบชาดำ แต่ว่าการปล่อยให้เกิดกระบวนการนี้แบบระยะสั้น ก็จะได้อะไรที่เป็นแบบชาเขียวมากกว่า แต่อู่หลงก็มีหน้าตาและรสชาติอันละเอียดอ่อนไม่เหมือนกับทั้ง 2 ชนิด
ชาขาว (White Tea)
ชาขาว คือ ชาที่ผ่านการแปรรูปน้อยที่สุด จะเก็บเกี่ยวในตอนที่เป็นดอกตูมและเป็นใบอ่อน เมื่อเก็บเกี่ยวมาแล้วจะต้องทำให้แห้งด้วยการผึ่งแดดก่อน จากนั้นผึ่งลงให้แห้งภายใน 48 ชั่วโมง จะได้ความสดของชาอยู่ สีเหลืองทองอร่ามของอู่หลงมาด้วยกลิ่นหอมอ่อน ๆ และความเข้มที่ไม่มากจนเกินไป
ชาสมุนไพร (Herbal Tea / Tisanes)
ชาสมุนไพร เป็นชาที่ประกอบหรือชงขึ้นจากสมุนไพร ดอกไม้หรือผลไม้หลากชนิด น้ำมันหอมระเหยในดอกไม้ช่วยเรื่องความผ่อนคลาย มีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งเป็นชาที่ไม่มีปริมาณคาเฟอีนเลย ชาสมุนไพรแบ่งออกเป็นหลายประเภท รวมถึงชาที่มีส่วนผสมเพียงชนิดเดียวอย่าง Peppermint และ Chamomile หรือชาที่ผสมหลากหลายอย่าง Lavender Lullaby กับ Atomic Gold
รวมเหล่าประโยชน์ของชา
แน่นอนว่าตั้งแต่สมัยแรกก่อนคริสตกาลที่ค้นพบว่า ชา นอกจากจะเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุนทรียะแล้ว ก็ยังใช้เป็นยารักษาโรคได้ด้วย มีทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ มีวีตามิน และอื่น ๆ ที่เราขอชวนไปรู้จักกันในบรรทัดต่อไป
1. ทำให้มีอายุยืนยาวขึ้น: งานวิจัยปี 2022 ที่ตีพิมพ์ใน Annals of Internal Medicine หนึ่งในวารสารการแพทย์ของอเมริกาที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดของโลก ผลจากการวิจัยกับการติดตามผลกว่าหนึ่งทศวรรษ และตัวอย่างการทดลองกว่าครึ่งล้านคนแสดงให้เห็นว่า ชาวอังกฤษที่ดื่มชาวันละ 2 แก้วขึ้นไป มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มชาถึง 13% โดยเฉพาะกับคนมที่ดื่มชาดำ
ซึ่งเชื่อว่าคงเป็นเพราะสรรพคุณของชาที่มีสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง Polyphenols กับ Catechin อันเป็นสารที่ช่วยลดโอกาสเกิดของมะเร็ง ช่วยยับยั้งไม่ให้เป็นโรคความดันโลหิต และอีกสารพัดประโยชน์
2. ช่วยลดความเครียด: เอาจริง ๆ ชามีความคล้ายกาแฟอยู่ 2 อย่างในส่วนที่สามารถช่วยผ่อนคลายจากความเครียดต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน
การต้มชามีกระบวนการที่ต้องรอคอยและไม่รีบร้อนเกินไปกว่าจะต้ม กว่าจะคนจนเข้าที่ และค่อย ๆ จิบเพื่อดื่มด่ำรสชาติกับกลิ่น เป็นการบำบัดความเครียดผ่านกระบวนการชงชา
ชามีกรดอะมิโน ‘แอล-ธีอะนีน (l-theanine)’ เป็นสารที่ช่วยในเรื่องของความผ่อนคลาย ทำให้ไม่วิตกกังวล แถมยังช่วยเรื่องการนอนไม่หลับอีกด้วย
3. ชาบำรุงกระดูก: งานวิจัยในปี 2002 ชื่อ ‘Epidemiological Evidence of Increased Bone Mineral Density in Habitual Tea Drinkers’ พบว่าเมื่อดื่มชาทุกวัน ๆ เป็นเวลากว่า 10 ปี ความหนาแน่นของกระดูกจะเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นผล โดยเฉพาะในชาเขียว และเชื่อว่าเป็นผลมาจากสารต้านอนุมูลอิสระ
4. ลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน: หลาย ๆ คนน่าจะเคยได้ยินที่คนบอก ๆ ต่อกันมาว่า ‘ดื่มชาช่วยลดน้ำหนักได้’ และความจริงก็คือชาไม่มีแคลอรี่ (calorie free) ถ้าไม่เติมนมหรือน้ำตาลเพิ่มเข้าไปนะ แถมบางงานวิจัยบอกว่าสารคาเฟอีนกับ คาเทชิน (Catechin) ในชาอาจจะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นด้วย ไม่เท่านั้น ว่ากันว่าสาร โพลีฟีนอล (Polyphenols) มีความสามารถในการยับยั้งเอนไซส์ เช่น แลคโตสและชะลอการดูดซึมกลูโคสก็มีส่วนช่วยในการยับยั้งการเกิดโรคเบาหวานเหมือนกัน
5. ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ: ที่ชามีส่วนช่วยให้หัวใจแข็งแรงนั้นเป็นเพราะสารหลากประโยชน์ที่เราพูดถึงบ่อยครั้งมากในหัวข้อนี้ อย่างโพลีฟีนอลและอีกอย่างคือสารคาเทชินที่พบได้มากเป็นพิเศษในชาเขียวซึ่งจะแสดงผลที่ดีต่อหลอดเลือดและหัวใจ
ตอนเช้าคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการดื่มชา
คนจะนิยมดื่มชาเขียวในตอนเช้าเพื่อช่วยในเรื่องการโฟกัสและสมาธิ เป็นเพราะว่าคาเฟอีนมีความสามารถช่วยให้เราตื่นตัวต้อนรับวันใหม่ ไม่เพียงเท่านั้น กรดอะมิโนแอล-ธีอะนีนอย่างที่เล่าไปว่าช่วยในเรื่องของการผ่อนคลาย จะเข้ามาช่วยเซ็ทการทำงานของสมองและอารมณ์ให้นิ่งสงบพร้อมเจอกับเอเนอร์จี้ของวันใหม่ที่เข้ามาได้อย่างเต็มที่
อย่าดื่มชาเป็นสิ่งแรกหลังจากตื่นนอน เพราะจะทำให้เราจะไม่ได้รับประโยชน์จากคาเฟอีนเลย สาเหตุมาจากทันทีที่เราตื่นร่างการจะผลิตฮอร์โมนที่เรียกว่า คอร์ติซอล (Cortisol) ออกมา เพื่อให้เราตอบสนองต่อสู้กับความเครียดของร่างกาย เช่นการอักเสบต่าง ๆ แล้วคาเฟอีนคือตัวร้ายที่ไปก่อกวนการผลิตฮอร์โมนตัวนี้ แนะนำว่าหลังตื่นให้รอสักประมาณ 60-90 นาที เพื่อให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลได้เต็มที่ก่อน จากนั้นค่อยดื่มชาแก้วแรกได้ตามสบายเลย
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสายสุขภาพทุกคนจึงเลือกการดื่มชาเข้าไปในตารางรูทีนประจำวัน สามารถพูดได้ว่าเป็นเครื่องดื่มที่ให้ทั้งฟังก์ชันของรสชาติที่อร่อย และสรรพคุณประโยชน์ต่อร่างกายในทุกรูปแบบเลยจริง ๆ
เป็นที่รู้กันว่าชาวดอยเองก็ปรุงทุกแก้วให้ทุกคนจากใบชาชั้นดีของเรา สำหรับใครที่กำลังมองหาชาอร่อยและดีอยู่ ขอแนะนำชาร้อน 2 แก้วที่ฮอตที่สุดของเราในตอนนี้ ‘ชาร้อนกลิ่นมะลิ (Hot Jasmine Tea)’ แก้วที่ความประทับใจแรกจะลอยขึ้นไปเตะจมูกคุณด้วยกลิ่นมะลิหอมอบอวบล พร้อมรสชาติที่เข้มข้นสุดลงตัว กับ ‘ชาร้อนกลิ่นสตรอเบอร์รี่ (Hot Strawberry Tea)’ ชาผลไม้เปรี้ยวหวานสุดลงตัว ตอบโจทย์คนรักสตรอว์เบอร์รี่ที่รับรองว่าเป็นชาเอกลักษณ์ของชาวดอยที่ไม่เคยดื่มที่ไหนมาก่อนแน่นอน
ที่มา   ::      https://chaodoi.co.th/benefits-of-tea/
0 notes
prapasara · 2 days
Text
Tumblr media
ดื่มชาอย่างไรดีต่อสุขภาพ (Tea)
ชาร้อน ชาเย็น ประโยชน์/โทษ ต่อสุขภาพ
Tumblr media
สำหรับผู้ที่นิยมดื่มน้ำชาร้อนๆ สารสำคัญที่เป็นประโยชน์คือ ‘คาเทคชินส์’ (Catechins) จะถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด คงเหลือแต่ความหอมและรสชาด ถ้าต้องการให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายแต่ยังนิยมชาร้อนๆ ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้น เช่นเดียวกับคนจีนแต้จิ๋ว ที่นิยมชงชาจีนรสเข้มข้นในถ้วยชาใบจิ๋วคล้ายกับการดื่มกาแฟเอ็กซ์เพรซโซ่ ความเข้มข้นของใบชาจะทำให้มีปริมาณสารคาเทคชินส์ที่เข้มข้น และแม้ว่าสารเหล่านี้จะสลายตัวไปบางส่วนเมื่อโดนความร้อนจากน้ำร้อน แต่จะยังคงมีบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ ที่พอจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้บ้าง
ชาเขียวหรือสารสกัดจากใบชาสด หากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่า��องสารสำคัญในใบชาไว้ได้ดี อย่างไร��็ตามหากขบวนการผลิตเครื่องดื่มชาเขียวที่ต้องผ่านขบวนการต้มหรือทำให้ร้อนในขบวนการฆ่าเชื้อจุลลินทรีย์ก่อนบรรจุลงในขวด ปริมาณสารสำคัญในน้ำชาก็จะถูกทำลายหรือลดน้อยลงไปเช่นกัน
การดื่มน้ำชาไม่ว่าจะชาร้อนหรือชาแช่เย็น ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด ไม่ว่าจะน้ำนมสด นมข้นหรือนมผง เพราะโปรตีนในนมจะไปจับกับสารสำคัญในชา และทำลายประสิทธิภาพสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย วิธีการดื่มชาเขียวให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ จึงควรดื่มน้ำชาล้วนๆไม่ควรปรุงแต่ง สำหรับผู้ที่ชื่นชอบชาเย็นใส่นม จะไม่ได้ประโยชน์จากใบชาเลย
ผู้ที่รับประทานวิตามินเสริม เช่น ธาตุเหล็ก เกลือแร่ หรือยาที่คล้ายคลึงกัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชาร่วมไปด้วย เพราะสารสำคัญจากใบชาจะไปตกตะกอนธาตุเหล็กหรือเกลือแร่ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ในกรณีที่ดื่มน้ำชาร่วมกับการรับประทานอาหาร แร่ธาตุต่างๆจากผักใบเขียวหรือจากผลไม้ก็จะถูกสารสำคัญจากชาจับไว้หมดไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเช่นกัน
โทษของการดื่มชาต่อร่างกายก็มีรายงานเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสำคัญคือแทนนิน ซึ่งจะไปตกตะกอนโปรตีนและแร่ธาตุต่างๆจากอาหารที่รับประทาน ทำให้ลดการดูดซึมของสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย ดังนั้นจึงมักจะมีคำแนะนำไม่ให้เด็กดื่มน้ำชา ไม่ว่าจะเป็นชาเขียวแช่เย็นหรือชาร้อน เพราะจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้
ใบชายังมีองค์ประกอบที่ให้โทษต่อร่างกายที่ยังไม่ค่อยมีคนกล่าวถึงคือ มีองค์ประกอบของฟรูออไรด์ในปริมาณที่ค่อนข้างสูง และสูงกว่าปริมาณในน้ำประปา การที่ร่างกายได้รับเข้าไปทุกวันจากการดื่มน้ำชาเป็นประจำ จะเกิดการสะสม มีผลให้ไตวาย เกิดมะเร็งลำไส้ โรคกระดูกพรุน (Osteofluorosis) โรคข้อ และโรคอื่นๆที่เกี่ยวกับกระดูก แต่ผู้ที่ดื่มไม่มาก ก็คงไม่ต้องกังวล
ใบชายังมีสารที่ไม่ดีต่อสุขภาพอีก คือ สารที่ชื่อว่า “ออกซาเรท oxalate” แม้ว่าสารชนิดนี้จะมีอยู่น้อย แต่หากผู้ที่ชื่นชอบการดื่มชามากๆและดื่มบ่อยๆเป็นประจำ จะสะสมสารออกซาเรทในร่างกายได้ สารชนิดนี้มีรายงานว่ามีผลทำลายไต
ใบชามีสารคาเฟอินน์ ในปริมาณสูง อาจสูงกว่าในเมล็ดกาแฟด้วยซ้ำไป เพียงแต่การดื่มน้ำชา สารแทนนินจากน้ำชาจะป้องกันหรือลดการดูดซึมของคาแฟอินน์เข้าสู่ร่างกาย ทำให้ฤทธิ์การกระตุ้นหัวใจและสมองน้อยกว่ากาแฟมาก
จากที่กล่าวไปข้างต้น พอสรุปได้ว่าเครื่องดื่มชามีทั้งคุณและโทษต่อร่างกาย ขึ้นอยู่กับการบริโภค ถ้ามากเกินไปจะเป็นโทษได้ ผู้ที่นิยมนำสารสกัดจากชาเขียวไปทำสปา โดยการหมักบนใบหน้าและผิวหนัง ควรผสมกับน้ำเย็น ไม่ควรผสมน้ำนมเด็ดขาด เพราะจะไปทำลายคุณค่าของสารสกัดชาเขียวตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น การนำสารสกัดชาเขียวไปผสมกับอาหารอื่นๆ หากต้องนำไปทำให้ร้อน เช่น ขนมเค้ก คุณค่าชาเขียวจะหมดไป คงเหลือแต่รสชาติเท่านั้น ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการนำผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารสกัดชาเขียวไปผ่านขบวนการความร้อน เพื่อคงคุณค่าของชาเขียวต่อสุขภาพร่างกาย  บทความฉบับนี้อาจทำให้ผู้บริโภคหลายคนงง เพราะเคยทราบแต่สารพัดประโยชน์ของชาเขียว แต่อ่านแล้วคงไม่ทำให้กลัวการการดื่มชา องค์ความรู้จากนักวิจัยจะช่วยให้เราระวังไม่บริโภคมากเกินไป เพราะเช่นเดียวกับทุกอย่าง ถ้ามากไปมักจะมีให้ผลเสียต่อร่างกายได้   
Tumblr media
แหล่งอ้างอิง/ที่มา
http://www.thekitchn.com/does-putting-milk-in-your-tea-negate-its-health-benefits-food-news-177896
https://www.healthstatus.com/health_blog/diabetes-3/milk-in-your-tea-not-a-good-idea/
http://ajcn.nutrition.org/content/81/1/326S.full
http://journal.frontiersin.org/article/10.3389/fphar.2016.00192/full
http://www.m.webmd.com/vitamins/ai/ingredientmono-960/green-tea
http://www.teaanswers.com/side-effects-tea/
0 notes