Tumgik
#แสดงธรรม
smaneekaov-blog · 5 months
Text
คุณพระรัตนตรัย ได้แค่เพียงบูชา ชดใช้ไม่แล้ว ถ่ายทอด เช้าวันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ท่านอาจารย์ เกษม ดวงแพงมาต (ที่พักสงฆ์ป่าสามแยก) ให้บุญนี้แก่ทุกสัตว์ที่สุนัขชื่อ"โปรด "เพศเมีย ที่ข้าพฯเลี้ยงอยู่ ได้เคยทำอันตรายเบียดเบียนกันไว้ในกาลก่อน ขอได้รับบุญนี้ จงมีสุข ปลอดภัย ข้าพฯขอขมาขออภัย ถึงทุกสัตว์นั้นในกาลนี้
#คุณพระรัตนตรัย #บูชาคุณพระรัตนตรัย #ชดใช้ไม่แล้ว
#บิดามารดาไม่ใช่ศาสดา #พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
#พระรัตนตรัยสำคัญตลอด #บิดามารดาเทียบพระอรหันต์ไม่เท่าสงฆ์
#แสดงธรรม #บิดามารดาพาไปนิพพานไม่ได้ #อาจารย์สอนให้นับถือพระรัตนตรัย #เกษม # ดวงแพงมาต# ที่พักสงฆ์ป่าสามแยก #วังกวาง #น้ำหนาว #เพชรบูรณ์
0 notes
smanee-blog · 6 months
Text
นัดหมายการแสดงธรรมในคืนวันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม 2566 การแสดงธรรมวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2566 ท่านอาจารย์ เกษม ดวงแพงมาต (ที่พักสงฆ์ป่าสามแยก)
นัดหมาย
แสดงธรรม
แนวธรรม
แนวโลก
ให้บุญแก่ทุกสัตว์ที่ตัวข้าพฯ และสุนัขชื่อ"เปา"ที่เลี้ยงอยู่ ได้เคยร่วมกันทำอันตรายไว้ในกาลก่อน ขอได้รับบุญนี้ จงมีสุข ตัวข้าพฯ ขอขมา ขออภัย ถึงทุกสัตว์นั้นในกาลนี้
0 notes
outsider180 · 4 years
Text
Please click to read the cute story in my blog . 😊
0 notes
narin032 · 5 years
Photo
Tumblr media
“สิ่งที่เธอเลือก คือสิ่งที่กำหนดชีวิตของเธอ” คติธรรมโดย พระอาจารย์ซุนยะ ธัมมะปิยะ แสดงธรรม ณ วัดฉางเกลือ 27-12-2562 “Your choice is your life” Dhamma motto by Ashin Sunnya Dhammapiya 27 -12-2019 Changklue temple https://www.instagram.com/p/B6k0vrKBG57/?igshid=ru2ic1rq58pc
0 notes
toarun4u · 5 years
Text
เทศนาครั้งสุดท้าย คนเรือนหมื่น แห่สาธุ กราบไหว้ ครูบาบุญชุ่ม แสดงธรรม ก่อนเข้าถ้ำนาน 3 ปี
http://dlvr.it/QwrM0R
0 notes
infinitythailand · 6 years
Photo
Tumblr media
08/07/2561 #พระภิกษุสงฆ์ ยืนให้พรเป็นอาบัติ พระที่ท่านเดินบิณฑบาต เมื่อคฤหัสถ์ถวายอาหารเสร็จแล้วให้พร คือ การแสดงธรรมแต่มุ่งแสดงธรรมเพื่อประจบ เพื่อให้ตระกูลรักไม่ถูกต้อง และแม้แสดงธรรม (ให้พร) คือ การกล่าวอนุโมทนากถา แสดงธรรม การเคารพธรรมเป็นสิ่งที่สมควรเพราะพระธรรมเป็นสิ่งที่เลิศ การแสดงธรรมจึงต้องอยู่ในอิริยาบถที่สมควรสำหรับผู้แสดงและผู้ที่ฟังครับ ดังนั้น การที่พระท่านยืนให้พร แสดงธรรม แต่ผู้ฟังนั่งรับพร หรือ ฟังพระธรรม ขณะนั้นพระภิกษุชื่อว่าไม่เคารพพระธรรม เพราะพระภิกษุอยู่ในอิริยาบถที่สูงกว่า สบายกว่า ไม่ควรแสดงธรรมกับบุคคลที่มีอิริยาบถต่ำกว่า คือ คนที่ถวายบิณฑบาตนั่ง แต่พระภิกษุยืนแสดงธรรมในขณะนั้น เท่ากับว่าพระภิกษุรูปนั้นไม่เคารพธรรม ต้องอาบัติทุกกฎที่แสดงธรรมในขณะนั้นครับ แต่ถ้าท่านให้พรแสดงธรรมอยู่ เรายืนฟังพระธรรมในขณะนั้นท่านไม่ต้องอาบัติทุกกฎในเรื่องการไม่เคารพธรรมครับ เพราะอยู่ในอิริยาบถที่สมควรแล้วทั้งสองฝ่ายในการแสดงและฟังพระธรรมครับ ปาทุกาวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ [๘๗๓] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์(กลุ่มภิกษุไม่ดี)ยืนแสดงธรรมแก่บุคคลผู้นั่งอยู่. . . #บอกบุญฟรี ขอเชิญผู้ที่พบเห็นข้อความนี้ ร่วมอนุโมทนาบุญ อุปฐากพระเช้านี้ ร่วมกันนะครับ ขอบุญกุศล ที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วนี้ จงสำเร็จแก่ท้าวจัตุมหาราชทั้งสี่ ทวยเทพเทวดาที่สถิตเป็นใหญ่ อยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ และสถานที่ข้าพเจ้าอยู่อาศัย และเทวดาทั้งหลาย เจ้าที่พี่สาว จงสำเร็จแก่ คุณตาอัมพร ปุ่นนอก คุณยายลัดดา ปุ่นนอก คุณแม่ชฏาภา ปุ่นนอก นายประพิน ปุ่นนอก ดญ.จันทนา นามหาไชย ดญ.เอวา นามหาไชย คุณพ่อสร้อย ชะนังกลาง คุณยายไหลมา ปัญญาแก้ว นส.พัฒนรัตน์ สุขเจริญ นางอัมภิกา สุขเจริญ ดช.ทรงพระเจริญ และบิดามารดาครูบาอาจารย์ ปูย่าตายาย ญาติสนิทมิตรสหาย ทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ และญาติทั้งหลาย จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ท้าวพยายมราช เปรตทั้งหลาย และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีส่วนในบุญกุศล ที่ข้าพเจ้าได้กระทำในแล้วนั้นด้วยเทอญฯ
0 notes
60thumma-blog · 7 years
Photo
Tumblr media
ไม่รู้จะทำอะไรนะ หายใจไว้ เพราะเราหายใจอยู่แล้ว อย่าหายใจทิ้ง กรรมฐานหายใจเนี่ย(อานาปานสติภาวนา) มีสติรู้การหายใจ เป็นกรรมฐานกลางๆ ใช้ได้สำหรับทุกจริตนิสัย เนี่ยอานาปานสติ ถ้าทำถูกต้อง มันจะแปรสภาพเป็น "อานาปานสติสมาธิ" (อานาปานสติสมาธิภาวนา) พระพุทธเจ้าท่านเคยสอนนะ บอก อานาปานสติสมาธิเนี่ย อันบุคคลเจริญให้มากเนี่ย เจริญให้มาก เจริญบ่อยๆ จะทำให้สติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ อันบุคคลเจริญ แล้วก็ทำให้มาก มันจะทำให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ และโพชฌงค์ ๗ อันบุคคลเจริญ และทำให้มาก จะทำให้วิชชา และวิมุตติ บริบูรณ์ . เราไม่รู้ว่า มันจะไปเต็มบริบูรณ์เมื่อไหร่ หน้าที่เราทำให้เจริญ เจริญอยู่เรื่อยๆ เจริญสตินี่แหละ ทำให้มาก นานๆ เจริญทีนึงก็ไม่เจริญหรอก งั้นเรามีเวลานิดๆ หน่อยๆ อย่างเราเป็นฆราวาสเนี่ย ไม่ได้มีเวลาทั้งวันแบบพระ ระบบของพระเนี่ย สร้างขึ้นมาเกื้อกูลกับการปฏิบัติมากที่สุด พระเนี่ย ตั้งแต่เช้ามืดนะ ตื่นมาไหว้พระสวดมนต์ ทำสมาธิ เดินจงกรม อะไรก็ทำไป ถึงเวลาก็ออกไปบิณฑบาต บิณฑบาต ก็ไม่ได้แปลว่าไม่ปฏิบัติ ทุกก้าว รู้สึก ทุกก้าวที่เดินไป รู้สึก รู้สึกตัว รู้สึกกาย ถ้าใช้อานาปานสติ ก็คืิอ ก้าวไป ก็ยังหายใจ ยังรู้สึกอยู่อีก หายใจออก-หายใจเข้า มันหายใจทั้งวันอยู่แล้ว เวลาฉันข้าว บางวันได้อาหารไม่ถูกปาก อาหารไม่ถูกปาก คือได้บาตรเปล่าๆกลับมา ไม่มีอาหาร อาหารเลยไม่ถูกปาก บางวันอาหารไม่ถูกใจ มีอาหาร แต่มันไม่อร่อยอย่างที่ใจอยาก ใจไม่มีความสุข เจริญสติอยู่ ก็เห็นใจไม่มีความสุข ได้ของที่ชอบใจ ก็ดีใจ มีความสุข ก็เห็นอีก จิตใจมีความสุข เนี่ยจะทำอะไรนี่นะ ในชีวิตพระจริงๆ เป็นระบบที่ถูกสร้างขึ้นมา ให้เกื้อกูลกับการปฏิบัติมากที่สุดเลย เพราะไม่ต้องไปคิดเรื่องทำมาหากิน การคิดเรื่องทำมาหากินเนี่ย เอาเวลาเราไปเกือบหมดชีวิตเลย โดยเฉพาะ คนที่กินไม่เลิก รวยเท่าไหร่ๆ ก็ไม่พอ พวกนี้ไม่มีเวลาเหลือ ที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิต . นี้ถ้าเราต้องทำงาน ก็ทำไป ช่วงไหนมีเวลา นาที สองนาทีนะ เก็บให้หมดเลย ทำอะไรไม่ได้ ก็หายใจไปด้วยความมีสติ มีจิตตั้งมั่น เห็นร่างกายหายใจอยู่นะ เนี่ยการที่เรามีจิตตั้งมั่น เห็นร่างกายหายใจอยู่ ไม่ใช่ไปจ้องลมหายใจนะ คนละแบบกัน . อานาปานสติ ก็มีหลายแบบ แบบหนึ่ง เราเอา(จิต)ไปจ้องอยู่ที่ตัวลมหายใจ จนลมหายใจระงับ กลายเป็นแสง ลมหายใจนี้เรียกว่า บริกรรมนิมิต พอเป็นแสง ก็เรียกว่า อุคคหนิมิต ในที่สุดก็เล่นได้นะ กำหนดได้ ย่อได้ ขยายได้ นี่เรียกปฏิภาคนิมิต ตรงนี้ได้อุปจารสมาธิ ตรงที่จิตตรึกอยู่กับแสง เรียกว่า มีวิตกนะ เป็นวิตก จิตเคล้าเคลียอยู่กับแสง เรียกว่าวิจารณ์ มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง ไม่วอกแวกไปไหน จิตเข้าปฐมฌาน เส้นทางนี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อสติปัฏฐานนะ เส้นทางนี้ เป็นไปเพื่อสมาธิสงบ(อารัมมณูปนิชฌาน) หรือจะมีฤทธิ์มีเดชน์ อย่างรู้ลมหายใจ นี่คือกสิณลม จากกสิณลม เข้าไปรู้รูจมูก เป็นกสิณช่องว่าง อากาสกสิณตรงเนี้ย จนมันเป็นแสง แล้วไปดูแสงสว่างนะ ตรงนี้ไปรู้แสง เล่นแสงได้ กสิณทั้งหมดแหละ ลงท้ายมันจะเป็นแสง (กสิณ)ทั้งสิบอย่างลงท้ายกลายเป็นแสง แล้วคราวนี้จิตก็เลยเข้าฌาน พักอยู่เฉยๆ ไม่ได้เป็นไปเพื่อการเจริญสติปัฏฐาน ๔ . "... นี้อานาปานสติ ที่เป็นไปเพื่อการเจริญสติปัฏฐาน ๔ เนี่ย หายใจออก ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นคนดู เห็นร่างกายหายใจออก จิตตั้งมั่นเป็นคนดูอยู่นะ อย่างเนี้ย ฝึกไปเรื่อยๆ มันจะเริ่มเห็นว่า กายอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง เริ่มแยก(แยกรูปนาม) มันจะเห็นว่า กายเนี้ย ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นได้ แล้วก็เห็นจิต ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อะไรอย่างนี้เห็นได้ ตรงที่เรามีสติเห็นกายหายใจอยู่ นี่เรียกเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีจิตเป็นคนดู . นี้พอรู้ไป เรื่อย เรื่อย เรื่อยนะ จิตจะมีความสุขขึ้นมา เราไปมีสติรู้ความสุข หายใจออก มีความสุข ก็รู้ หายใจเข้า มีความสุข ก็รู้ จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ดูอยู่ นี่เรียกว่า ทำเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน แล้วก็ เจริญอานาปานสติสมาธิที่ถูกต้อง มันจะเห็นสติปัฏฐาน งั้นท่านใช้คำดีนะ ใช้คำว่า "อานาปานสติสมาธิ" เป็นสมาธิที่เกิดจากการทำอานาปานสติ เป็นสมาธิที่ถูกด้วย ไม่ใช่สมาธิแบบฤาษี สว่าง สว่างไปเฉยๆ . พอจิตมีความสุขเนี่ย เราจะเห็นมีความพอใจแทรกเข้ามา มีความพอใจแทรกเข้ามา พอจิตมันมีความสุขขึ้นมา ก็เกิดความพอใจ เรามีสติรู้ทันความพอใจนั้นนะ พอเรามีสติรู้ทันความพอใจ เรากำลังเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานอยู่ รู้ทันความปรุงแต่งของจิตนะ ซึ่งมันปรุงดีบ้าง ปรุงชั่วบ้าง อันนี้ปรุงโลภะขึ้นมา ชอบ ชอบอกชอบใจในความสุข ต่อไป เราก็จะเห็นอีกนะ ฝึกไปเรื่อยๆ เราจะเห็นว่า ทั้งรูปธรรม-ทั้งนามธรรมเนี่ย ไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายที่หายใจอยู่ ความรู้สึก สุข-ทุกข์ ความรู้สึกที่เป็นกิเลส อย่างความพอใจเนี่ย มันมีกิเลสอยู่ มันไม่ใช่ตัวเรา จิตที่เป็นคนไปรู้ ก็ไม่ใช่ตัวเรา อันเนี้ย เราขึ้นมาสู่ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน รู้ทั้งรูป-รู้ทั้งนาม . เพราะฉะนั้น การที่เราหายใจ แล้วเรามีสติรู้อยู่เรื่อยๆนะ จะทำให้สติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์ . การเจริญสติปัฏฐาน ๔ อยู่ ก็คือการมีสติ ก็คือการมีสติสัมโพชฌงค์ สติสัมโพชฌงค์ เป็นสติปัฏฐาน ไม่ใช่สติธรรมดา ไม่ใช่เดินแล้วไม่ตกถนน แล้วบอกว่า เจริญโพชฌงค์อยู่ ไม่ใช่นะ เพราะฉะนั้น เป็นสติปัฏฐาน การที่เราคอยเห็น ความเปลี่ยนแปลงของรูป-นาม/กาย-ใจ ไปเรื่อย เห็นความจริงของเค้าไปเรื่อยๆ ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา(ไตรลักษณ์) อันนี้เรียกว่า ธรรมวิจยะ ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ เนี่ยการที่เราเห็นไตรลักษณ์ไปเรื่อยนะ เราทำธรรมวิจยะ/วิจัยธรรมะนะ แล้วก็ทำไปเรื่อยๆ ไม่เลิก มีเวลาเมื่อไหร่ทำเมื่อนั้น ตลอดเวลาเลย นี้เรามีวิริยะอยู่ เมื่อไหร่มีสติ เมื่อนั้นมีวิริยะ/มีความเพียร เมื่อไหร่ขาดสติ เมื่อนั้นขาดวิริยะ งั้นวิริยะสัมโพชฌงค์ ไม่ใช่ขยันทำมาหากิน วิริยะสัมโพชฌงค์ ก็คือ ขยันเจริญสติปัฏฐานนั่นแหละ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน พอทำไปเรื่อยๆนะ จิตใจมันจะมีปีติ เป็นปีติของธรรมะ ไม่ใช่ปีติของสมาธิ เป็นปีติจากการเจริญธรรมะ อย่างบางที เราภาวนาไปแล้ว เราเกิดปัญญา เกิดความรู้ความเข้าใจ ในธรรมะบางอย่างขึ้นมา จิตจะเบิกบาน ใครเคยเป็นมั้ย ไม่ได้เข้าสมาธินะ แต่เกิดความเข้าใจขึ้นมาปุ๊ปเนี่ย พอเข้าใจปุ๊บนะ จิตเบิกบาน มีปีติขึ้นมาเลยนะ นี่เป็นปีติในโพชฌงค์นะ แล้วเราก็รู้ทัน มีสติรู้ทันอีก ปีติจะค่อยสงบระงับลง มีปัสสัทธิเกิดขึ้น/มีความสงบระงับเกิดขึ้น แล้วจิตก็จะมีสมาธิ คราวเนี้ย สมาธิตัวเนี้ย เกิดหลังจาก ที่ได้เจริญปัญญามาเต็มเหนี่ยวแล้ว เจริญปัญญาเต็มเหนี่ยวแล้ว จิตมีสมาธิอยู่ แล้วก็ จิตจะเข้าสู่อุเบกขา อุเบกขาด้วยปัญญา ไม่ใช่อุเบกขาธรรมดา เพราะว่า โพชฌงค์นี้ เป็นเรื่องของปัญญาทั้งนั้นเลย เรื่มตั้งแต่การมีสติ สติปัฏฐานนะ มันก็คือการเจริญสติ เจริญปัญญา แต่พอถึงธรรมวิจยะนี่ เรื่องปัญญาหมดแล้ว วิริยะก็คือ ขยันเจริญปัญญาอยู่ สุดท้ายจิตจะเข้าสู่อุเบกขา ตรงเนี้ย เป็นจุดสำคัญ ถ้าเราภาวนาแล้ว จิตไม่เกิดปัญญานะ ไม่ถึงอุเบกขานะ มรรคผลจะไม่มีทางเกิดเลย . เวลาที่จิตเกิดปัญญา ยกตัวอย่างเช่น เราหายใจไป จิตมีความสุข เราก็รู้ หายใจไป ความสุขหายไป เราก็รู้ หายใจไป จิตมีความทุกข์ เราก็รู้ หายใจไป ความทุกข์หายไป เราก็รู้ อย่างเนี้ย เราเห็นซ้ำๆ ทั้งสุข ทั้งทุกข์เนี่ย เกิดแล้วดับๆ เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก สุดท้ายปัญญามันปิ๊งขึ้นมานะว่า สุขกับทุกข์เท่าเทียมกัน สุขกับทุกข์เนี่ย เป็นของเท่าเทียมกันนะ ดีกับชั่ว ก็เท่าเทีบมกัน เพราะ เกิดแล้วดับเหมือนกัน เท่าเทียมกันในฐานะของไตรลักษณ์นะ ในมุมของไตรลักษณ์ เท่าเทียมกัน แต่ในทางจริยธรรมไม่เท่าเทียมกัน ดีกับชั่วเนี่ย จะมาเท่าเทียมกันในทางจริยธรรมไม่ได้ แต่ในทางที่เราเดินวิปัสสนาอยู่เนี่ย เท่าเทียมกันในกฎของไตรลักษณ์ เกิดแล้วดับๆ บังคับไม่ได้เหมือนๆกัน เนี่ยจิตมันเห็นความจริงนะ ว่าสุขกับทุกข์เนี่ย เท่าเทียมกัน งั้นเวลาที่���กิดสุขเนี่ย จิตไม่หลงดีใจ เวลาเกิดทุข์ จิตไม่หลงเสียใจ จิตเข้าสู่ความเป็นกลาง เป็นอุเบกขาแล้ว ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ตัวนี้สำคัญมากเลยนะ พอจิตเข้าสู่ความเป็นกลางเนี่ย จิตจะไม่ไปสร้างภพใหม่ จิตจะไม่สร้างภพขึ้นมา ถ้าจิตไม่เป็นกลาง ยังยินดี-ยังยินร้าย จะเกิดแรงผลัก แรงผลักให้จิตทำงานต่อไปอีก จิตจะสร้างภพ คือจิตจะทำงานต่อไปอีก _/|\_ _/|\_ _/|\_ #หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี แสดงธรรม ณ วัดสวนสันติธรรม 8 กรกฎาคม 2560 CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ 71 File: 600708A พระธรรมเทศนาระหว่างนาที 0:00--11:51 ดาวน์โหลดไฟล์เสียงธรรมะได้ที่ Dhamma.com ..... กราบคุณพระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสูง กราบพ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ .....
0 notes
myperformance-blog1 · 7 years
Text
ไม่รู้จะทำอะไรนะ หายใจไว้ เพราะเราหายใจอยู่แล้ว อย่าหายใจทิ้ง กรรมฐานหายใจเนี่ย(อานาปานสติภาวนา) มีสติรู้การหายใจ เป็นกรรมฐานกลางๆ ใช้ได้สำหรับทุกจริตนิสัย เนี่ยอานาปานสติ ถ้าทำถูกต้อง มันจะแปรสภาพเป็น "อานาปานสติสมาธิ" (อานาปานสติสมาธิภาวนา) พระพุทธเจ้าท่านเคยสอนนะ บอก อานาปานสติสมาธิเนี่ย อันบุคคลเจริญให้มากเนี่ย เจริญให้มาก เจริญบ่อยๆ จะทำให้สติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ อันบุคคลเจริญ แล้วก็ทำให้มาก มันจะทำให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ และโพชฌงค์ ๗ อันบุคคลเจริญ และทำให้มาก จะทำให้วิชชา และวิมุตติ บริบูรณ์ . เราไม่รู้ว่า มันจะไปเต็มบริบูรณ์เมื่อไหร่ หน้าที่เราทำให้เจริญ เจริญอยู่เรื่อยๆ เจริญสตินี่แหละ ทำให้มาก นานๆ เจริญทีนึงก็ไม่เจริญหรอก งั้นเรามีเวลานิดๆ หน่อยๆ อย่างเราเป็นฆราวาสเนี่ย ไม่ได้มีเวลาทั้งวันแบบพระ ระบบของพระเนี่ย สร้างขึ้นมาเกื้อกูลกับการปฏิบัติมากที่สุด พระเนี่ย ตั้งแต่เช้ามืดนะ ตื่นมาไหว้พระสวดมนต์ ทำสมาธิ เดินจงกรม อะไรก็ทำไป ถึงเวลาก็ออกไปบิณฑบาต บิณฑบาต ก็ไม่ได้แปลว่าไม่ปฏิบัติ ทุกก้าว รู้สึก ทุกก้าวที่เดินไป รู้สึก รู้สึกตัว รู้สึกกาย ถ้าใช้อานาปานสติ ก็คืิอ ก้าวไป ก็ยังหายใจ ยังรู้สึกอยู่อีก หายใจออก-หายใจเข้า มันหายใจทั้งวันอยู่แล้ว เวลาฉันข้าว บางวันได้อาหารไม่ถูกปาก อาหารไม่ถูกปาก คือได้บาตรเปล่าๆกลับมา ไม่มีอาหาร อาหารเลยไม่ถูกปาก บางวันอาหารไม่ถูกใจ มีอาหาร แต่มันไม่อร่อยอย่างที่ใจอยาก ใจไม่มีความสุข เจริญสติอยู่ ก็เห็นใจไม่มีความสุข ได้ของที่ชอบใจ ก็ดีใจ มีความสุข ก็เห็นอีก จิตใจมีความสุข เนี่ยจะทำอะไรนี่นะ ในชีวิตพระจริงๆ เป็นระบบที่ถูกสร้างขึ้นมา ให้เกื้อกูลกับการปฏิบัติมากที่สุดเลย เพราะไม่ต้องไปคิดเรื่องทำมาหากิน การคิดเรื่องทำมาหากินเนี่ย เอาเวลาเราไปเกือบหมดชีวิตเลย โดยเฉพาะ คนที่กินไม่เลิก รวยเท่าไหร่ๆ ก็ไม่พอ พวกนี้ไม่มีเวลาเหลือ ที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิต . นี้ถ้าเราต้องทำงาน ก็ทำไป ช่วงไหนมีเวลา นาที สองนาทีนะ เก็บให้หมดเลย ทำอะไรไม่ได้ ก็หายใจไปด้วยความมีสติ มีจิตตั้งมั่น เห็นร่างกายหายใจอยู่นะ เนี่ยการที่เรามีจิตตั้งมั่น เห็นร่างกายหายใจอยู่ ไม่ใช่ไปจ้องลมหายใจนะ คนละแบบกัน . อานาปานสติ ก็มีหลายแบบ แบบหนึ่ง เราเอา(จิต)ไปจ้องอยู่ที่ตัวลมหายใจ จนลมหายใจระงับ กลายเป็นแสง ลมหายใจนี้เรียกว่า บริกรรมนิมิต พอเป็นแสง ก็เรียกว่า อุคคหนิมิต ในที่สุดก็เล่นได้นะ กำหนดได้ ย่อได้ ขยายได้ นี่เรียกปฏิภาคนิมิต ตรงนี้ได้อุปจารสมาธิ ตรงที่จิตตรึกอยู่กับแสง เรียกว่า มีวิตกนะ เป็นวิตก จิตเคล้าเคลียอยู่กับแสง เรียกว่าวิจารณ์ มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง ไม่วอกแวกไปไหน จิตเข้าปฐมฌาน เส้นทางนี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อสติปัฏฐานนะ เส้นทางนี้ เป็นไปเพื่อสมาธิสงบ(อารัมมณูปนิชฌาน) หรือจะมีฤทธิ์มีเดชน์ อย่างรู้ลมหายใจ นี่คือกสิณลม จากกสิณลม เข้าไปรู้รูจมูก เป็นกสิณช่องว่าง อากาสกสิณตรงเนี้ย จนมันเป็นแสง แล้วไปดูแสงสว่างนะ ตรงนี้ไปรู้แสง เล่นแสงได้ กสิณทั้งหมดแหละ ลงท้ายมันจะเป็นแสง (กสิณ)ทั้งสิบอย่างลงท้ายกลายเป็นแสง แล้วคราวนี้จิตก็เลยเข้าฌาน พักอยู่เฉยๆ ไม่ได้เป็นไปเพื่อการเจริญสติปัฏฐาน ๔ . "... นี้อานาปานสติ ที่เป็นไปเพื่อการเจริญสติปัฏฐาน ๔ เนี่ย หายใจออก ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นคนดู เห็นร่างกายหายใจออก จิตตั้งมั่นเป็นคนดูอยู่นะ อย่างเนี้ย ฝึกไปเรื่อยๆ มันจะเริ่มเห็นว่า กายอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง เริ่มแยก(แยกรูปนาม) มันจะเห็นว่า กายเนี้ย ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นได้ แล้วก็เห็นจิต ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อะไรอย่างนี้เห็นได้ ตรงที่เรามีสติเห็นกายหายใจอยู่ นี่เรียกเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีจิตเป็นคนดู . นี้พอรู้ไป เรื่อย เรื่อย เรื่อยนะ จิตจะมีความสุขขึ้นมา เราไปมีสติรู้ความสุข หายใจออก มีความสุข ก็รู้ หายใจเข้า มีความสุข ก็รู้ จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ดูอยู่ นี่เรียกว่า ทำเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน แล้วก็ เจริญอานาปานสติสมาธิที่ถูกต้อง มันจะเห็นสติปัฏฐาน งั้นท่านใช้คำดีนะ ใช้คำว่า "อานาปานสติสมาธิ" เป็นสมาธิที่เกิดจากการทำอานาปานสติ เป็นสมาธิที่ถูกด้วย ไม่ใช่สมาธิแบบฤาษี สว่าง สว่างไปเฉยๆ . พอจิตมีความสุขเนี่ย เราจะเห็นมีความพอใจแทรกเข้ามา มีความพอใจแทรกเข้ามา พอจิตมันมีความสุขขึ้นมา ก็เกิดความพอใจ เรามีสติรู้ทันความพอใจนั้นนะ พอเรามีสติรู้ทันความพอใจ เรากำลังเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานอยู่ รู้ทันความปรุงแต่งของจิตนะ ซึ่งมันปรุงดีบ้าง ปรุงชั่วบ้าง อันนี้ปรุงโลภะขึ้นมา ชอบ ชอบอกชอบใจในความสุข ต่อไป เราก็จะเห็นอีกนะ ฝึกไปเรื่อยๆ เราจะเห็นว่า ทั้งรูปธรรม-ทั้งนามธรรมเนี่ย ไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายที่หายใจอยู่ ความรู้สึก สุข-ทุกข์ ความรู้สึกที่เป็นกิเลส อย่างความพอใจเนี่ย มันมีกิเลสอยู่ มันไม่ใช่ตัวเรา จิตที่เป็นคนไปรู้ ก็ไม่ใช่ตัวเรา อันเนี้ย เราขึ้นมาสู่ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน รู้ทั้งรูป-รู้ทั้งนาม . เพราะฉะนั้น การที่เราหายใจ แล้วเรามีสติรู้อยู่เรื่อยๆนะ จะทำให้สติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์ . การเจริญสติปัฏฐาน ๔ อยู่ ก็คือการมีสติ ก็คือการมีสติสัมโพชฌงค์ สติสัมโพชฌงค์ เป็นสติปัฏฐาน ไม่ใช่สติธรรมดา ไม่ใช่เดินแล้วไม่ตกถนน แล้วบอกว่า เจริญโพชฌงค์อยู่ ไม่ใช่นะ เพราะฉะนั้น เป็นสติปัฏฐาน การที่เราคอยเห็น ความเปลี่ยนแปลงของรูป-นาม/กาย-ใจ ไปเรื่อย เห็นความจริงของเค้าไปเรื่อยๆ ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา(ไตรลักษณ์) อันนี้เรียกว่า ธรรมวิจยะ ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ เนี่ยการที่เราเห็นไตรลักษณ์ไปเรื่อยนะ เราทำธรรมวิจยะ/วิจัยธรรมะนะ แล้วก็ทำไปเรื่อยๆ ไม่เลิก มีเวลาเมื่อไหร่ทำเมื่อนั้น ตลอดเวลาเลย นี้เรามีวิริยะอยู่ เมื่อไหร่มีสติ เมื่อนั้นมีวิริยะ/มีความเพียร เมื่อไหร่ขาดสติ เมื่อนั้นขาดวิริยะ งั้นวิริยะสัมโพชฌงค์ ไม่ใช่ขยันทำมาหากิน วิริยะสัมโพชฌงค์ ก็คือ ขยันเจริญสติปัฏฐานนั่นแหละ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน พอทำไปเรื่อยๆนะ จิตใจมันจะมีปีติ เป็นปีติของธรรมะ ไม่ใช่ปีติของสมาธิ เป็นปีติจากการเจริญธรรมะ อย่างบางที เราภาวนาไปแล้ว เราเกิดปัญญา เกิดความรู้ความเข้าใจ ในธรรมะบางอย่างขึ้นมา จิตจะเบิกบาน ใครเคยเป็นมั้ย ไม่ได้เข้าสมาธินะ แต่เกิดความเข้าใจขึ้นมาปุ๊ปเนี่ย พอเข้าใจปุ๊บนะ จิตเบิกบาน มีปีติขึ้นมาเลยนะ นี่เป็นปีติในโพชฌงค์นะ แล้วเราก็รู้ทัน มีสติรู้ทันอีก ปีติจะค่อยสงบระงับลง มีปัสสัทธิเกิดขึ้น/มีความสงบระงับเกิดขึ้น แล้วจิตก็จะมีสมาธิ คราวเนี้ย สมาธิตัวเนี้ย เกิดหลังจาก ที่ได้เจริญปัญญามาเต็มเหนี่ยวแล้ว เจริญปัญญาเต็มเหนี่ยวแล้ว จิตมีสมาธิอยู่ แล้วก็ จิตจะเข้าสู่อุเบกขา อุเบกขาด้วยปัญญา ไม่ใช่อุเบกขาธรรมดา เพราะว่า โพชฌงค์นี้ เป็นเรื่องของปัญญาทั้งนั้นเลย เรื่มตั้งแต่การมีสติ สติปัฏฐานนะ มันก็คือการเจริญสติ เจริญปัญญา แต่พอถึงธรรมวิจยะนี่ เรื่องปัญญาหมดแล้ว วิริยะก็คือ ขยันเจริญปัญญาอยู่ สุดท้ายจิตจะเข้าสู่อุเบกขา ตรงเนี้ย เป็นจุดสำคัญ ถ้าเราภาวนาแล้ว จิตไม่เกิดปัญญานะ ไม่ถึงอุเบกขานะ มรรคผลจะไม่มีทางเกิดเลย . เวลาที่จิตเกิดปัญญา ยกตัวอย่างเช่น เราหายใจไป จิตมีความสุข เราก็รู้ หายใจไป ความสุขหายไป เราก็รู้ หายใจไป จิตมีความทุกข์ เราก็รู้ หายใจไป ความทุกข์หายไป เราก็รู้ อย่างเนี้ย เราเห็นซ้ำๆ ทั้งสุข ทั้งทุกข์เนี่ย เกิดแล้วดับๆ เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก สุดท้ายปัญญามันปิ๊งขึ้นมานะว่า สุขกับทุกข์เท่าเทียมกัน สุขกับทุกข์เนี่ย เป็นของเท่าเทียมกันนะ ดีกับชั่ว ก็เท่าเทีบมกัน เพราะ เกิดแล้วดับเหมือนกัน เท่าเทียมกันในฐานะของไตรลักษณ์นะ ในมุมของไตรลักษณ์ เท่าเทียมกัน แต่ในทางจริยธรรมไม่เท่าเทียมกัน ดีกับชั่วเนี่ย จะมาเท่าเทียมกันในทางจริยธรรมไม่ได้ แต่ในทางที่เราเดินวิปัสสนาอยู่เนี่ย เท่าเทียมกันในกฎของไตรลักษณ์ เกิดแล้วดับๆ บังคับไม่ได้เหมือนๆกัน เนี่ยจิตมันเห็นความจริงนะ ว่าสุขกับทุกข์เนี่ย เท่าเทียมกัน งั้นเวลาที่เกิดสุขเนี่ย จิตไม่หลงดีใจ เวลาเกิดทุข์ จิตไม่หลงเสียใจ จิตเข้าสู่ความเป็นกลาง เป็นอุเบกขาแล้ว ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ตัวนี้สำคัญมากเลยนะ พอจิตเข้าสู่ความเป็นกลางเนี่ย จิตจะไม่ไปสร้างภพใหม่ จิตจะไม่สร้างภพขึ้นมา ถ้าจิตไม่เป็นกลาง ยังยินดี-ยังยินร้าย จะเกิดแรงผลัก แรงผลักให้จิตทำงานต่อไปอีก จิตจะสร้างภพ คือจิตจะทำงานต่อไปอีก _/|\_ _/|\_ _/|\_ #หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี แสดงธรรม ณ วัดสวนสันติธรรม 8 กรกฎาคม 2560 CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ 71 File: 600708A พระธรรมเทศนาระหว่างนาที 0:00--11:51 ดาวน์โหลดไฟล์เสียงธรรมะได้ที่ Dhamma.com ..... กราบคุณพระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสูง กราบพ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ .....
0 notes
soclaimon · 7 years
Text
ชาวพุทธปีติ องค์ดาไลลามะ เสด็จวัดไทยพุทธคยา แสดงธรรม
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ โดย ไทยรัฐออนไลน์ 16 ม.ค. 2560 16:10 อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/837061 องค์ดาไลลามะ เสด็จมาแสดงธรรมแก่ชาวพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ภายในพระมหาเจดีย์พุทธคยา พร้อมกันนั้น ในโอกาสที่เสด็จสวรรคตสตมวาร (100 วัน) ของ”ในหลวง ร.9″ พระธรรมโพธิวงศ์ นำพระพุทธแสนล้านมาถวายเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2560 พระเดชพระคุณ พระธรรมโพธิวงศ์…
View On WordPress
0 notes
narin032 · 7 years
Photo
Tumblr media
เช้านี้มาเป็นตากล้อง บันทึกวิดีโอลูก ๆ แสดงธรรม เนื่องในวันเข้าพรรษา ตัดต่อเสร็จจะนำมาเผยแพร่ให้ชมนะจ๊ะ รับศีล ถวายทาน เทียนจำนำพรรษา ผ้าอาบน้ำฝน ฟังธรรม และกินข้าววัด Sawaddee Buddhist Lent Day, come to record VDO about Dhamma showing. Listen to Dhamma, giving food, candles and rain cloth for monks and novices after that have breakfast here too. (at วัดสุวรรณมงคล)
0 notes
smaneekaov-blog · 5 months
Text
อุทเทสิกเจดีย์ กับ ธรรมเจดีย์ อันเดียวกัน ถ่ายทอดเช้าวันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ท่านอาจารย์ เกษม ดวงแพงมาต (ที่พักสงฆ์ป่าสามแยก) ให้บุญที่เกิดจากนี้รวมกับบุญข้าพฯทั้งหลายที่มี ให้บุญเหล่านี้ ไปถึง งูและไก่ ที่ตายบริเวณบ้านข้าพฯ บุญจงดูแลรักษาให้อยู่ดี และอานิสงส์ที่เกิดนี้ย้อนกลับไปเป็นของ งูและไก่ ที่ตายนี้ด้วย ให้บุญไปรักษาดูแลงูที่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าพฯขอขมา งูและไก่ได้รับอันตรายในกาลนี้ด้วย ​#อุทเทสิกเจดีย์ #ธรรมเจดีย์ #สาธยายธรรม #บรรยายธรรม
#กล่าวธรรม #ปรารภธรรม #แสดงธรรม #คำของพระพุทธเจ้า
#เกษม # ดวงแพงมาต# ที่พักสงฆ์ป่าสามแยก #วังกวาง #น้ำหนาว #เพชรบูรณ์
0 notes
smanee-blog · 2 years
Video
undefined
tumblr
Live หลวงปู่พุทธะอิสระ แสดงธรรม ช่วงบ่าย 6 พ.ย.2565 (จิตแห่งท้าวมหาพรหม) ผู้เจริญเมตตาพรหมวิหาร ไม่ใช่เจริญเฉพาะเมตตา มันต้องเจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา อุเบกขานี้มันเป็นเครื่องอยู่ นะลูก อุเบกขามันทำให้เราอยู่ได้อย่างไม่ทุกข์ทรมาณ มันเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัยของท้าวมหาพรหม [๕๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเมตตาเจโตวิมุตติ อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดังยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ตั้งไว้เนืองๆ อบรมแล้ว ปรารภดีแล้ว อานิสงส์ ๑๑ ประการเป็นอันหวังได้ อานิสงส์ ๑๑ ประการเป็นไฉน คือ ผู้เจริญเมตตาย่อมหลับเป็นสุข ๑ ตื่นเป็นสุข ๑ ไม่ฝัน ลามก ๑ ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์ ๑ ย่อมเป็นที่รักของอมนุษย์ ๑ เทวดาย่อม รักษา ๑ ไฟ ยาพิษ หรือศาตราย่อมไม่กล้ำกราย ๑ จิตของผู้เจริญเมตตาเป็น สมาธิได้รวดเร็ว ๑ สีหน้าของผู้เจริญเมตตาย่อมผ่องใส ๑ ย่อมไม่หลงใหล กระทำกาละ ๑ เมื่อยังไม่แทงตลอดธรรมอันยิ่งย่อมเข้าถึงพรหมโลก ๑ ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เมื่อเมตตาเจโตวิมุตติ อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดังยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ตั้งไว้เนืองๆ อบรมแล้ว ปรารภดีแล้ว อานิสงส์ ๑๑ ประการนี้เป็นอันหวังได้ ฯ [๕๗๕] เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงก็มี แผ่ไปโดยเจาะจงก็มี แผ่ไปสู่ทิศทั้งหลายก็มี เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงด้วยอาการเท่าไร แผ่ไปโดยเจาะจงด้วยอาการเท่าไร แผ่ไปสู่ทิศทั้งหลายด้วยอาการเท่าไร เมตตา เจโตวิมุตติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงด้วยอาการ ๕ แผ่ไปโดยเจาะจงด้วยอาการ ๗ แผ่ไปสู่ทิศทั้งหลายด้วยอาการ ๑๐ ฯ เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงด้วยอาการ ๕ เป็นไฉน เมตตาเจโตวิมุติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด ปาณะทั้งปวง ฯลฯ ภูตทั้งปวง บุคคลทั้งปวง ผู้ที่นับเนื่องด้วยอัตภาพทั้งปวง จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด เมตตาเจโตวิมุติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงด้วย อาการ ๕ นี้ ฯ เมตตาเจโตวิมุติแผ่ไปโดยเจาะจงด้วยอาการ ๗ เป็นไฉน เมตตาเจโตวิมุติแผ่ไปโดยเจาะจงว่า ขอหญิงทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด ชายทั้งปวง ฯลฯ อารยชน ทั้งปวง อนารยชนทั้งปวง เทวดาทั้งปวง มนุษย์ทั้งปวง วินิปาติกสัตว์ทั้งปวง จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด เมตตา เจโตวิมุติแผ่ไปโดยเจาะจงด้วยอาการ ๗ นี้ ฯ [๕๗๖] เมตตาเจโตวิมุติแผ่ไปสู่ทิศทั้งหลายด้วยอาการ ๑๐ เป��นไฉน เมตตาเจโตวิมุติแผ่ไปสู่ทิศทั้งหลายว่า ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศบูรพาจงเป็น ผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด ขอสัตว์ทั้งปวง ในทิศปัศจิม ฯลฯ ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศอุดร ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศทักษิณ ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศอาคเนย์ ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศพายัพ ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศ อีสาน ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศหรดี ขอสัตว์ทั้งปวงในทิศเบื้องล่าง ขอสัตว์ทั้งปวง ในทิศเบื้องบน จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่เป็น สุขเถิด ขอปาณะทั้งปวงในทิศบูรพา ฯลฯ ภูต บุคคล ผู้ที่นับเนื่องด้วยอัตภาพ หญิงทั้งปวง ชายทั้งปวง อารยชนทั้งปวง อนารยชนทั้งปวง เทวดาทั้งปวง มนุษย์ทั้งปวง วินิปาติกสัตว์ทั้งปวง จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด วินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศปัศจิม ฯลฯ วินิปาติกสัตว์ ทั้งปวงในทิศอุดร วินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศทักษิณ วินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศ อาคเนย์ วินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศพายัพ วินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศอีสาน วินิปาติกสัตว์ทั้งปวงในทิศหรดี วินิปาติกสัตว์ทั้งปวง ในทิศเบื้องล่าง วินิปาติก- *สัตว์ทั้งปวงในทิศเบื้องบน จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด เมตตาเจโตวิมุติแผ่ไปสู่ทิศทั้งหลายด้วยอาการ ๑๐ นี้ เมตตาเจโตวิมุติแผ่ไปสู่สัตว์ทั้งปวงด้วยอาการ ๘ นี้ คือ ด้วยการเว้นความบีบคั้น ไม่บีบคั้นสัตว์ทั้งปวง ๑ ด้วยเว้นการฆ่า ไม่ฆ่าสัตว์ทั้งปวง ๑ ด้วยเว้นการทำให้ เดือดร้อน ไม่ทำสัตว์ทั้งปวงให้เดือดร้อน ๑ ด้วยเว้นความย่ำยี ไม่ย่ำยีสัตว์ ทั้งปวง ๑ ด้วยการเว้นการเบียดเบียน ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง ๑ ขอสัตว์ ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร อย่าได้มีเวร ๑ จงเป็นผู้มีสุข อย่ามีทุกข์ ๑ จงมีตน เป็นสุข อย่ามีตนเป็นทุกข์ ๑ จิตชื่อว่าเมตตา เพราะรัก ชื่อว่าเจโต เพราะคิด ถึงธรรมนั้น ชื่อว่าวิมุติเพราะพ้นจากพยาบาทและปริยุฏฐานกิเลสทั้งปวง จิตมี เมตตาด้วย เป็นเจโตวิมุติด้วย เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าเมตตาเจโตวิมุติ ฯ ขอบุญนี้จงเป็นของทุกสัตว์ ในประเทศนี้ที่ทุกข์เดือดร้อนจาก ภาษีโรงเรือนและที่ดินปี ๒๕๖๔ ให้บุญดูแลรักษา ให้พ้นจากทุกข์ ให้มีตวามสุข มีความปลอดภัยเมื่อรับแล้วช่วยยกเลิกภาษีฉบ้บนี้ด้วย
0 notes
smanee-blog · 2 years
Video
undefined
tumblr
Live หลวงปู่พุทธะอิสระ แสดงธรรม และปฏิบัติธรรม ช่วงบ่าย ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ (ภารสุตตคาถา ร่างกายนี้เป็นภาระ) ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ภารสุตตคาถา พร้อมคำแปล ภารา หะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนักเน้อ ภาระหาโร จะ ปุคคะโล บุคคลแหละเป็นผู้แบกของหนักพาไป ภาราทานัง ทุกขัง โลเก การแบกถือของหนักเป็นความทุกข์ในโลก ภาระนิกเขปะนัง สุขัง การสลัดของหนักทิ้งลงเสียเป็นความสุข นิกขิปิตวา คะรุง ภารัง พระอริยเจ้าสลัดทิ้งของหนักลงเสียแล้ว อัญญัง ภารัง อะนาทิยะ ทั้งไม่หยิบฉวยเอาของหนักอันอื่นขึ้นมาอีก สะมูลัง ตัณหัง อัพพุยหะ ก็เป็นผู้ถอนตัณหาขึ้นได้กระทั่งราก นิจฉาโต ปะรินิพพุโต เป็นผู้หมดสิ่งปรารถนาดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ สัจจะ ธรรม ปุณฑริก สูตร มองทุกอย่างให้เป็นของสูญ สัทธรรมปุณฑริกสูตร เป็นคัมภีร์ในฝ่ายมหายาน ครับ ซึ่งไม่มีพระสูตรและคำสอนในพระสูตรนี้ ในพระไตรปิฎกในฝ่ายเถรวาท บุพพกิจเบื้องต้น "เย ธมฺมา เหตุ ปัพฺพวา เตสํ เหตุงฺ ตถาคโต เตสญฺจะ โย นิโรโธ จะ เอวํ วาที มหาสมฺโณ" "ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติ ทรงสั่งสอนอย่างนี้" ปฏิจจสมุปบาท ท่านได้แปลความไว้ดังนี้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สังขารทั้งหลายมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สงฺขารปจฺจยา วิญฺญานํ วิญญาณมีเพราะสังขารทั้งหลายเป็นปัจจัย วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ นามและรูปมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ อายตนะ ๖ มีเพราะนามและรูปเป็นปัจจัย สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส ผัสสะ ๖ มีเพราะอายตนะ ๖ เป็นปัจจัย ผสฺสปจฺจยา เวทนา เวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาปจฺจยา ตณฺหา ตัณหามีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ อุปาทานมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานปจฺจยา ภโว ภพมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภวปจฺจยา ชาติ ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายสา สมฺภวนฺติ ชรามีเพราะชาติเป็นปัจจัย มรณะมีเพราะชราเป็นปัจจัย ต่อนี้ตัวผล ทุกข์ทั้งหลายคือ ความแห้งใจเศร้าใจ ความบ่นพิรี้พิไร ความลำบากเหลือกลั้นเหลือทน ความต่ำใจ น้อยใจ ความคับแคบใจ ก็มีพร้อม เพราะมีมรณะเป็นปัจจัย เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ เมื่อปัจจยาการยังเป็นกำลังอุดหนุนซึ่งกันเป็นไปอยู่อย่างนี้ กองทุกข์ทั้งสิ้นก็เกิดขึ้นพร้อม ส่วนนี้เป็นสมุทัยวาร คำที่ว่า “ปัจจัย” นั้น ไม่ใช่เหตุ เป็นแต่ผู้อุดหนุนเหตุให้เป็นไปเท่านั้น ส่วนอวิชชา สังขาร วิญญาณ ถึงชรา มรณะ นั้นตัวเหตุคือตัวสมุทัยนั้นเอง คือแสดงเหตุด้วยปัจจัยด้วย ถ้าจะดับทุกข์ดับภาระก็ต้องดับที่เหตุพระพุทธเจ้าทรงสอนทรงแสดง นั้นอยู่ดีๆจะไปมองว่ามันสูญมันว่างเปล่ามันไม่มีตัวตน โดยที่ไม่สาว��าเหตุมาก่อนเลย มันเหมือนกับคน คนตาลยอดด้วน ขอบุญนี้จงเป็นของทุกสัตว์ ในประเทศนี้ที่ทุกข์เดือดร้อนจาก ภาษีโรงเรือนและที่ดินปี ๒๕๖๔ ให้บุญดูแลรักษา ให้พ้นจากทุกข์ ให้มีตวามสุข มีความปลอดภัยเมื่อรับแล้วช่วยยกเลิกภาษีฉบ้บนี้ด้วย
0 notes
smaneekaov-blog · 2 years
Photo
Tumblr media
Live หลวงปู่พุทธะอิสระ แสดงธรรม และปฏิบัติธรรม ช่วงบ่าย ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ (ภารสุตตคาถา ร่างกายนี้เป็นภาระ) ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ภารสุตตคาถา พร้อมคำแปล ภารา หะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนักเน้อ ภาระหาโร จะ ปุคคะโล บุคคลแหละเป็นผู้แบกของหนักพาไป ภาราทานัง ทุกขัง โลเก การแบกถือของหนักเป็นความทุกข์ในโลก ภาระนิกเขปะนัง สุขัง การสลัดของหนักทิ้งลงเสียเป็นความสุข นิกขิปิตวา คะรุง ภารัง พระอริยเจ้าสลัดทิ้งของหนักลงเสียแล้ว อัญญัง ภารัง อะนาทิยะ ทั้งไม่หยิบฉวยเอาของหนักอันอื่นขึ้นมาอีก สะมูลัง ตัณหัง อัพพุยหะ ก็เป็นผู้ถอนตัณหาขึ้นได้กระทั่งราก นิจฉาโต ปะรินิพพุโต เป็นผู้หมดสิ่งปรารถนาดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ สัจจะ ธรรม ปุณฑริก สูตร มองทุกอย่างให้เป็นของสูญ สัทธรรมปุณฑริกสูตร เป็นคัมภีร์ในฝ่ายมหายาน ครับ ซึ่งไม่มีพระสูตรและคำสอนในพระสูตรนี้ ในพระไตรปิฎกในฝ่ายเถรวาท บุพพกิจเบื้องต้น "เย ธมฺมา เหตุ ปัพฺพวา เตสํ เหตุงฺ ตถาคโต เตสญฺจะ โย นิโรโธ จะ เอวํ วาที มหาสมฺโณ" "ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติ ทรงสั่งสอนอย่างนี้" ปฏิจจสมุปบาท ท่านได้แปลความไว้ดังนี้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สังขารทั้งหลายมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สงฺขารปจฺจยา วิญฺญานํ วิญญาณมีเพราะสังขารทั้งหลายเป็นปัจจัย วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ นามและรูปมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ อายตนะ ๖ มีเพราะนามและรูปเป็นปัจจัย สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส ผัสสะ ๖ มีเพราะอายตนะ ๖ เป็นปัจจัย ผสฺสปจฺจยา เวทนา เวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาปจฺจยา ตณฺหา ตัณหามีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ อุปาทานมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานปจฺจยา ภโว ภพมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภวปจฺจยา ชาติ ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายสา สมฺภวนฺติ ชรามีเพราะชาติเป็นปัจจัย มรณะมีเพราะชราเป็นปัจจัย ต่อนี้ตัวผล ทุกข์ทั้งหลายคือ ความแห้งใจเศร้าใจ ความบ่นพิรี้พิไร ความลำบากเหลือกลั้นเหลือทน ความต่ำใจ น้อยใจ ความคับแคบใจ ก็มีพร้อม เพราะมีมรณะเป็นปัจจัย เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ เมื่อปัจจยาการยังเป็นกำลังอุดหนุนซึ่งกันเป็นไปอยู่อย่างนี้ กองทุกข์ทั้งสิ้นก็เกิดขึ้นพร้อม ส่วนนี้เป็นสมุทัยวาร คำที่ว่า “ปัจจัย” นั้น ไม่ใช่เหตุ เป็นแต่ผู้อุดหนุนเหตุให้เป็นไปเท่านั้น ส่วนอวิชชา สังขาร วิญญาณ ถึงชรา มรณะ นั้นตัวเหตุคือตัวสมุทัยนั้นเอง คือแสดงเหตุด้วยปัจจัยด้วย ถ้าจะดับทุกข์ดับภาระก็ต้องดับที่เหตุพระพุทธเจ้าทรงสอนทรงแสดง นั้นอยู่ดีๆจะไปมองว่ามันสูญมันว่างเปล่ามันไม่มีตัวตน โดยที่ไม่สาวหาเหตุมาก่อนเลย มันเหมือนกับคน คนตาลยอดด้วน ขอบุญนี้จงเป็นของทุกสัตว์ ในประเทศนี้ที่ทุกข์เดือดร้อนจาก ภาษีโรงเรือนและที่ดินปี ๒๕๖๔ ให้บุญดูแลรักษา ให้พ้นจากทุกข์ ให้มีตวามสุข มีความปลอดภัยเมื่อรับแล้วช่วยยกเลิกภาษีฉบ้บนี้ด้วย
0 notes
smanee-blog · 2 years
Video
undefined
tumblr
หลวงปู่พุทธะอิสระ แสดงธรรม และปฏิบัติธรรม ช่วงบ่าย 6 พ.ย.2565 (ยาสำหรับคนอายุ40ปีขึ้นไป หาที่อยู่สัปปายะอยู่กับต้นไม้เป็นธรรมชาติไม่ทำร้ายตนเอง) ถ้าไม่อยากผ่าก็กินไปกินยาขับน้ำเหลืองเสียกับยาฟอกเลือด กินสลับกันวันนี้กินขับน้ำเหลืองเสียพรุ่งนี้กินฟอกเลือดก๊อาจจะช่วยให้ซีสมันยุบลงไปได้แต่มันใช้เวลา ใช้เวลาพอควร ยาขับน้ำเหลืองเสียกะยาฟอกเลือดเนียมันจำเป็นสำหรับคนอายุ40ขึ้นไปอย่างน้อยเดือนหนึ่งก็กินมันสักสามวันเจ็ดวันมันจะช่วยทำให้หลอดเลือดสะอาดขึ้นท่อส่งเลือดมันจะได้ไม่มีอะไรไปอุดตัน น้ำเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายพอเจอท่อมันตัน มันก็ ท่อตีบเข้ามันก็ไปยากเหมือนกันที่นึ้ก็จะชาปลายมือปลายเท้าระบบประสาทหูตาลิ้นรับรสก็จะฝ้าฟางฝืนไป ไม่ตรงต่อความเป็นจริงไป เพาะฉะนั้นรู้จักจงทะลวงท่อล้างมันซะบ้างล้างมันซะบ้าง ล้างมัน กินยาละลายลิ่มเลือด ยาฟอกเลือดบ้าง ไม่ก็ยาขับน้ำเหลืองเสียบ้าง นะทำให้เลือดมันมันไหลเวียนได้รอบๆ มันก็จะยืดอายุ เซลต่างๆกล้ามเนื้อต่างๆให้มันทำงานได้อย่างดียิ่งมากขึ้น ก็..หาที่อยูที่มันที่เขาเรียกว่าสัปปายะเป็นธรรมชาติไม่ทำร้ายตนเอง คือมันต้องใช้คำว่าอะไร เดี๋ยวนี้โลกและสังคมมันอยู่ยากขึ้นอยู่ตรงไหนที่มันอยู่แล้วมันปลอดภัยผ่อนคลายโปร่งเบาสบายก็หาอยู๋ อยู่แล้วมัน มันไม่ปลอดภัยไม่ผ่อนคลาย ไม่โปร่งเบาสบาย เราก็หาที่ใหม่ บางที่ข้างๆบ้านมันมีแต่มลภาวะมันก็ลำบากเหมือนกันอยู่ ยากก็พยายาม ต้องสร้างเครื่องป้องกันเอาไว้ ถ้าจำเป็นก็ต้นไม้เยอะๆดีที่สุด ขอบุญนี้จงเป็นของทุกสัตว์ ในประเทศนี้ที่ทุกข์เดือดร้อนจาก ภาษีโรงเรือนและที่ดินปี ๒๕๖๔ ให้บุญดูแลรักษา ให้พ้นจากทุกข์ ให้มีตวามสุข มีความปลอดภัยเมื่อรับแล้วช่วยยกเลิกภาษีฉบ้บนี้ด้วย
0 notes
smaneekaov-blog · 2 years
Photo
Tumblr media Tumblr media Tumblr media
หลวงปู่พุทธะอิสระ แสดงธรรม และปฏิบัติธรรม ช่วงบ่าย 6 พ.ย.2565 (ยาสำหรับคนอายุ40ปีขึ้นไป หาที่อยู่สัปปายะอยู่กับต้นไม้เป็นธรรมชาติไม่ทำร้ายตนเอง) ถ้าไม่อยากผ่าก็กินไปกินยาขับน้ำเหลืองเสียกับยาฟอกเลือด กินสลับกันวันนี้กินขับน้ำเหลืองเสียพรุ่งนี้กินฟอกเลือดก๊อาจจะช่วยให้ซีสมันยุบลงไปได้แต่มันใช้เวลา ใช้เวลาพอควร ยาขับน้ำเหลืองเสียกะยาฟอกเลือดเนียมันจำเป็นสำหรับคนอายุ40ขึ้นไปอย่างน้อยเดือนหนึ่งก็กินมันสักสามวันเจ็ดวันมันจะช่วยทำให้หลอดเลือดสะอาดขึ้นท่อส่งเลือดมันจะได้ไม่มีอะไรไปอุดตัน น้ำเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายพอเจอท่อมันตัน มันก็ ท่อตีบเข้ามันก็ไปยากเหมือนกันที่นึ้ก็จะชาปลายมือปลายเท้าระบบประสาทหูตาลิ้นรับรสก็จะฝ้าฟางฝืนไป ไม่ตรงต่อความเป็นจริงไป เพาะฉะนั้นรู้จักจงทะลวงท่อล้างมันซะบ้างล้างมันซะบ้าง ล้างมัน กินยาละลายลิ่มเลือด ยาฟอกเลือดบ้าง ไม่ก็ยาขับน้ำเหลืองเสียบ้าง นะทำให้เลือดมันมันไหลเวียนได้รอบๆ มันก็จะยืดอายุ เซลต่างๆกล้ามเนื้อต่างๆให้มันทำงานได้อย่างดียิ่งมากขึ้น ก็..หาที่อยูที่มันที่เขาเรียกว่าสัปปายะเป็นธรรมชาติไม่ทำร้ายตนเอง คือมันต้องใช้คำว่าอะไร เดี๋ยวนี้โลกและสังคมมันอยู่ยากขึ้นอยู่ตรงไหนที่มันอยู่แล้วมันปลอดภัยผ่อนคลายโปร่งเบาสบายก็หาอยู๋ อยู่แล้วมัน มันไม่ปลอดภัยไม่ผ่อนคลาย ไม่โปร่งเบาสบาย เราก็หาที่ใหม่ บางที่ข้างๆบ้านมันมีแต่มลภาวะมันก็ลำบากเหมือนกันอยู่ ยากก็พยายาม ต้องสร้างเครื่องป้องกันเอาไว้ ถ้าจำเป็นก็ต้นไม้เยอะๆดีที่สุด ขอบุญนี้จงเป็นของทุกสัตว์ ในประเทศนี้ที่ทุกข์เดือดร้อนจาก ภาษีโรงเรือนและที่ดินปี ๒๕๖๔ ให้บุญดูแลรักษา ให้พ้นจากทุกข์ ให้มีตวามสุข มีความปลอดภัยเมื่อรับแล้วช่วยยกเลิกภาษีฉบ้บนี้ด้วย
0 notes