#นอนหลับยาก
Explore tagged Tumblr posts
Text
โรคนอนไม่หลับ (insomnia)
นอนไม่หลับ นอนหลับยาก วิกฤตสุขภาพคนยุคใหม่!
นอนไม่หลับ เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนทุกเพศ ทุกวัย โดนอาการนอนไม่หลับของคนทั่วไปจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1-2 คืนต่อสัปดาห์ หากนอนไม่หลับ หรือนอนหลับยากติดต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ให้สงสัยไว้ว่าร่างกายกำลังมีความผิดปกติบางอย่าง ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้นานอาจพัฒนาไปสู่ภาวะอื่นๆ ที่มีผลต่อสุขภาพระยะยาวได้
อะไรทำให้คนยุคใหม่ นอนไม่หลับ นอนไม่หลับ (Insomnia) ถือเป็นโรคความผิดปกติด้านการนอน หรือเรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากการนอนที่ไม่ได้คุณภาพ ซึ่งหากย้อนกลับไปราวหสิบปีก่อนเชื่อว่าหลายคนคงยกให้ “ความเครียด” เป็นสาเหตุตั้งต้นของปัญหาด้านการนอน แต่สำหรับผู้คนในยุคปัจจุบัน ความเครียดอย่างเดียวคงไม่สามารถทำให้เข้าสู่ภาวะนอนไม่หลับเรื้อรังได้ สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้คนยุคดิจิตัลนอนไม่หลับ มาจากอะไรได้บ้าง
*พฤติกรรมการทำงาน (Work behavior) ด้วยความสะดวกรวดเร็วที่มีตลอดเวลา ทำให้ขีดจำกัดในการทำงานถูกทลายลง จากสถิติพบว่าประชากรกว่า 20% ทั่วโลก มีพฤติกรรมการทำงานตอนกลางคืน ทั้งจากการประชุมหรือการทำงานที่ติดพัน จนเผลอทำเวลาการนอนหล่นหาย *เทคโนโลยี (Smart technology) สาเหตุสำคัญที่ทำให้เราก้มหน้าคุยกันจนทุกวันนี้ จากอุปกรณ์สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือหน้าจอต่างๆ ที่พร้อมจะสาดแสงเข้าดวงตาเราแบบทั้งวันทั้งคืน บวกกับเสียงรบกวนจากภาพนอก จนเกิดเป็น Light Pollution ที่เข้าไปรบกวนร่างกาย เหมือน Lightmare ไม่ใช่ Nightmare (ฝันร้าย) ทำให้มีอาการหลับๆ ตื่นๆ หรือนอนไม่หลับ *ไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ (Lifestyle) วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป จนคนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ความรวดเร็วที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ กิจกรรม โดยเฉพาะการรับ��ระทานอาหารจานด่วน มื้อใหญ่ มื้อดึก รวมถึงเคร��่องดื่มที่มีคาเฟอีนอยู่มาก ทำให้นอนหลับยาก หรือนอนไม่หลับได้ในที่สุด นอนไม่หลับ หรือนอนหลับยาก กระทบสุขภาพขนาดไหน ? การนอนหลับ ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในความโชคดีของการนำไปสู่สุขภาพที่ดีในระยะยาว เพราะนอกเหนือจากพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ สูดรับควันเขม่า หรือการรับประทารอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว “คุณภาพการนอน” เป็นแรงขับเคลื่อนชิ้นสำคัญต่อระบบต่างๆ ทั่วทั้วร่างกาย จริงอยู่ที่เราทุกคนอาจมีอาการ นอนไม่หลับ หรือหลับได้ยากในบางคืน แต่ในผู้ที่มีภาวะนอนหลับยากเรื้อรัง อาจต้องเฝ้าระวังอาการต่างๆ เช่น
-หลับไม่สนิท ตื่นกลางดึกบ่อย (หลับๆ ตื่นๆ) -หงุดหงิดง่าย กระสับกระส่าย -รู้สึกอ่อนเพลีย -ไม่มีสมาธิในการทำงาน ตื่นมาไม่สดชื่น
หากพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่า 2 สัปดาห์ ให้สงสัยไว้ว่าเรากำลังมีภาวะนอนไม่หลับเรื้อรัง และควรเข้ารับคำปรึกษา ที่ปลอดภัยและเหมาะสมต่อไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่กลับพบว่า หลายคนเลือกที่จะซื้อยานอนหลับมากินเอง ซึ่งเสี่ยงเป็นอันตรายต่อตนเองค่อนข้างมาก ด้วยเพราะลักษณะตัวยาที่ใช้จะเหมาะกับลักษณะอาการที่แตกต่างกัน แม้จะมาด้วยอาการนอนไม่หลับเหมือนกันก็ตาม แต่ทุกๆ การรักษาควรอยู่ภายใต้ความดูแลจากแพทย์ผู้เชี���ยวชาญอย่างใกล้ชิด เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นานอาจนำมาสู่ภาวะผิดปกติบางอย่างได้ ดังนี้
*ความสามารถและทักษะลดลง เช่น สมองตอบสนองช้า สมาธิลดลง ซึ่งส่งผลต่อกิจกรรมในชีวิตประจำวัน��ด้ (ขับรถ, ทำงาน, การตัดสินใจ ,การใช้เหตุผล) *ความเสี่ยงจากโรคเรื้อรัง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือด โรคอ้วน โรคเบาหวาน มะเร็ง ไปจนถึงความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมได้ง่ายกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะคนที่นอนไม่หลับเพราะความเครียด ที่มีโอกาสพัฒนาไปเป็นโรคซึมเศร้าได้ง่ายกว่าคนปกติถึง 2 เท่า รวมถึงโรคทางจิตอื่นๆ ร่วมด้วยได้ เช่น ประสาทหลอน และไบโพลาร์ *นาฬิกาชีวิต (Biological Clock) เสียสมดุล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่อาศัยอยู่ในสมองส่วนไฮโปทามามัส คอยทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ตามเวลาของร่างกาย
นอกจากการปรับความคิด และพฤติกรรมที่เป็นตัวการแห่งความเครียด จนทำให้นอนหลับได้ยากแล้ว การรีเซ็ทนาฬิกาชีวิต (Biological Clock) ให้กลับมาเดินเป็นปกติตามเวลาของร่างกาย ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำเป็นอันดับแรกๆ เพราะนาฬิกาชีวิตมีหน้าที่กำหนดพฤติกรรม อุณหภูมิในร่างกาย สร้างเซลล์ใหม่ ดูแลระบบภูมิคุ้มกัน และฮอร์โมนต่างๆ ที่มีทั่วร่างกายให้ทำงานเวลาเดิมในรอบ 1 วัน (เช้า-กลางคืน) เรียกได้ว่า “ทำงานทั้งวันทั้งคืน” การที่เรานอนไม่เป็นเวลา จึงเป็นปัญหาที่กระทบกับเวลาทำงานของฮอร์โมนชนิดอื่นๆ เช่น
*หิวตอนดึก เพราะฮอร์โมนเกอร์ลิน (Ghrelin Hormone) หลั่งมากขึ้น *กระบวนการซ่อมแซมร่างกายไม่ดี เพราะโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) หลั่งได้ไม่เต็มที่ (เที่ยงคืน-ตีหนึ่ง) *นอนหลับยาก เพราะแสงจอคอม หรือโทรศัพท์ ที่มีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ที่ช่วยควบคุมเวลานอนของร่างกาย *ความเครียดเพิ่มขึ้น ยิ่งนอนไม่หลับ เพราะฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol Hormone) ถูกกระตุ้นให้หลั่งมากขึ้น *ต่อมหมวกไตล้า เพราะฮอร์โมนต่อมหมวกไต��ำงานหนักเกินไป ดีที่สุดคือ การรักษาสมดุลนาฬิกาชีวิตของร่างกายให้ดี เริ่มจากหยุดเล่นโทรศัพท์ประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ก่อนที่จะเข้านอน งดดื่มกาแฟหรือเครื่อมดื่มรสหวาน ฝึกผ่อนคลาย เลิกคิดเรื่องวุ่นวายช่วงก่อนนอนให้ได้ รวมถึงการใช้โปรแกรมตรวจสมดุลฮอร์โมนที่จำเป็นต่อประสิทธิภาพการทำงานของร่างกาย ช่วยคืนสมดุลฮอร์โมนที่ส่งผลต่อการนอนหลับที่ดี และมีคุณภาพ... หวยหุ้นดาวโจนส์
0 notes
Text
วิตามินรวม ช่วยเรื่องอะไร เหมาะกับใคร และกินตอนไหนดี?
วิตามินรวม" ช่วยเรื่องอะไร เหมาะกับใคร และกินตอนไหนดี?
ร่างกายของคนเราต้องการสารอาหารที่หลากหลายเพื่อเสริมสร้างระบบการทำงานส่วนต่างๆ แต่บางครั้งไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบและพฤติกรรมการรับประทานอาหารในปัจจุบัน อาจทำให้เราไม่ได้รับสารอาหารและวิตามินต่างๆ อย่างครบถ้วน "วิตามินรวม" จึงถือเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมโภชนาการในชีวิตประจำวันให้แก่คนวัยทำงานทั้งหลายได้ โดยเฉพาะในคนที่อาจไม่สามารถรับประทานอาหารที่หลากหลายได้ในมื้อเดียว
ทำความรู้จัก "วิตามินรวม" คืออะไร
วิตามินรวม (ภาษาอังกฤษ : Multivitamin) คือ วิตามินที่ประกอบด้วยวิตามินหลายชนิด ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานและช่วยเสริมการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งบางครั้งหากเรารับประทานอาหารในแต่ละมื้อก็อาจได้รับสารอาหารที่ไม่ครบถ้วน จึงทำให้วิตามินรวมถูกสกัดในรูปแบบผลิตภัณฑ์��าหารเสริมสำหรับผู้ที่ร่างกายอ่อนเพลีย อยู่ในภาวะขาดวิตามิน หรือไม่ได้รับวิตามินอย่างเพียงพอจากอาหารที่รับประทานเข้าไป
ประโยชน์ของ "วิตามินรวม" ช่วยเรื่องอะไร
คนวัยทำงานส่วนใหญ่มักมีปัญหานอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายอ่อนเพลีย สมองล้า การรับประทานวิตามินรวมก็จะมีส่วนช่วยเรื่องดังต่อไปนี้
ช่วยให้ร่างกายสดชื่น : เนื่องจากวิตามินรวมมีส่วนช่วยเสริมการทำงานของสมองและระบบประสาท ทำให้รู้สึกกระปรี้ประเปร่า ลดอาการง่วงซึมระหว่างวัน ช่วยให้มีสมาธิจดจ่อกับการทำงานมากยิ่งขึ้น
ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น : ใครที่รู้สึกสมองล้า พักผ่อนน้อยติดต่อกันหลายวัน ทำให้มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ วิตามินรวมจะช่วยทำให้นอนหลับง่ายขึ้น หลับเต็มอิ่ม และร่างกายไม่อ่อนเพลีย
ช่วยคลายวิตกกังวล : วิตามินรวมมีส่วนช่วยในการคลายเครียด ลดอาการวิตกกังวล ซึ่งสัมพันธ์กับพฤติกรรมนอนหลับยาก อีกทั้งทำให้อารมณ์ดี รู้สึกสดชื่น และไม่หงุดหงิดง่าย
ช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดวิตามิน : ในผู้ที่มีสภาวะขาดวิตามิน หรือร่างกายได้รับวิตามินจากสารอาหารต่างๆ ไม่เพียงพอ การรับประทานวิตามินเสริมโภชนาการก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก แต่ทั้งนี้ก็ควรได้รับคำแนะนำจากเภสัชกรหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
"วิตามินรวม" เป็นวิตามินที่เหมาะกับใคร
คนที่นอนดึก พักผ่อนน้อย นอนหลับยาก
คนที่ต้องการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
คนที่ร่างกายอ่อนเพลีย รู้สึกไม่สดชื่น
คนที่เบื่ออาหาร รับประทานได้น้อย ไม่ครบตามโภชนาการ
ไขข้อข้องใจ "วิตามินรวม" กินตอนไหนดีที่สุด
แนะนำให้รับประทานวิตามินรวมพร้อมมื้ออาหาร เพราะวิตามินรวมจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีที่สุด โดยสามารถรับประทานช่วงมื้ออาหารใดก็ได้ แต่ไม่ควรเป็นช่วงก่อนนอนหรือขณะท้องว่าง เนื่องจากอาจทำให้นอนหลับยากและระคายเคืองกระเพาะอาหารได้
"วิตามินรวม" กินทุกวันได้ไหม อันตรายหรือไม่
วิตามินรวมยี่ห้อไหนดี? ในปัจจุบันมีวิตามินรวมหลายยี่ห้อที่สกัดออกมาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพและเสริมระบบการทำงานของร่างกายให้แข็งแรง มีทั้งชนิดแคปซูลและชนิดเม็ดฟู่ที่สามารถละลายน้ำได้ ทั้งนี้ หากจะเลือกซื้อวิตามินรวมควรพิจารณาจากยี่ห้อที่มีฉลาก อย. รับรองคุณภาพ และจัดจำหน่ายโดยร้านค้าทางการหรือตัวแทนที่น่าเชื่อถือ
วิตามินรวมสำหรับเด็ก
Multivitamin , วิตามินรวม
ที่มา https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2747786
1 note
·
View note
Text
อาหารที่ไม่มีประโยชน์ ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร
อาหารที่ไม่มีประโยชน์ เป็นอาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปจนอาจทำให้ไม่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เต็มไปด้วยโซเดียม น้ำตาลและไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งการรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์มากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง
อาหารที่ไม่มีประโยชน์ คืออะไร
อาหารที่ไม่มีประโยชน์ คือ อาหารที่ขาดสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น โปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร รวมถึงเต็มไปด้วยโซเดียม น้ำตาล และไขมันอิ่มตัวที่มากเกินไป เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วอาจทำให้ผู้เสี่ยงเป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น น้ำหนักเกิน โรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง โรคไขมันพอกตับ
ตัวอย่างอาหารที่ไม่มีประโยชน์และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ได้แก่
1.เบเกอรี่ เช่น เค้ก ขนมปังกรอบ ขนมอบ คุกกี้ คัพเค้ก โดนัท ช็อกโกแลต
2.อาหารจานด่วน เช่น เฟรนช์ฟรายส์ แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า นักเก็ต
3.เนื้อสัตว์แปรรูป เช่น เบคอน แฮม ไส้กรอก
4.ของว่าง เช่น มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบ ขนมบรรจุหีบห่อ ขนมกรุบกรอบ
5.เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม น้ำหวานต่าง ๆ
6.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
อาหารที่ไม่มีประโยชน์ส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะสั้นอย่างไร
ปริมาณโซเดียมที่สูงมากในอาหารที่ไม่มีประโยชน์อาจทำให้ความดันโลหิตสูง และร่างกายเกิดภาวะบวมน้ำ นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมันสูงยังอาจทำให้ไขมันสะสมอยู่ตามหลอดเลือดจนส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ซึ่งอาจทำให้รู้สึกอึดอัด หงุดหงิด อ่อนล้า อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า นอนหลับยาก และสมาธิลดลง จนอาจพัฒนาไปเป็นความเครียดที่เพิ่มขึ้นได้
นอกจากนี้ น้ำตาลยังเป็นอาหารของแบคทีเรียในช่องปาก ซึ่งอาจทำให้เกิดคราบพลัค (Plaque) สะสมและอาจทำให้เกิดฟันผุได้
อาหารที่ไม่มีประโยชน์ส่งผลเสียต่อสุขภาพผลเสียในระยะยาวอย่างไร
1.โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอาหารไม่มีประโยชน์อาจมีปริมาณน้ำตาลที่สูง ซึ่งการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ร่างกายต้องผลิตอินซูลินออกมาเพิ่มขึ้นเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด หากปล่อยไว้อาจเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความผิดปกติของการหลั่งอินซูลินและพัฒนาไปเป็นโรคเบาหวานได้
2.คอเลสเตอรอลสูง โดยเฉพาะอาหารทอด เช่น ไก่ทอด มันฝรั่งทอด เฟรนช์ฟรายส์ เต็มไปด้วยไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์สูงที่สามารถสะสมอยู่ในผนังหลอดเลือด และอาจมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดความเสี่ยง���นการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
3.ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด การรับประทานโซเดียมในปริมาณ��ี่มากเกินไป และการสะสมของไขมันในหลอดเลือดอาจทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
4.น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน อาหารที่ไม่มีประโยชน์อุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัว น้ำตาลและโซเดียมสูง ซึ่งการรับประทานในปริมาณมากและเป็นเวลานาน อาจทำให้สะสมเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกาย จนทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วนได้
5.โรคมะเร็ง การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ อาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อภายในร่างกาย นอกจากนี้ อาหารและเครื่องดื่มบางชนิด เช่น ของทอด อาหารที่มีโซเดียมสูง อาหารแปรรูปพร้อมทาน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจมีสารก่อมะเร็ง ซึ่งอาจพัฒนาไปเป็นโรคมะเร็งได้
6.ภาวะซึมเศร้า การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ในปริมาณมาก และละเลยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น โปรตีน ผัก ผลไม้ อาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายอ่อนล้าและอาจทำให้อารมณ์แปรปรวน หากปล่อยไว้อาจพัฒนาไปเป็นภาวะซึมเศร้าได้
สนใจคลิ๊ก คาสิโนออนไลน์
0 notes
Text
เคล็ดลับหลับง่าย หัวถึงหมอนหลับทันที เพียงแค่ปรับการนอน
สุขภาพที่ดีควรเริ่มต้นจากการนอน การพักผ่อนที่ดีที่สุดแต้กลับเป็นเรื่องที่ยากให้ใครหลาย ๆ คนที่มีปัญหาในเรื่องของการนอนไม่หลับ นอนหลับยาก นอนเท่าไหร่ก็ไม่หลับ จนกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจ
ซึ่งในวันนี้ sa gaming จึงหาวิธีและเคล็ดลับการนอนหลับง่าย เพียงแค่ปรับพฤติกรรมในการนอนโดยไม่ต้องพึ่งยาก็หลับได้อย่าง่ายดาย หลับแบเต็มอิ่ม มาดูกันเลย
ผ่อนคลายตัวเอง
ก่อนนอนสัก 1 – 2 ชั่วโมงลองทำกิจกรรมที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย อย่างการฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อโดยหายใจเข้ายาว ๆ ลึก ๆ และค่อย ๆ ปล่อยลมหายใจออกอย่างช้า ๆ พยายามให้สติกำหนดอยู่กับลมหายใจก็จะได้ผลที่ดีขึ้น บอกกับตัวเองว่านี่คือเวลานอน เวลาพักผ่อน ปัญหาทุกอย่างควรสะสางต่อพรุ่งนี้ รวมถึงให้หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าที่ทำให้สมองไม่ผ่อนคลาย ได้แก่ ทีวี สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต
กินอาหารที่มีแมกนีเซียมสูง
อาทิ ถั่ว เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ สมัครสมาชิก sa gaming อะโวคาโด กล้วย โยเกิร์ต มันฝรั่ง ลูกเกด ผักโขม นมถั่วเหลือง เต้าหู้ และปลาทูน่า เพราะถ้าร่างกายขาดแมกนีเซียมจะส่งผลต่อระบบประสาทและสมองที่ช่วยในการนอนหลับ ควรงดอาหารที่สารคาเฟอีนสูง เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม จะทำให้ระบบประสาทตื่นตัวและนอนไม่หลับ
น้ำมันหอมระเหยช่วยบำบัด
กลิ่นหอมจากสมุนไพรธรรมชาติที่สกัดออกมาเป็นน้ำมันหอมระเหยหรือที่รู้จักกันในชื่อ “อโรมาเธอราปี” ช่วยให้ความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย ลดปฏิกิริยาทางกายที่มีต่อความเครียด น้ำมันหอมระเหยมีหลายชนิดให้���ลือกใช้ตามความต้องการ ���ต่ถ้ามีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ แนะนำให้ใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ ซึ่งช่วยให้นอนหลับง่าย ปรับอารมณ์ให้เกิดความสมดุลและจิตใจสงบ
ปรับอุณหภูมิและเครื่องฟอกอากาศ
เพื่อให้การนอนหลับมีความสบายมากขึ้น ติดต่อ sa gaming ควรปรับอุณหภูมิห้องให้อยู่ระหว่าง 17 – 25 องศาเซลเซียส อีกทั้งการใช้เครื่องฟอกอากาศในห้องนอนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้สมดุลและยังช่วยกำจัดสารก่อภูมิแพ้ที่มีอนุภาคเล็ก เช่น ฝุ่น ขนสัตว์ สปอร์ของเชื้อรา กลิ่นสเปรย์ปรับอากาศ เป็นอีกวิธีที่จะทำให้นอนหลับลึกได้ต่อเนื่อง
นอนให้เป็นเวลา
จัดตารางการนอนให้เป็นเวลาเดียวกันทุกคืนจนเป็นกิจวัตร ถ้าทำติดต่อกันภายใน 1 อาทิตย์ ร่างกายจะปรับตัวและคุ้นเคยจนทำให้หลับได้ตามเวลานั้น ๆ หรือมีบางกรณีที่นอนแล้วยังไม่หลับนานถึง 30 นาที อย่าเพิ่งฝืนนอนต่อ อย่าโกรธหรือหงุดหงิด และอย่าดูนาฬิกาบ่อย ๆ เพราะจะเป็นการกดดันตัวเองว่า ทำไมยังไม่หลับสักทีและจะทำให้ไม่หลับจริง ๆ ในที่สุด
สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกเรียกรวมว่าเป็น ASMR ทั้งสิ้น มองเห็นนี้จะกระตุ้นให้เราเกิดอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละบุคคล จึงไม่น่าแปลกใจที่บางคนฟังเสียงน้ำไหลแล้วรู้สึกอึดอัด แต่กลับฟังเสียงคนเคี้ยวอาหารและนั่งดูเขากินได้หน้าตาเฉย หรือบางคนชอบฟังเสียงกระซิบข้างหู แต่ไม่ชอบเสียงไม้แคะหูเอาเสียเลย เป็นต้น
0 notes
Text
นอนไม่หลับ ทำยังไงดี Dtogen สมุนไพรจากธรรมชาติ ปลอดภัย 100% ไม่มีสารตกค้างในร่างกาย ช่วยแก้ปัญหาอาการนอนไม่หลับได้แน่นอน https://dtogenthailand.com/insomnia
1 note
·
View note
Link
0 notes
Link
0 notes
Text
เครื่องฟอกอากาศ เลือกซื้ออย่างไรให้เหมาะกับบ้านของคุณ
เครื่องฟอกอากาศ นับตั้งแต่เกิดโรค โควิด-19 ระบาดเป็นต้นมา ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากนับตั้งแต่นั้น เครื่องทำหน้าที่ กำจัดสิ่งแปลกปลอม ที่มีอยู่ในอากาศ ได้แก่ ฝุ่น เชื้อรา เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย กลิ่นควันบุหรี่ กลิ่นอับ เป็นต้น โดยเครื่องฟอกอากาศ จะดูดอากาศเหล่านี้เข้าไปในเครื่อง แล้วผ่านตัวกรอง ก่อนปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกมาแทน
ในปัจจุบันนี้ สภาวะอากาศของประเทศไทย เต็มไปด้วยฝุ่น ควันเสียจากรถบนท้องถนน และมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม การลงทุนซื้อเครื่องฟอกอากาศ ที่มีราคาไม่สูงมาก และหาซื้อได้ง่าย เพื่อให้ได้หายใจด้วยอากาศที่สะอาด และมีสุขภาพที่ดี ย่อมคุ้มค่าแน่นอน จะมีอะไรบ้างเราไปติดตามกันเลย
เครื่องฟอกอากาศ มีประโยชน์อย่างไร?
1. ช่วยลดอาการภูมิแพ้
สาเหตุหลักที่ทำให้คนเป็นภูมิแพ้ และระคายเคือง ก็คือฝุ่น และไรฝุ่น ซึ่งเครื่องฟอกอากาศจะทำหน้าที่ ช่วยดักจับฝุ่นละอองต่างๆ จึงช่วยลดอาการภูมิแพ้ หรือทำให้อาการภูมิแพ้ดีขึ้นได้
2. ช่วยป้องกัน ไม่ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ และโรคทางเดินหายใจ
เพราะในอากาศ เต็มไปด้วยฝุ่นละออง และหลายๆ อย่าง ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งล้วนแต่เป็นสาเหตุ ที่ทำให้เจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจต่างๆ ซึ่ง���ครื่องฟอกอากาศ จะช่วยกรองสิ่งต่างๆ เหล่านี้ และช่วยให้ได้สูดอากาศ ที่ปลอดภัยมากขึ้น
3. ช่วยให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น
การได้หายใจด้วยอากาศ ที่สะอาดและสดชื่น ย่อมส่งผลให้ปอด ลดการทำงานหนักลงได้ และยังส่งผลให้สุขภาพดีขึ้นอีกด้วย
4. ช่วยให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น
สำหรับคนที่นอนไม่ค่อยหลับ นอนหลับยาก นอนหลับไม่สนิท หรือหลับๆ ตื่นๆ เนื่องจากสภาวะอากาศ และฝุ่นละออง จนทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ และอ่อนเพลีย เครื่องฟอกอากาศจะทำให้ปัญหาเหล่านี้ลดน้อยลง และช่วยทำให้หลับสนิทตลอดคืน
เครื่องฟอกอากาศทำงานอย่างไร?
1. Electrostatic Precipitator ระบบกรองอากาศ
ระบบนี้จะทำงาน โดยใช้หลักไฟฟ้าสถิต ด้วยการปล่อยประจุไฟฟ้าลบ ออกมาจับฝุ่นที่เป็นประจุบวก ให้เป็นกลุ่มก้อน เพื่อทำให้ฝุ่นมีน้ำหนักมากขึ้น แล้วตกลงสู่พื้น ไม่ลอยอยู่ในอากาศ
2. Air Filter ระบบดักจับฝุ่นละออง ด้วยแผ่นกรองอากาศ
ระบบจะดักจับฝุ่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือสิ่งที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ ด้วยแผ่นกรองอากาศ โดยแผ่นกรองอากาศ มีทั้งทำจากกระดาษ เส้นใย และตาข่าย แต่ที่นิยมใช้กันมากที่สุด คือแผ่นกรองอากาศแบบ HEPA หรือ High Efficiency Particulate Air ซึ่งเป็นแผ่นกรอง ที่ผลิตจากเส้นใยไฟเบอร์กลาส ออกแบบมาเพื่อจับอนุภาคที่มีขนาดเล็ก อย่างน้อย 0.3 ไมครอน และมีประสิทธิภาพในการดักจับ ได้ไม่น้อยกว่า 99.97%
3. Ozone Generator ระบบที่ใช้แสง UV หรือการปล่อยกระแสไฟฟ้า ในการสร้างโอโซน
ระบบนี้จะใช้แสง UV หรือสร้างโอโซน เพื่อฆ่าเชื้อโรค หรือกำจัดสารเคมี หรือกำจัดกลิ่นที่ปะปนมาในอากาศ ให้สลายไป โดยในปัจจุบัน มีเครื่องฟอกอากาศ แบบผลิตโอโซน ที่มีคุณสมบัติเฉพาะ คือช่วยให้บริเวณที่ติดตั้ง มีสภาวะปลอดมลพิษ มีอากาศสดชื่น ไร้กลิ่น และยังสามารถฆ่าเชื้อโรคได้รวดเร็ว โดยเฉพาะแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรค และกลิ่นเหม็น ซึ่งโอโซนมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค ได้ดีกว่าคลอรีนหลายเท่า และยังไม่ก่อให้เกิด สารตกค้างที่มีอันตราย เหมาะกับบ้านที่มีเด็กและสัตว์เลี้ยง
4. UV Light ระบบที่ใช้รังสีอัลตราไวโอเลต ในการกำจัดเชื้อโรค
ระบบนี้จะนำรังสีอัลตราไวโอเลต มาใช้กำจัดเชื้อโรค เชื้อรา เชื้อไวรัส และเชื้อแบคทีเรีย ที่มีอยู่ในอากาศ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
5. Gas-phase Air Filters ระบบที่ใช้สารเคมี ในการกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์
ระบบชนิดนี้ จะทำงานโดยการใช้สารเคมี เช่น ถ่านกัมมันต์ หรือ Activated Carbon มาช่วยดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ และก๊าซพิษ
ควรเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศยังไง ให้เหมาะกับบ้านหรือห้อง?
เลือกจากขนาดห้อง หรือพื้นที่ที่จะติดตั้ง เพราะเครื่องฟอกอากาศ จะมีประสิทธิภาพในการทำงาน ครอบคลุ���พื้นที่ที่แตกต่างกัน หากใช้เครื่องฟอกอากาศขนาดเล็ก ในห้องขนาดใหญ่ ก็จะทำให้เครื่องฟอกอากาศ ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่หากใช้เครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ ในห้องขนาดเล็ก ก็จะทำให้เปลืองไฟได้
ดูระบบการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ ว่าตอบโจทย์การใช้งานหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น มี HEPA Filter ที่ช่วยกรองฝุ่นขนาดเล็กได้ดี หรือมีระบบกำจัดกลิ่น หรือมีเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ เป็นต้น
พิจารณาจากอัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์ต่อนาที หรือ Clean Air Delivery Rate (CADR) ซึ่งใช้ในการวัดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ ดังนั้น ยิ่งมีค่า CADR สูงมากเท่าไร ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า เครื่องฟอกอากาศมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นเท่านั้น
ควรเลือกแบบที่ประหยัดไฟ โดยการกินไฟของเครื่องฟอกอากาศ ขึ้นอยู่กับแผ่นกรอง หากแผ่นกรองมีความหนาแน่นมาก จะทำให้อากาศผ่านได้น้อย ก็จะทำให้ใช้ไฟมาก จึงควรเลือกแผ่นกรอง ที่มีอากาศไหลผ่านได้ดี
0 notes
Video
instagram
@Smiling.68:ขอแบบผ่อนคลาย นอนหลับยาก ขอยาวๆหน่อยนะค่ะ https://www.instagram.com/p/CYb-jy8poon/?utm_medium=tumblr
0 notes
Text
#สายตาพร่ามัว #แสบตา #มองไม่ชัด #ปวดข้อเข่า #ปวดเมื่อย #อ่อนเพลีย #นอนหลับยาก #ปวดหัวไมเกรน #ลดเบาหวาน #ลดความดัน #ลดไขมันและน้ำ...
#สายตาพร่ามัว #แสบตา #มองไม่ชัด #ปวดข้อเข่า #ปวดเมื่อย #อ่อนเพลีย #นอนหลับยาก #ปวดหัวไมเกรน #ลดเบาหวาน #ลดความดัน #ลดไขมันและน้ำตาลในเลือด #ช่วยระบบขับถ่าย #เสริมภูมิต้านทาน ลาซองเต้คอฟฟี่ กาแฟสมุนไพรธรรมชาติ เกรดพรี เมี่ยม รวมสมุนไพรดูแลสุขภาพ ถึง 32 in 1 ☕️ กาแฟเพื่อคนรักสุขภาพ ดื่มทุกวัน ดีต่อสุขภาพ ☕️ หอมอร่อย เข้มข้น กลมกล่อม อร่อยดี มีประโยชน์ ❌ไม่มีน้ำตาล ❌ไม่มีครีมเทียม ❌ไม่มีไขมันทรานส์ ผู้สูงอายุดื่มได้ ดีต่อสุขภาพ ไม่เหนื่อย ไม่ล้า ไม่เพลีย อาการวิงเวียนบ่อย ๆ ก็หายไป ทำให้นอนหลับง่าย 💥โปรโมชั่นพิเศษ💥 ✅ 1 กล่อง 299 บาท(ปกติ 590 บาท) ✅ 2 กล่อง 560 บาท(ปกติ 1180 บาท) ✅ 5 กล่อง 1,250 บาท(ปกติ 2950 บาท) สุดคุ้ม‼️1 ห่อ มี 20 ซอง ๆ ละ 15 กรัม 🚚ส่งฟรี เก็บเงินปลายทาง ไม่บวกเพิ่ม สนใจทักมาค่ะ‼️ หรือแจ้งชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร ใต้โพสต์ได้เลย สั่งซื้อ/สอบถามเพิ่มเติม ☎️ 081-0501575(แอดมิน)
(Feed generated with FetchRSS) from Nong Hi Shop - หนองฮีช็อป on Facebook https://bit.ly/3EksoFx via หนองฮีช็อป
0 notes
Text
โรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้า เข้าใจ..รักษาได้
ปัจจุบัน พบว่า มีผู้อยู่ในภาวะซึมเศร้ากันอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาชีพ อายุ เพศแต่อย่างใด สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ซึ่งตัวการของการโรคซึมเศร้านั้น มีความสัมพันธ์กับหลายๆ ปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์ ลักษณะนิสัยหรือพัฒนาการจิตใจ การสูญเสียหรือพลัดพรากจากสิ่งที่รักตั้งแต่วัยเด็ก เช่น พ่อแม่ หรือการเปลี่ยนแปลงของระดับสารเคมีในสมองบางตัว (ได้แก่ ซีโรโตนิน (Serotonin) นอร์เอปิเนฟริน และโดปามีน (Dopamine) ทำงานไม่สมดุลกัน) เป็น เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยหนุนให้เกิดโรคซึมเศร้าได้ทั้งสิ้น
ประเภทของโรคซึมเศร้า สามารถแบ่งได้ตามพฤติกรรมหรือภาวะทางอารมณ์ได้ดังนี้
โรคซึมเศร้า Major Depression (Clinical Depression) เกิดจากสารสื่อประสาทในสมองผิดปกติ ผู้ที่เป็นจะรู้สึกซึมเศร้าต่อเนื่อง รู้สึกเป็นทุกข์ ท้อแท้ตลอดจนถึงการไม่อยากมีชีวิตอยู่
โรคซึมเศร้าเรื้อรัง (Dysthymia) จะมีอาการอยู่นานเป็นปี เริ่มจากการมองโลกในแง่ร้าย มีอาการขึ้นๆ ลงๆ อารมณ์ไม่คงที่
โรคซึมเศร้าแบบไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) อารมณ์แปรปรวนอย่างเห็นได้ชัดมีช่วงที่ครื้นเครงเกินปกติและสลับกับช่วงที่ซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าหลังคลอด (Postnatal Depression) เป็นภาะซึมเศร้าที่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระยะหลังคลอด
โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล (Seasonal Affective Disorder – SAD) เป็นอารมณ์ที่แปรปรวนตามฤดูกาล เช่น รู้สึกโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ในฤดูหนาว
โรคซึมเศร้าแบบจิตหลอน (Psychotic Depression) เป็นภาวะซึมเศร้าที่มีอาการหลงผิด หรือหูแว่วร่วมกัน ซึ่งค่อนข้างอันตราย
กลุ่มอาการซึมเศร้าก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Dysphoric Disorder – PMDD) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเช่นกัน โดยมีอาการเด่นในช่วงมีประจำเดือน
โรคซึมเศร้าที่เกิดจากความผิดปกติของการปรับตัว (Reactive Depression/ Adjustment Disorder) เกิดขึ้นหลังจากได้รับความเครียดหรือความกระทบกระเทือนใจอย่างหนัก เช่นการพลัดพราก การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักในครอบครัว
สังเกตอย่างไร เสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า
นอนหลับยาก หลับๆ ตื่น ๆ ตื่นกลางดึก ตื่นเช้ามืด หรือบางรายง่วง เพลียอยากนอนทั้งวัน
กระสับกระส่าย หงุดหงิดง่าย
รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ทำอะไรช้าลง
ความจำแย่ลงเรื่อยๆ สมาธิสั้น
เศร้า หรือเบื่ออะไรได้ง่าย
ไม่อยากทำสิ่งที่เคยทำหรือเคยชอบ
เบื่ออาหาร หรือบางคนรับประทานมากกว่าปกติ
รู้สึกเป็นคนไร้ค่า
รู้สึกอยากทำร้ายตัวเอง หรือไม่รักตัวเอง จนอาจนำไปสู่ความคิดฆ่าตัวตาย
การรักษา โรคซึมเศร้า การรักษาโรคซึมเศร้า ต้องอาศัยบุคคลรอบข้างหรือคนในครอบครัวร่วมเป็นแรงผลักดันและเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยเข้ามารักษาเร็วขึ้น โดยสามารถพูดคุยหรือขอคำปรึกษากับแพทย์ได้ เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยการทำจิตบำบัด ร่วมกับการใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าอย่างต่อเนื่อง สามารถช่วยให้อาการที่เป็นอยู่ดีขึ้นเป็นลำดับ รวมทั้งการออกกำลังกาย ทำกิจกรรมเพื่อคลายเครียด คลายกังวล เพื่อช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติ จำไว้ง่ายๆว่า ยิ่งเข้าใจและรู้ตัวและรักษาได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะทำให้หายจากโรคนี้ได้เร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น และส่วนสำคัญ คือ กำลังใจจากคนรอบข้างนั้นก็ถือเป็นยาขนานเอกเช่นกัน... หวยหุ้นดาวโจนส์
0 notes
Video
youtube
Alertide (อเลอไทด์) อาหารเสริมบํารุงสมองและระบบประสาท ถูกพัฒนาสูตรมาจากดีเบรม ช่วยบำรุงสมองและเส้นประสาท ช่วยในเรื่องของความจำให้ทำงานได้ดีขึ้น พร้อมสารอาหารบำรุงร่างกายถึง 10 ชนิด ทำให้สดชื่นแจ่มใส มีสุขภาพดี ถ้าคุณมีปัญหา ความจำระยะสั้น จำไม่ได้ เด็กสมาธิสั้น ไม่อยู่เฉย สมองเสื่อม ขี้หลง ขี้ลืม กังวล เครียด นอนหลับยาก อเลอไทด์ช่วยคุณได้ จากส่วนประกอบที่ถูกคัดสรรค์ จากกระบวนการวิทยาศาสตร์ มาเป็นสุดยอดอาหารเสริมบำรุงสมอง ที่ช่วยเหลือคุณและคนที่คุณรักได้
#คุณประโยชน์ ช่วยในการบำรุงสมอง ช่วยเรื่องความจำ และการเรียนรู้ การสร้างความจำ รกษาความจำ รวมถึงช่วยฟื้นฟูเซลล์สมองที่เสียหาย หรือเสื่อมสภาพให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ขึ้น ส่วนประกอบสำคัญ 1.สารสกัดจากพืชพรมมิ (Bacopa Monnieri Extract) : ซึ่งมีสาร Saponins : BACOSIDE A&B 20% ที่จะช่วยการชะลอการเสื่อมของเซลล์สมอง มีผลกระตุ้นความจำและการเรียนรู้ ช่วยให้เด็กมีการพัฒนาสมองและสติปัญญาในการเรียนรู้ที่ดีขึ้นและยังมีฤทธิในการป้องกันการถูกทำลายของเซลล์ประสาท ยับยั้งเอ็นไซม์ Acethyl choline ซึ่งสามารถป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในกลุ่มผู้สูงอายุได้อีกด้วย 2.โปรตีนจากถั่วเหลือง (Soy Protein Isolate) : ช่วยให้เพิ่มสมรรถภาพให้สารสื่อประสาท ทำงานได้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ช่วยทำให้สมองตื่นตัวและสามารถเรียนรู้ได้ดีขึ้น 3.โคลีน ไบทาเทรต (Choline Bitartrate) : เป็นสารตั้งต้นในการสร้างสารสื่อประสาท Acetylcholine(อเซธิลคลอรีน) ซึ่งมีหน้าที่ในการกระตุ้นความจำของสมอง 4.น้ำมันปลา (Fish Oil) : ประกอบด้วย กรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งแบ่งออกเป็น EPA และ DHA เป็นหลัก และกรดไขมันโอเมก้า6 ในAlertide(อเลอไทด์)จะเน้นเฉพาะน้ำมันปลาที่มีส่วนประกอบ DHA สูง ซึ่ง DHAนั้นมีส่วนสำคัญในการเพิ่มเยื่อไมอิลินในเส้นประสาท ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในการส่งกระแสไฟฟ้าในเซลล์ประสาทให้ดียิ่งขึ้น 5.แอล-ไทโรซีน (L-Tyrosine) : เป็นสารสื่อประสาทที่มีความสำคัญในระดับต้นๆ โดยจะกระตุ้นการทำงานของต่อมใต้สมอง กระตุ้นการหลั่ง โกรท ฮอร์โมน ช่วยทำให้อารมณ์ดี ผ่อนคลายความเครียด ฟื้นฟูความจำ 6.แอล-ธีอะนิน (L-Theanine) : เป็นกรดอะมีโน ที่มีส่วนช่วยในการจดจำโดยมีกลไกการทำงาน 2 ส่วน ได้แก่ >> 1.กระตุ้นการผลิตคลื่นสมองชนิด Alpha ซึ่งเป็นช่วงคลื่นสมองทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ เรียนรู้และจดจำได้อย่างรวดเร็ว >>2.ผลิตGABAกาบา สารอาหารที่ทำหน้าที่สื่อประสาทประเภทยับยั้ง โดย GABA จะทำหน้าที่ รักษาสมดุลเคมีในสมองที่ได้รับการกระตุ้นให้เข้าสู่ภาวะผ่อนคลายและนอนหลับสบาย 7.แอล-ซีสเทอีน (L-Cysteine) ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซ่อมแซม DNA 8.เบต้ากลูแคน.(Beta Glucan) : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในการป้องกันระบบประสาทและเซลล์สมองจากความเครียด 9.ทอรีน (Taurine) : ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทและสมอง มีผลดีต่อการทำงานของต่อมหมวกไต 10.วิตามิน บี1 บี6 บี12 (Vitamin B1,B6,B12) : สร้างพลังงาน สร้างสารสื่อประสาท เพิ่มเซโรโตนิน ส่งเสริมเรื่องความจำ
#สรรพคุณ ช่วยฟื้นฟูความจำและบำรุงสมอง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยทำลายและขจัดสารพิษจากตับ ต้านเซลล์มะเร็ง ลดความเสี่ยงของการเป็นโรค ช่วยส่งเสริมการทำงานของต่อมหมวกไต ต่อมใต้สมอง บำบัดรักษาการอักเสบของเส้นประสาทในสมอง ช่วยบำรุงประสาทและสมอง ช่วยเพิ่มความจำและความสามารถในการเรียนรู้ ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในเม็ดเลือดขาว ช่วยกระตุ้นการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมน ช่วยแก้ไขอารมณ์ ซึมเศร้า ช่วยคลายเครียด ช่วยฟื้นฟูความจำ ช่วยป้องกันสมองและตับ จากการถูกทำลายจากการดื่มแอลกอฮอล์ ยา และสูบบุหรี่ ช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้สมาธิดีขึ้น คิด��่านได้ดีขึ้น เพิ่มคุณภาพการหลับ ช่วยให้นอนหลับได้สนิทขึ้น ช่วยป้องกัน มะเร็งต่างๆ ลดอาการภูมิแพ้และไข้หวัด ช่วยให้มีสมาธิในการเรียน การทำงาน จดจ่อกับสิ่งนั้นๆได้นานยิ่งขึ้น #เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการบำรุงดูแลสมอง ผู้ที่มีอาการสมาธิสั้น จำยาก ลืมง่าย ผู้ที่อยู่ในวัยศึกษา เล่าเรียน ผลการเรียนไม่ดี วัยทำงานซึ่งใช้สมองเยอะ แก้ปัญหา สมองล้าบ่อยๆ ผู้ที่วิตกกังวัล เครียด ผู้ป่วยความจำเสื่อม หรือเสื่อมจากอายุที่มากขึ้น ผู้ป่วย อัลไซเมอร์ สูญเสียความทรงจำ ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ สมองเบลอ ไม่ปลอดโปร่ง ทานได้ทุกเพศ ทุกวัย
🎊สอบถาม, สั่งซื้อ, สนใจทักมาเลยจ๊ะ🎊 . #เทคนิคบำรุงสมอง #alertide #ดีเบรม #Dbraime #สมอง #ความจำเสื่อม #อัลไซเมอร์ #สมาธิสั้น #เห็นผลลัพธ์ #รับสมัครตัวแทนจำหน่าย สั่งซื้อ วิตามินอเลอไทด์ ⬇️⬇️⬇️ โทร : 091-4266043 คุณเต๋า Add line : @hyo5711d
ไอดีไลน์ @hyo5711d มี @ ด้วยจ้า . สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
คลิ๊กเลยจ้า ------> https://lin.ee/tu5IJGM
หรือส่งสติ๊กเกอร์ทักทายมาได้เลยจ้าาาาาา . ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม : www.ready-alertide.com/ . #สั่งกับเต๋าไม่ต้องตรวจสอบของแท้ของปลอมให้เสียเวลาทุกออเดอร์ส่งจากบริษัท100% . #รับสมัครตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศนะจ๊ะ 😊
#อเลอไทด์ alertide ดีเบรม Dbraime สมอง ความจำเสื่อม อัลไซเมอร์ สมาธิสั้น เห็นผลลัพธ์ รับสมัครตัวแทนจ
0 notes
Text
เคล็ดลับสุขภาพดี แค่ “เศร้า” VS “ซึมเศร้า” แตกต่างกันอย่างไร ?
ในปัจจุบันเราได้เรียนรู้ และทำความรู้จักกับโรคซึมเศร้ากันมากขึ้นพอสมควร ทำให้เราเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วสาเหตุ หรืออาการของคนรอบข้างเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้ากันเยอะมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่เราอาจไม่เคยรู้ ไม่เคยสังเกต คิดว่าเขาแค่มีอารมณ์เศร้าเฉย ๆ
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรา หรือคนรอบข้างของเรา แค่มีอารมณ์เศร้าชั่วคราว หรือเสี่ยงโรคซึมเศร้า เรามีข้อมูลจาก อ. นพ. ชาวิท ตันวีระชัยสกุล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มาฝากกัน
แค่ “เศร้า” VS “ซึมเศร้า” แตกต่างกันอย่างไร ?
เราสามารถแยกอาการของคนที่มีอาการเศร้า กับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้ด้วยการสังเกตอาการความเศร้าปกติ กับโรคซึมเศร้า ด้วยการแยกความแตกต่างของอาการได้ ดังนี้
อารมณ์เศร้าปกติ
ความรุนแรง
ความเศร้าไม่รุนแรง มีอาการร่วมเพียงไม่กี่อย่าง และเป็นเพียงเล็กน้อย เช่น
นอนหลับยาก
เสียสมาธิเล็กน้อย
ไม่อ��ากอาหาร แต่น้ำหนักไม่ลด
ระยะเวลา
มักเป็นอยู่ไม่นาน หรือมีช่วงที่เศร้ามาก ๆ ไม่กี่วัน
การทำกิจกรรมที่สำคัญ
ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติดีพอสมควร แม้คุณภาพจะลดลงไปบ้าง เช่น ไปทำงานได้ รวมถึงการดูแลตัวเอง เช่น อาบน้ำ กินข้า��ได้ตามปกติ
โรคซึมเศร้า
ความรุนแรง
ความเศร้ามักอยู่ด้วยเกือบตลอดเวลา เกือบทุกวัน มีอาการร่วมด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น
น้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ
นอนไม่หลับ
ไม่มีสมาธิ ตัดสินใจไม่ได้
รู้สึกผิดมากเกินควร
มีความคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ อยากฆ่าตัวตาย
ระยะเวลา
มักมีอาการเศร้าต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ (อย่างน้อย 2 สัปดาห์)
การทำกิจกรรมที่สำคัญ
ความเศร้าทำให้มีปัญหากับการเรียน การทำงาน หรือการดูแลตัวเอง
หากมีอาการเข้าได้กับโรคซึมเศร้า หรือเศร้าปกติแต่เป็นอยู่นานเกิน 2-3 เดือน ควรเข้ารับคำแนะนำจากแพทย์เพื่อปรึกษา หาทางแก้ไข และหากมีความคิดอยากฆ่าตัวตายแม้ในช่วงเวลาไม่กี่วัน ควรไปพบแพทย์ทันที
0 notes
Text
“โรคภูมิแพ้อากาศ” รู้สาเหตุ-อาการ รักษาถูกวิธี อาการดีขึ้นชัวร์
“โรคภูมิแพ้กำเริบจนทนไม่ได้ หมอก็ขอให้หนีจากกรุงเทพไป ที่เลือกมาจังหวัดนี้ เพราะเห็นว่าอากาศดีกว่าที่ใด” โรคภูมิแพ้อากาศเป็นโรคหนึ่งที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจและมีความไวต่อสภาพอากาศอย่างยิ่ง ดังนั้นใครที่คิดว่าโรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรงแล้วจะปล่อยไว้เฉยๆ ควรเปลี่ยนความคิดเสียใหม่
โรคภูมิแพ้อากาศ คือ?
โรคภูมิแพ้อากาศ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “จมูกอักเสบจากภูมิแพ้” (Allergic Rhinitis) คือ การอักเสบของเนื้อเยื่อจมูกเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ฝุ่นละออง ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ แมลงสาบ ควันบุหรี่ เป็นต้น ซึ่งมักทำให้ผู้ป่วยมีอาการจาม คัดจมูก คันจมูก น้ำมูกไหล และเจ็บคอ โรคนี้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่หากเกิดร่วมกับหอบหืดหรือมีอาการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการที่แย่ลงเรื่อยๆ ได้
สาเหตุของโรคภูมิแพ้อากาศ
โรคภูมิแพ้อากาศเกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อจมูก หู ตา ไซนัส และลำคอ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารก่อภูมิแพ้ เพื่อกำจัดสารก่อภูมิแพ้ในอากาศออกจากร่างกาย โรคนี้แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
ภูมิแพ้อากาศที่เป็นเฉพาะฤดูกาล (Seasonal Allergic Rhinitis) ภูมิแพ้ชนิดนี้ทำให้สารก่อภูมิแพ้เกิดขึ้นหรือกระจายในอากาศเพิ่มขึ้นในบางฤดูกาล เช่น ภูมิแพ้เกสรดอกไม้
ภูมิแพ้อากาศที่เป็นตลอดทั้งปี (Perennial Allergic Rhinitis) ผู้ป่วยจะได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายได้จากสภาพแวดล้อมทั่วไป เช่น ภูมิแพ้ไรฝุ่น เชื้อรา หรือแมลงสาบ เป็นต้น
นอกจากนี้ผู้ที่มีคนในครอบครัวเคยเป็นภูมิแพ้หรือเป็นหอบหืดจะเสี่ยงเป็นโรคนี้สูงขึ้น รวมทั้งวัยเด็กอาจเสี่ยงต่อการเป็นภูมิแพ้อากาศสูงกว่าวัยผู้ใหญ่ และเด็กผู้ชายก็มีความเสี่ยงสูงกว่าเด็กผู้หญิง โดยอายุเฉลี่ยจะเริ่มที่ประมาณ 8 – 11 ปี และยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจกระตุ้นให้อาการของโรคแย่ลง ได้แก่
1. การได้รับควันบุหรี่ สารเคมี ควัน หรือมลพิษในอากาศ 2. อยู่ในที่ที่มีอากาศเย็น มีความชื้น หรือมีลมพัด 3. การได้รับสเปรย์แต่งผม หรือน้ำหอมที่มีกลิ่นฉุน
อาการของโรคภูมิแพ้อากาศ
อาการของโรคภูมิแพ้โดยทั่วไปมักไม่ค่อยแตกต่างจากอาการของโรคหวัดธรรมดา ซึ่งอาการของโรคภูมิแพ้อากาศจะมี ดังนี้
มีอาการจาม ไอ หรือรู้สึกเจ็บคอ
รู้สึกคันจมูก ปาก หู ตา ผิวหนัง หรือบริเวณอื่นๆ
มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล มีเสมหะ และไม่รับรู้กลิ่น
ปวดศีรษ��
ปวดหูหรือหูอื้อ
น้ำตาไหล ตาแดง ตาบวม หรือขอบตาคล้ำ
รู้สึกอ่อนเพลีย ง่วงซึม รู้สึกไม่สบายตัว หรือหงุดหงิดง่าย
ผิวหนังแห้งและคันคล้ายเป็นผื่นผิวหนังอักเสบ หรือเป็นลมพิษ
โดยปกติผู้ป่วยมักจะจาม คัดจมูก คันจมูก และมีน้ำมูกไหลทันทีเมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ แต่บางอาการมักเกิดขึ้นเมื่อสัมผัสกับสารดังกล่าวเป็นเวลานานๆ หรือในปริมาณมาก อาการป่วยจะไม่รุนแรง ยกเว้นบางรายที่มีอาการแพ้รุนแรงอยู่แล้วซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นหากมีสัญญาณของอาการแพ้รุนแรง เช่น กระสับกระส่าย สับสน ผิวหนังเป็นผื่นคัน หน้าบวม ชีพจรเต้นเบา หอบ พูดไม่ชัด และช็อก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
ภาวะแทรกซ้อนของโรคภูมิแพ้อากาศ
นอกจากอาการของโรคภูมิแพ้อากาศที่ผู้ป่วยจะต้องประสบแล้วนั้น ผู้ป่วยอาจจะต้องประสบกับภาวะแทรกซ้อนของโรคภูมิแพ้อากาศด้วยซึ่งมีอาการ ดังนี้
1. หอบหืดกำเริบ หรือมีอาการของภูมิแพ้และหอบหืดแย่ลง 2. เยื่อบุตาอักเสบ 3. มีอาการไซนัสอักเสบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง 4. หูชั้นกลางอักเสบ หรือท่อยูสเตเชียนซึ่งเป็นท่อที่เชื่อมต่อระหว่างหูชั้นกลางกับโพรงหลังจมูกทำงานผิดปกติ 5. ปวดศีรษะบ่อยๆ 6. ฟันสบลึกจากการหายใจทางปากเป็นเวลานานๆ 7. มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน เช่น นอนหลับยาก ตื่นกลางดึกบ่อยๆ หรือหยุดหายใจขณะนอนหลับ
การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้อากาศ
แพทย์จะวินิจฉัยผู้ป่วยจากประวัติทางการแพทย์และการตรวจร่างกาย โดยอาจตรวจเลือดหรือวิเคราะห์ภาพถ่ายรังสีเพิ่มเติมในบางราย โดยมีการตรวจวินิจฉัย ดังนี้
1. การตรวจจมูก โดยผู้ป่วยอาจมีรอยย่นในแนวนอนบริเวณกลางจมูก มีน้ำมูก และผนังกลางจมูกเอียงหรือทะลุ
2. การตรวจหู ตา และคอ โดยผู้ป่วยอาจมีเยื่อแก้วหูผิดปกติ มีเยื่อบุตาบวมแดง มีน้ำตามาก มีรอยย่นที่ใต้หนังตาล่าง และมีรอยคล้ำใต้ตา
3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยแพทย์อาจทดสอบภูมิแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้บนผิวหนัง และอาจตรวจเลือดวัดปริมาณเม็ดเลือดขาวอีโอซิโนฟิลและอิมมูโนโกลบูลิน อี ซึ่งเป็นสารภูมิต้านทานที่ตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ในเลือด
การรักษาโรคภูมิแพ้อากาศ
ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้อากาศควรดูแลตัวเองและหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ รวมทั้งควรไปปรึกษาแพทย์ ซึ่งการรักษาส่วนใหญ่อาจใช้ยาดังนี้
1. ยาต้านฮิสตามีน เช่น ลอราทาดีน เซทิริซีน เฟ็กโซเฟนาดีน ไดเฟนไฮดรามีน เด็สลอราทาดีน ลี และโวเซทิริซีน เป็นต้น โดยจะใช้ยาในกลุ่มนี้เพื่อลดการหลั่งสารฮิสตามีนซึ่งทำให้เกิดอาการแพ้ โดยผู้ป่วยควรระมัดระวังผลข้างเคียงของยา โดยเฉพาะอาการง่วงนอนหลังจากการใช้ยา
2. ยาลดน้ำมูก เช่น ออกซีเมทาโซลีน ซูโดเอฟีดรีน จะใช้ยาในกลุ่มนี้เพื่อลดอาการคัดจมูกและลดความดันที่ไซนัส หากมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นโรคหลอดเลือดสมอง มีภาวะวิตกกังวล ความดันโลหิตสูง หรือกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
3. ยาหยอดตาและยาพ่นจมูก จะใช้ยาในกลุ่มนี้เพื่อลดการอักเสบและลดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่มากเกินไป โดยการเลือกชนิดของยาหยอดตาและยาพ่นจมูก รวมทั้งระยะเวลาในการใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด
4. ยายับยั้งลูโคไตรอีน จะใช้ยานี้ในการยับยั้งสารลูโคไตรอีนที่ร่างกายหลั่งออกมา เมื่อเกิดการอักเสบซึ่งกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้
5. วัคซีนภูมิแพ้ โดยแพทย์จะฉีดสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายหรือให้ผู้ป่วยอมยาจนกว่าผู้ป่วยจะมีอาการแพ้ที่ทุเลาลงหรือหายขาด ซึ่งแพทย์จะใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล ทั้งนี้ต้องระวังอาการแพ้รุนแรงที่อาจเกิดขึ้นด้วย ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรปรึกษาแพทย์ให้ดีก่อนรับการรักษานี้
การป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้อากาศ
วิธีการป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้อากาศที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ในอากาศนอกจากนี้ผู้ป่วยภูมิแพ้อากาศควรดูตัวเองด้วยวิธีต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. ดูแลสุขลักษณะภายในบ้านให้สะอาด เช่น ทำความสะอาดพื้นด้วยการถู ซึ่งดีกว่าการกวาดที่ทำให้ฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย หรืออาจใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีแผ่นกรองประสิทธิภาพสูงแทนการกวาด และควรซัก เครื่องนอนในน้ำร้อนทุกสัปดาห์ เป็นต้น
2. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีการฟุ้งกระจายของเกสรดอกไม้ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรอาบน้ำทันที หลังกลับเข้าบ้าน
3. หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยง หากมีสัตว์เลี้ยงต้องทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ ล้างมือและซักเสื้อผ้าทันทีหลังจากสัมผัสกับสัตว์เลี้ยง และไม่นำสัตว์เลี้ยงขึ้นเตียงนอน
4. หากเดินทางด้วยรถยนต์ควรปิดกระจกให้สนิท หรือหากเดินทางด้วยรถจักรยานหรือรถจักรยานยนต์ควรสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ
5. รับประทานยาต้านฮิสตามีนตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันอาการภูมิแพ้กำเริบ
สมุนไพรรักษาโรคภูมิแพ้อากาศ
โดยส่วนใหญ่แล้วสมุนไพรที่นำมาใช้ในการรักษาโรคภูมิแพ้อากาศจะมีสรรพคุณช่วยยับยั้งการอักเสบของจมูก ช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก แก้น้ำมูกไหล และบรรเทาอาการเจ็บคอ ซึ่งมีสมุนไพรดังต่อไปนี้
1. ฟ้าทะลายโจร โดยใช้ใบและกิ่งของฟ้าทะลายโจรมาตากแห้งแล้วบดเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นเม็ดลูกกลอน รับประทานทานเช้า – เย็น จะช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก และแก้เจ็บคอได้
2. หอมแดง ใช้หอมแดงประมาณ 4 – 5 หัว ทุบพอแตกต้มกับน้ำ 1 ลิตร พอเดือดก็ยกลง สูดไอระเหยเข้าทางจมูกประมาณ 5 – 10 นาที จะช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก ทำให้���ู้สึกโล่งจมูก
3. ตะไคร้ ใช้ตะไคร้ประมาณ 3 – 4 ต้น ทุบพอแตก ต้มกับน้ำ 1 ลิตร นำมาจิบไปเรื่อยๆ จะช่วยลดอาการน้ำมูกไหล และช่วยให้หายใจได้สะดวกขึ้น
4. กระเทียม นำกระเทียมประมาณ 6 – 7 กลีบ มารับประทานสดๆ พร้อมกับมื้ออาหาร จะช่วยแก้คัดจมูก และช่วยบรรเทาอาการหลอดลมอักเสบได้
5. ขิง โดยนำขิงแก่ 1 หัว มาหั่นบางๆ ต้มกับน้ำ 1 ลิตร แล้วนำมาจิบเรื่อยๆ ขณะยังอุ่น จะช่วยลดน้ำมูกได้ดี และช่วยให้หายใจโล่งมากขึ้น
6. หญ้าใต้ใบ ใช้ต้นหญ้าใต้ใบสดประมาณ 3 – 4 ต้น หั่นเป็นท่อนๆ ต้มกับน้ำ 1 ลิตร กรองด้วยผ้าขาวบาง นำมาดื่มเช้า – เย็น จะช่วยให้น้ำมูกแห้ง และทำให้หายใจได้โล่งมากขึ้น
ได้รู้ถึงสาเหตุ อาการ และวิธีดูแลรักษาโรคภูมิแพ้อากาศกันไปแล้ว...จะเห็นว่าจากอาการป่วยเพียงเล็กน้อยอาจกลายเป็นเรื่องลุกลามใหญ่โตได้ หากไม่ได้รับการรักษาหรือการดูแลตัวเองที่ถูกต้องตั้งแต่แรกๆ ดังนั้นไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรก็ตามหากรู้ตั้งแต่เนิ่นๆ และรีบรักษาให้ถูกต้อง โรคที่เป็นก็จะไม่รุนแรงและสามารถหายได้
0 notes