#Rifampicin

[prapasara]

Rifampicin (ไรแฟมพิซิน)

Rifampicin (ไรแฟมพิซิน)

Rifampicin (ไรแฟมพิซิน) คือ ยาปฏิชีวนะที่ทางการแพทย์ใช้ป้องกันหรือรักษาวัณโรค รักษาการติดเชื้อในจมูกและลำคอจากแบคทีเรียบางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคไข้กาฬหลังแอ่นชนิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือโรคติดเชื้อชนิดอื่น รวมทั้งช่วยป้องกันการแพร่เชื้อดังกล่าวไปสู่ผู้อื่น แต่จะไม่นำมาใช้รักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบในระยะที่แสดงอาการแล้ว

เกี่ยวกับ Rifampicinกลุ่มยายาปฏิชีวนะประเภทยายาตามใบสั่งแพทย์ สรรพคุณป้องกันหรือรักษาวัณโรค รักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบในระยะยังไม่แสดงอาการกลุ่มผู้ป่วยเด็กและผู้ใหญ่รูปแบบของยายารับประทาน ยาฉีดเข้าเส้นเลือด

คำเตือนการใช้ยา Rifampicin

หากเคยมีประวัติแพ้ไรแฟมพิซิน ยา อาหาร หรือสารชนิดอื่น ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา

ไม่ควรใช้ยาชนิดนี้ หากกำลังใช้ยาต้านเชื้อเอชไอวี เช่น ซาควินาเวียร์ ริโทนาเวียร์ เป็นต้น เนื่องจากยาไรแฟมพิซินอาจทำให้ประสิทธิภาพของยาต้านเชื้อเอชไอวีลดลง

ห้ามฉีดวัคซีนทุกชนิดขณะใช้ยาไรแฟมพิซิน เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง ยกเว้นกรณีที่แพทย์แนะนำ

แจ้งประวัติการเจ็บป่วยให้แพทย์ทราบ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคตับ โรคติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ที่มีประวัติติดแอลกอฮอล์ เพราะยาไรแฟมพิซินอาจส่งผลให้อาการของโรคนั้น ๆ รุนแรงขึ้น หรืออาจทำปฏิกิริยากับยาชนิดอื่นที่กำลังรับประทานอยู่

หากกำลังใช้ยา สมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดใดก็ตาม ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาชนิดนี้

หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ขณะใช้ยา

ห้ามใส่คอนแทคเลนส์ขณะใช้ยา เนื่องจากยาไรแฟมพิซินอาจทำให้สีของน้ำตาเปลี่ยนไป ส่งผลให้เกิดคราบติดบนคอนแทคเลนส์อย่างถาวรได้

ผู้ที่กำลังใช้ยาไรแฟมพิซินต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนวางแผนผ่าตัดหรือรับการรักษาทางทันตกรรม

ห้ามขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงขณะใช้ยา เพราะยาชนิดนี้อาจมีผลข้างเคียงทำให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะหรือง่วงซึม

ยาไรแฟมพิซินอาจส่งผลให้ยาคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพลดลง ขณะใช้ยานี้จึงควรใช้วิธีคุมกำเนิดด้วยรูปแบบอื่นที่ไม่ใช้ฮอร์โมนแทน เช่น ถุงยางอนามัย ห่วงคุมกำเนิด เป็นต้น

หญิงตั้งครรภ์และหญิงที่กำลังให้นมบุตรควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาและควรใช้ยาเมื่อจำเป็นเท่านั้น เพราะการใช้ยาไรแฟมพิซินในช่วงก่อนคลอด 2-3 สัปดาห์ อาจทำให้มารดาหรือทารกเสี่ยงมีภาวะเลือดออกได้

ปริมาณการใช้ยา Rifampicin

รักษาวัณโรค

ผู้ใหญ่

ยารับประทาน

ผู้ที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 50 กิโลกรัม รับประทานวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 450 มิลลิกรัม

ผู้ที่มีน้ำหนัก 50 กิโลกรัมขึ้นไป รับประทานวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 600 มิลลิกรัม

ยาฉีดเข้าเส้นเลือด

ฉีดยาวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 600 มิลลิกรัมต่อวัน

เด็ก

ยารับประทาน

รับประทานวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 10-20 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 600 มิลลิกรัมต่อวัน

ยาฉีดเข้าเส้นเลือด

ฉีดยาวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 600 มิลลิกรัมต่อวัน

ป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่นในกรณีเป็นพาหะแพร่เชื้อ

ผู้ใหญ่

ยารับประทาน

รับประทานครั้งละ 600 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 2 วัน

ยาฉีดเข้าเส้นเลือด

ฉีดยาครั้งละ 600 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 2 วัน

เด็ก

ยารับประทาน

ทารกอายุน้อยกว่า 1 เดือน รับประทานครั้งละ 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก ๆ 12 ชั่วโมง ติดต่อกัน 2 วัน

ทารกอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป รับประทานยาครั้งละ 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก ๆ 12 ชั่วโมง ติดต่อกัน 2 วัน ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 600 มิลลิกรัมต่อครั้ง

ยาฉีดเข้าเส้นเลือด

ทารกอายุน้อยกว่า 1 เดือน ฉีดยาครั้งละ 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก ๆ 12 ชั่วโมง ติดต่อกัน 2 วัน

ทารกอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป ฉีดยาครั้งละ 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก ๆ 12 ชั่วโมง ติดต่อกัน 2 วัน ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 600 มิลลิกรัมต่อครั้ง

การใช้ยา Rifampicin

ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ควรใช้ในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือใช้ติดต่อกันนานกว่าที่กำหนด

ควรรับประทานยาไรแฟมพิซินขณะท้องว่าง ก่อนรับประทานอาหาร 1 ชั่วโมง หรือหลังรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง

ไม่ควรรับประทานยาลดกรดใน 1 ชั่วโมงแรกหลังจากใช้ยาไรแฟมพิซินชนิดแคปซูล เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพของยาไรแฟมพิซินลดลง

ควรรับประทานยาติดต่อกันให้ครบตามที่แพทย์แนะนำและรับประทานให้ตรงเวลา เพราะการใช้ยาไม่สม่ำเสมอหรือหยุดใช้ยาก่อนครบกำหนด อาจทำให้เสี่ยงต่อการดื้อยาและส่งผลกระทบต่อการทำงานของไตได้

หากลืมรับประทานตามเวลาที่กำหนดให้รับประทานทันทีที่นึกได้ หากใกล้ถึงเวลาแล้ว ให้ข้ามไปรับประทานครั้งต่อไปได้เลย โดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณเป็น 2 เท่า

เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ป้องกันไม่ให้ถูกแสงแดด และใส่ในภาชนะที่ปิดฝาสนิททุกครั้งหลังใช้

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Rifampicin

ผลข้างเคียงจากการใช้ยาไรแฟมพิซินที่พบได้บ่อย คือ แสบร้อนกลางอก เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องเสีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ มึนงง อ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง เจ็บตามแขนหรือขา มองเห็นผิดปกติ ผิวแดง พฤติกรรมเปลี่ยนไป หรือไม่มีสมาธิ รวมทั้งอาจทำให้สารคัดหลั่งของร่างกายเปลี่ยนเป็นสีแดงอมน้ำตาล เช่น เหงื่อ ปัสสาวะ น้ำลาย น้ำตา เป็นต้น ทั้งนี้ ยาไรแฟมพิซินอาจส่งผลข้างเคียงรุนแรง ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการต่อไปนี้

มีอาการแพ้ เช่น หายใจลำบาก เป็นลมพิษ ใบหน้า คอ ริมฝีปาก หรือลิ้นบวม

มีเลือดออก เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน

มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปวดตามร่างกาย ปวดศรีษะ รู้สึกมึนงง เป็นต้น

ท้องเสียรุนแรง ถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายเหลวมีเลือดปน

ตับทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ปวดท้องส่วนบน รู้สึกเหนื่อย เบื่ออาหาร ปัสสาวะมีสีเข้ม มีภาวะดีซ่าน

เกิดความผิดปกติทางผิวหนังอย่างรุนแรง เช่น บวมตามใบหน้า ลำคอ ลิ้น หรือริมฝีปาก รู้สึกแสบร้อนบริเวณตา เจ็บปวดตามผิวหนัง ตามมาด้วยผื่นแดงตามร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าหรือลำตัวช่วงบน และผิวลอก

รายการยาและการสนับสนุนยารักษาวัณโรค วัณโรคดื้อยาและวัณโรคระยะแฝง    

CR   ::     https://www.pobpad.com/rifampicin

[weirdpersonifiedpills]

Rifampicin (and the class of rifamycins as a whole) were named after a French noir film, Rififi (1955). Rifampicin itself stands for Rif-AMP-(m)icin, with AMP referring to its N-amino-N′-methylpiperazine substitution.

Who says we can't have the pharmaceutical equivalent the sonic the hedgehog protein.

That’s hilarious and when I design this med I will absolutely base it on said movie as well. Bros gonna have a fedora or something.

Also Rifa over here is another member of the “biblically accurate angel looking skeletal structure” club along with Vitamin B12

[chemblrish]

I see your Ochem hate/love discussion and raise you pharmaceutical (medicinal) chemistry. It's like Ochem but worse. Now you not only have synthesis reactions and mechanisms and NMR but you have the added bonus of having to remember a fuck ton of drug structures, many of who do not have the business of being that fucking large. Itraconazol, Amphotericin B, Rifampicin and Glecaprevir, I hate you. And not only that, you need to know where you could change what part of the structure of said drug to make it last longer or work better or whatever. Why do so many drug names sound the same. Maybe I had would have an easier time remembering antiviral drugs if they didn't all fucking sound the same.

(Also you are totally right in hating Ochem)

Love, a pharmacy student

Okay so I looked them up and holy fuck

What the hell are these. They're so huge tumblr can't even show them whole, you have to click on the pictures to see them. What.

Also, my faculty offers a degree in medicinal chemistry and we have a couple of students in my year who transferred from there to our degree ("just" chemistry) and they all agree medicinal chemistry is straight-up traumatizing. I have insane respect for you pharma (and adjacent) people, the amount of knowledge you have to integrate to do such an important job is just 😳

[crusader-kings]

i found these out at 4 in the morning when i acidentally bumped into a subcommunity of people fully dedicated to making memes of how rifampicin (drug used 2 treat tuberculosis and leprosy) turns bodily fluid (and organs) neon-orange

[lucasdeocampo]

Watching Parallel World Pharmacy 🫶🏾♥️

I can't believe a 10 yo boy is a better pharmacist than I am 💀 HAHAHAHAHAHA when he draw the chemical structure of rifampicin💀

[mcatmemoranda]

Hemophilus ducreyi causes painful ulcers.

Haemophilus ducreyi is a fastidious gram-negative coccobacillus bacteria. It causes the sexually transmitted disease chancroid, a major cause of genital ulceration in developing countries characterized by painful sores on the genitalia. Chancroid starts as an erythematous papular lesion that breaks down into a painful bleeding ulcer with a necrotic base and ragged edge. More recently, it has also been found to cause chronic skin ulceration away from the genitalia, infect children and adults, and behave in a manner that mimics yaws.

H. ducreyi can be cultured on chocolate agar. It is best treated with a macrolide, e.g. azithromycin, and a third-generation cephalosporin, e.g. ceftriaxone. H. ducreyi gram stain resembles a "school of fish."

Treponema pallidum = syphilis. Tx is 2.4 million units PCN G benzathine IM x1.

Early infections

The first-line treatment for uncomplicated syphilis (primary or secondary stages) remains a single dose of intramuscular benzathine benzylpenicillin. Doxycycline and tetracycline are alternative choices for those allergic to penicillin; due to the risk of birth defects, these are not recommended for pregnant women. Resistance to macrolides, rifampicin, and clindamycin is often present. Ceftriaxone, a third-generation cephalosporin antibiotic, may be as effective as penicillin-based treatment. It is recommended that a treated person avoid sex until the sores are healed.

Late infections

For neurosyphilis, due to the poor penetration of benzathine penicillin into the central nervous system, those affected are given large doses of intravenous penicillin G for a minimum of 10 days. If a person is allergic to penicillin, ceftriaxone may be used or penicillin desensitization attempted. Other late presentations may be treated with once-weekly intramuscular benzathine penicillin for three weeks. Treatment at this stage solely limits further progression of the disease and has a limited effect on damage which has already occurred. Serologic cure can be measured when the non-treponemal titers decline by a factor of 4 or more in 6–12 months in early syphilis or 12–24 months in late syphilis.

I have to read about syphilis because it has so many stages and I don't remember everything.

[bethiniancorpuscle]

Cytochrome P450 Inducers & Inhibitors

The main ones can be remembered using "CRAP GPs spend all day on SICKFACES.COM".

Cytochrome P450 Inducers

These induce CYP450 activity, and thus reduce the concentration of drugs which are metabolised by this system.

Carbemazepine Rifampicin Alcohol (chronic use) Phenytoin Griseofulvin Phenobarbitone Sulphonylureas, St John's Wort, Smoking

Also topiramate.

Cytochrome P450 Inhibitors

These inhibit CYP450 enzyme activity and thus increase the concentration of drugs which are metabolised by this system.

Sodium valproate Isoniazid Cimetidine Ketoconazole Fluconazole Alcohol (acute use), Amiodarone, Allopurinol Chloramphenicol Erythromycin Sulfonamides, SSRIs Ciprofloxacin Omeprazole Metronidazole

Also grapefruit, cranberry juice, diltiazem, verapamil, clarithromycin.

Common Interactions

Medications which commonly interact with CYP450 inhibitors and inducers are:

Warfarin

Phenytoin

Combined Oral Contraceptive Pill (COCP)

Theophylline

Corticosteroids

Tricyclic antidepressants

Statins

Lamotrigine

Midazolam

[denature123465]

Ubat ampuh untuk raja singa

Ubat Ampuh untuk Raja Singa: Menangani Masalah Kesihatan dengan Berkesan

Raja Singa, atau dalam istilah perubatan dikenali sebagai tuberculosis (TB), adalah penyakit berjangkit yang disebabkan oleh bakteria Mycobacterium tuberculosis. Ia boleh menyerang pelbagai bahagian tubuh, tetapi biasanya menyerang paru-paru. Dalam artikel ini, kita akan membincangkan ubat-ubat yang berkesan untuk merawat Raja Singa dan langkah-langkah pencegahan yang boleh diambil.

Rawatan Utama untuk Raja Singa

Antibiotik Tuberkulosis Rawatan Raja Singa memerlukan pengambilan antibiotik yang berterusan dan khusus. Ubat-ubat utama yang biasanya digunakan termasuk:

Isoniazid (INH): Merupakan antibiotik yang sangat berkesan dalam membunuh bakteria TB. Ia biasanya diambil bersama ubat lain untuk meningkatkan keberkesanannya.

Rifampicin (RIF): Bekerja dengan cara membunuh bakteria TB dan sering digunakan bersamaan dengan Isoniazid. Ia juga dapat mengurangkan penularan penyakit kepada orang lain.

Ethambutol (EMB): Membantu menghalang pertumbuhan bakteria TB dan biasanya digunakan bersama ubat-ubatan lain.

Pyrazinamide (PZA): Digunakan dalam peringkat awal rawatan untuk memusnahkan bakteria yang mungkin ada di dalam sel-sel tubuh.

Rawatan Lanjutan Untuk kes-kes TB yang lebih serius atau apabila bakteria menunjukkan ketahanan terhadap ubat-ubatan utama (TB resistan ubat), rawatan tambahan mungkin diperlukan:

Fluoroquinolones: Seperti Moxifloxacin atau Levofloxacin boleh digunakan dalam kes-kes yang sukar.

Aminoglycosides: Contohnya, Streptomycin, digunakan dalam kes-kes TB yang serius atau kronik.

Terapi Kombinasi Selalunya, rawatan TB melibatkan gabungan beberapa jenis antibiotik untuk memastikan semua bakteria dimusnahkan dan mencegah perkembangan ketahanan ubat. Rawatan ini biasanya berlangsung selama enam bulan atau lebih, bergantung kepada tahap dan jenis TB.

Langkah-langkah Pencegahan

Pencegahan Penularan Mengelakkan daripada bersentuhan rapat dengan individu yang terjangkit TB adalah penting. Jika anda atau seseorang dalam keluarga disahkan menghidap TB, pastikan rawatan diambil secara konsisten dan betul untuk mengelakkan penyebaran.

Vaksinasi Vaksin BCG (Bacillus Calmette-Guérin) adalah vaksin yang digunakan untuk melindungi daripada bentuk-bentuk serius TB pada kanak-kanak. Walaupun ia tidak sepenuhnya melindungi daripada TB, ia dapat mengurangkan risiko komplikasi serius.

Pemeriksaan Berkala Pemeriksaan kesihatan secara berkala untuk individu yang berisiko tinggi, seperti mereka yang tinggal bersama orang yang menghidap TB atau mereka yang mempunyai sistem imun yang lemah, adalah penting untuk pengesanan awal.

Gaya Hidup Sihat Menjaga sistem imun dengan gaya hidup yang sihat — seperti pemakanan yang seimbang, bersenam secara berkala, dan tidak merokok — dapat membantu tubuh melawan jangkitan dan penyakit.

Cara nak order Sila KLIK butang di bawah, anda akan disambungkan secara automatik ke Khidmat Pelanggan WA kami. 083122182004 https://mauorder.online/sembuhlah-spls-malaysia

sumber: https://www.sembuhlah.com/obat-sipilis/

[prapasara]

วัณโรค คืออะไร (Tuberculosis) รักษายังไง

วัณโรค คืออะไร รักษายังไง ภัยร้ายใกล้ตัวที่คุกคามคุณภาพชีวิต

วัณโรคเป็นโรคที่สามารถแพร่กระจายได้ง่ายนับว่าเป็นกลุ่มโรคที่อันตรายร้ายแรงชนิดหนึ่งที่คร่าชีวิตมนุษย์ทั่วโลกเป็นจำนวนมากเพราะเมื่อติดเชื้อจะมีผลต่อปอด หรือที่เรียกว่า "วัณโรคปอด"  ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญทางของสาธารณสุขประเทศไทย องค์การอนามัยโลกจัดให้เป็น 1 ใน 14 ประเทศของโลกที่มีปัญหาภาระวัณโรค            วัณโรคเกิดได้ในทุกอวัยวะของร่างกาย ส่วนใหญ่มักเกิดที่ปอดพบร้อยละ 80 ซึ่งโดยปกติคนไข้จะมาพบแพทย์ด้วยอาการไอเรื้อรัง และยังขาดความเข้าใจในเรื่องวัณโรค ซึ่งโรคนี้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้น ลองมาศึกษาอาการของโรคเพื่อไว้สังเกตและป้องกันตัวเองกันหน่อย

วัณโรค คืออะไร

    วัณโรคเป็นกลุ่มโรคติดเชื้อที่อันตรายร้ายแรงที่ติดต่อจากคนสู่คนผ่านทางอากาศ เกิดจากการติดเชื้อไมโครแบคทีเรียมทูเบอร์คูโลซิส (Mycobacterium Tuberculosis) สามารถแพร่กระจายได้โดยผ่านทางการไอ จาม การพูด และการหายใจ   ที่ออกมาจากผู้ป่วยที่มีเชื้อวัณโรคในปอด กระจายอยู่ในอากาศและตกลงสู่พื้น โดยผู้ที่สูดหายใจรับเชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้มีโอกาสติดเชื้อและป่วยเป็นวัณโรคได้         นอกจากการติดเชื้อที่ปอดแล้ว เชื้ออาจจะกระจายไปส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ได้แก่ เยื้อหุ้มปอด ต่อมน้ำเหลือง กระดูกสันหลัง ข้อต่อ ช่องท้อง ระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบสืบพันธุ์ ระบบประสาท เป็นต้น

สังเกตอาการเตือนวัณโรค

      เมื่อเริ่มป่วยในระยะแรกมักจะมีอาการไอแห้ง หลังจากนั้นจะเริ่มไอแบบมีเสมหะ เมื่อเข้านอนก็จะยิ่งมีอาการไอหนักมาก ทั้งช่วงเวลาหลังจากตื่นนอนตอนเช้าและในหลังอาหารด้วย

อาการไอเรื้อรังจะคงอยู่เป็นเวลานานกว่า 2 สัปดาห์ บางรายที่ไอมาก ๆ จะมีอาการหอบด้วยหรือไอเป็นเลือดก้อนแดง ๆ หรือเลือดสีดำปนออกมาพร้อมกัน

มีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ

ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง ผอมลง

ในรายที่เป็นเด็กอาการจะรุนแรงหนักกว่าผู้ใหญ่เพราะภูมิคุ้มกันโรคต่ำกว่า

ถ้ามีอาการอย่างน้อย 2 อาการขึ้นไป รีบตรวจหาวัณโรคที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน

ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรค

ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น คนไข้ที่ได้รับเคมีบำบัด หรือ ผู้ป่วยเอดส์

ผู้ติดสารเสพติด หรือ แอลกอฮอล์

คนจรจัด หรือ คนขาดสารอาหาร

คนที่อาศัยอยู่ในที่แออัด หรือ สถานที่ที่อากาศถ่ายเทไม่ดี

ผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วย เช่น แพทย์ พยาบาล หรือ ญาติที่ดูแล

เด็กทารก หรือ ผู้สูงอายุ

เดินทางหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดวัณโรคสูง

ป้องกันไว้ก่อน ถ้าไม่อยากเป็นวัณโรค

หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด

สวมหน้ากากอนามัยเมื่อไปในสถานที่สาธารณะ และไม่ใช้หน้ากากอนามัยซ้ำ

หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค หากตนเองมีภูมิต้านทานต่ำ

ฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรค

ตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำทุกปี โดยควรตรวจเอกซเรย์ปอด อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

รีบไปพบแพทย์ทันที หากสงสัยว่ามีอาการเสี่ยง

การรักษาวัณโรค

        ปัจจุบันวัณโรคสามารถรักษาให้หายได้ ใช้เวลาการรักษาอย่างน้อย 6 เดือน ขึ้นกับความรุนแรงของตัวโรค แต่มีโอกาสกลับไปเป็นซ้ำได้เช่นกันหากผู้ป่วยรับประทานยาไม่ครบตามกำหนด

ผู้ป่วยวัณโรคมีระยะเวลาในการรักษาทั้งหมดอย่างน้อย 6 เดือน โดย 2 เดือนแรกต้องรับประทานยา 4 ชนิด เช่น isoniazid, rifampicin, pyrazinamide, ethambutol

เมื่อรักษาครบ 2 เดือนแพทย์จะตรวจเสมหะหรือเอกซเรย์ปอดซ้ำ หากมีการตอบสนองที่ดีแพทย์จะลดยาเหลือ 2 ชนิด และให้การรักษาต่อไปอีก 4 เดือน 

และจะต้องดูแลให้พักผ่อนและให้อาหารที่มีโปรตีนสูงและมีไวตามิน เพื่อช่วยเพิ่มความต้านทานโรค

         วัณโรคเป็นโรคที่มีอาการทุกข์ทรมานจากการไอเรื้อรังที่คุกคามคุณภาพชีวิตและสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ง่าย ยิ่งถ้าเป็นผู้สูงอายุ อาจจะเสี่ยงเป็นโรคอื่นๆ เพิ่มเติมอีกเช่น โรคไขมันในเลือดสูงดังนั้น เมื่อพบว่าตนเองป่วยเป็นวัณโรคหรือเสี่ยงวัณโรค ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงควรตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปีด้วยการเอกซเรย์ปอดโดยไม่ต้องรอให้มีอาการเพื่อวางแผนการรักษาอย่างทันท่วงที

Tuberculosis  ,  วัณโรค   ,    วัณโรค คืออะไร (Tuberculosis)  

CR ::  บทความโดย : พญ.นิชฌา  เหลืองด่านสกุล อายุรแพทย์โรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤตโรคระบบการหายใจ

บทความที่เกี่ยวข้อง

Rifampicin (ไรแฟมพิซิน) ยา��ักษาวัณโรค

รายการยาและการสนับสนุนยารักษาวัณโรค วัณโรคดื้อยาและวัณโรคระยะแฝง    

[shifahospitaltvl]

TB Hospitals in Tirunelveli

Tuberculosis (TB) is contagious disease, which is caused by bacteria and as its name suggest, mainly affect the lungs of a human being but in the advanced stage, it can affect any part of the body.

Symptoms include:

Persistent cough

Chest pain

Weight loss

Fever and night sweats

Treatment Options

Medication:

TB is typically responded to with a combination of antibiotics for six to nine months. Others are Isoniazid, Rifampicin, Ethambutol, and Pyrazinamide which are used in the treatment of tuberculosis diseases.

Monitoring and Support:

It requires follow-ups and check-ups periodically to see to it that the treatment a is satisfactory or in case any side effects occur. The patient may require to be on several drugs at the same time, and the dosage regimen should be followed to the letter.

Why Choose Shifa Hospital?

To get effective treatment against tuberculosis hospital in Tirunelveli is the right place to visit. Shifa Hospital is one of the best equipped hospital for TB patients and has a dedicated team to look after its patients.

Tirunelveli based Pulmonology doctor Dr. Bala, is itself a key person in the diagnosis and management of TB. From the information above, his specialization provide a quick diagnosis of the patients’ state and also a proper treatment that leads to the development of a better health of the patients.

For all your tuberculosis control, treatment, and support needs, please consider Shifa Hospital and Dr.Bala.

[blackbiobiotech]

Advanced Tuberculosis Diagnostics: Exploring the MDR TB Kit for Drug Resistance

Tuberculosis (TB) remains a significant public health challenge worldwide, with millions affected each year. The advent of multidrug-resistant tuberculosis (MDR TB) presents challenges in the management and treatment of the disease, as it is resistant to key anti-TB medications such as isoniazid and rifampicin, thus increasing the complexity and cost of treatment. Effective management of MDR TB relies heavily on accurate and timely diagnosis, which is where advanced diagnostic tools come into play.

The Need for Rapid and Accurate Detection

Detecting MDR TB early is very important so that the right treatment can be started and to stop the spread of resistant strains. Traditional diagnostic methods can be slow and cumbersome, often requiring several weeks to yield results. In contrast, rapid diagnostic tools can significantly enhance the efficiency of TB management by providing timely information on drug resistance.

Introducing the MDR TB PCR Kit

One of the key innovations in TB diagnostics is the MDR TB PCR Kit developed by 3B BlackBio Biotech. This advanced tool leverages real-time polymerase chain reaction (PCR) technology to detect specific genetic mutations associated with drug resistance in Mycobacterium tuberculosis.

How It Works

The Tuberculosis Kit operates through a streamlined process that begins with the extraction of bacterial DNA from patient samples. The kit then uses PCR to amplify and detect genetic sequences related to resistance to isoniazid and rifampicin. The following are some benefits of this method that make it possible to quickly identify drug-resistant strains:

1. Quick Results: The MDR TB PCR Kit provides results within hours, significantly faster than traditional methods. This rapid turnaround is essential for initiating timely treatment and controlling the spread of resistant TB.

2. High Sensitivity and Specificity: Designed to identify even trace levels of drug-resistant bacteria, the kit ensures high sensitivity. Its specificity reduces the risk of false positives, making the results reliable and actionable for clinicians.

3. Comprehensive Detection: The kit screens for multiple mutations linked to drug resistance, giving a thorough analysis of the TB strain’s resistance profile. This comprehensive approach helps guide treatment decisions more accurately.

4. User-Friendly Design: The kit’s protocol is designed for ease of use, making it suitable for various laboratory settings. Whether in well-equipped labs or those with limited resources, the MDR TB PCR Kit simplifies the diagnostic process.

5. Enhanced Treatment Planning: With precise information on drug resistance, healthcare providers can tailor treatment plans to the specific needs of each patient, improving treatment outcomes and reducing the risk of resistance development.

Applications and Impact

The MDR TB PCR Kit by 3B BlackBio Biotech has wide-ranging applications in both clinical and research settings. Clinically, it aids in the rapid diagnosis of drug-resistant TB, facilitating more effective treatment strategies. In research and public health, it provides valuable data on the prevalence and spread of MDR TB, informing public health strategies and contributing to global TB control efforts.

Conclusion

An important development in the field of tuberculosis diagnostics is the MDR TB Kit. By offering rapid, accurate, and comprehensive detection of drug-resistant strains, it plays a crucial role in enhancing TB management and control. With innovative solutions like the MDR TB PCR Kit from 3B BlackBio Biotech, the fight against multidrug-resistant tuberculosis becomes more manageable and effective.

For more information about the MDR TB PCR Kit and how it can enhance TB diagnostics, visit the website at https://3bblackbio.com/trupcr-drug-resistance-mdr-tb.html. This advanced diagnostic tool is a key player in improving patient care and combating the global TB epidemic.

[pharmawalksjobs]

Lupin Ltd walk-in interview for Production, QA, QC, Engineering on 30th June 2024

Lupin Limited stands as a prominent player in India’s manufacturing industry, specializing in the production of bulk actives and formulations. Among its notable achievements, the company excels in manufacturing key bulk actives such as Rifampicin, Pyrazinamide, Ethambutol (anti-TB), Cephalosporins (anti-infectives), and cardiovascular medications. Additionally, Lupin Limited showcases its…

[healthgdwebsite]

Trintellix side effects increase suicidal thoughts and behaviour in children, adolescents, and young adults. If you think about suicide while using Trintellix, notify your doctor. If you experience these significant side effects, seek medical attention: Suddenly losing eyesight, impaired vision, tunnel vision, eye discomfort or swelling, or seeing halos around lights are the adverse effects one can have with these antidepressants. Other significant cardiac symptoms include rapid, irregular, or hammering heartbeats, chest fluttering, shortness of breath, abrupt dizziness, lightheadedness or fainting, severe headaches, disorientation, slurred speech, arm or leg weakness, problems walking, lack of coordination, unsteadiness, tight muscles, high temperature, heavy perspiration, or tremors. Uses of Trintellix This medicine treats depression. Restoration of brain serotonin equilibrium is its mechanism. SSRI and serotonin receptor modulator vortioxetine. This medicine may boost your mood, sleep, appetite, vitality, and interest in everyday life. Before using Trintellix, also called vortioxetine, with each refill, read our blog on the Medication Guide. Your doctor may prescribe taking this medicine with or without meals once a day. The dose depends on your medical condition, treatment response, and other drugs. Inform your doctor and pharmacist of all your medications, including herbal remedies. Trintellix Dosage Start with 10 mg of Trintellix orally once a day without food. Increase dosage to 20 mg/day as tolerated. On the other hand, Trintellix interacts with drugs, supplements, and substances. Trintellix may interact with MAOIs, SSRIs, SNRIs, triptans, buspirone, tramadol, tryptophan products, NSAIDs, aspirin, warfarin, bupropion, fluoxetine, paroxetine, quinidine, rifampicin, carbamazepine, and phenytoin. Inform your doctor of any drugs and supplements. Pregnancy, Breastfeeding and Trintellix However, Trintellix's antidepressant side effects are not mild; therefore, use Trintellix only if recommended during pregnancy. It is unknown whether it affects fetuses. Thus, for precautionary measures, do not breastfeed while using Trintellix. Trintellix antidepressant side effects in the latter three months of pregnancy may produce withdrawal symptoms, significant lung difficulties, or other infant issues. However, quitting the medication may be unsafe. Do not start or discontinue Trintellix without medical approval. Before Using This Medication Those who are allergic to vortioxetine should not use Trintellix. Trintellix antidepressant side effects are worse when one stops suddenly using it; you must wait 21 days before taking an MAO inhibitor. Tell your doctor if you use stimulants, opioids, herbal items, drugs for depression, mental illness, Parkinson's disease, migraine headaches, severe infections, or nausea and vomiting prevention. Moreover, Trintellix interactions may produce serotonin syndrome. To ensure Trintellix anti-depressant side effects, inform your doctor of any history of bipolar illness, substance misuse, suicidal thoughts, glaucoma, seizures, epilepsy, bleeding issues, or low sodium levels. Some young individuals think about suicide after using an antidepressant. Visit your doctor regularly to assess your progress. Your relatives or caregivers should also notice mood or symptom changes. Threats and Acts of Suicide During the first few months of medication or dosage changes, Trintellix antidepressant side effects and other antidepressants increase the risk of suicidal thoughts and behaviour in persons under 24. More importantly, TRINTELLIX is not for kids. Depression and other mental diseases drive most suicidal thoughts and behaviours. Pay attention to any changes, remarkably abrupt mood, behaviour, cognition, or emotion changes, or suicidal thoughts or acts. Contact your doctor or emergency services immediately if you have any of these or symptoms like suicidal

thoughts or actions, impulsivity, aggressive or violent acts, depression, anxiety or panic attacks, agitation, restlessness, anger, irritability, trouble sleeping, an increase in activity or talking, or other unusual changes in behaviour or mood, especially if they are new, worse, or worrying you. What Are TRINTELLIX's Side Effects? TRINTELLIX may cause serotonin syndrome, a potentially life-threatening issue when used with certain medications. If you experience any of these serotonin syndrome symptoms, call your doctor or go to the ER: agitation, seeing or hearing things that are not real, confusion, coma, rapid heartbeat, blood pressure fluctuations, dizziness, sweating, flushing, high body temperature, shaking, rigid muscles, twitching, lack of coordination; seizures, nausea, vomiting, etc. Consult with a doctor before taking TRINTELLIX with other medicine. Taking TRINTELLIX with aspirin, NSAIDs, warfarin, or blood thinners may increase bleeding risk. Immediately report unusual bleeding or bruises to your doctor. However, bipolar disorder patients using TRINTELLIX may have manic episodes. Symptoms include increased energy, racing thoughts, lofty ideas, talking more or quicker than usual, significant sleep difficulties, risky conduct, extreme cheerfulness or anger. 1. Discontinuation Syndrome Stopping TRINTELLIX suddenly can cause nausea, sweating, mood changes, irritability, agitation, dizziness, electric shock, tremors, anxiety, confusion, headache, tiredness, problems sleeping, hypomania, ringing in the ears, and seizures. In particular, for persons with underlying eye diseases, TRINTELLIX may develop angle-closure glaucoma. You may desire an eye exam to determine your risk and obtain preventive therapy. Contact your doctor if you experience eye discomfort, vision problems, swelling, or redness. 2. Low Blood Sodium TRINTELLIX may induce life-threatening low blood sodium levels. People over 65 and those taking certain medications may have low blood salt levels. Headaches, trouble focusing, memory problems, disorientation, weakness, and unsteadiness on your feet might lead to falls. In severe or abrupt instances, symptoms include seeing or hearing things that are not real, fainting, convulsions, coma, and ceasing breathing. 3. Sexual Issues With Taking Trintellix Taking TRINTELLIX may create sexual issues. Male symptoms may include delay or inability to ejaculate, diminished sex desire, or erection problems. Reduced sex desire, delayed orgasm, or inability to orgasm are female symptoms. If your sexual function changes or you have questions or concerns during TRINTELLIX therapy, talk to your doctor. The Most Common TRINTELLIX Effects Are: Nausea Constipation Vomiting Do not take Trintellix if you have used an MAO inhibitor such as isocarboxazid, methylene blue injection, phenelzine, tranylcypromine, or others in the prior 14 days. After stopping Trintellix, you must wait 21 days before taking an MAO inhibitor. Some young individuals think about suicide after using an antidepressant. Be aware of mood or symptom changes. Report any new or worsening symptoms to your doctor, such as mood or behaviour changes, anxiety, panic attacks, trouble sleeping, impulsivity, irritability, agitation, hostility, aggression, restlessness, hyperactivity (mentally or physically), depression, or thoughts about suicide or self-harm. Never give Trintellix to children under 18 without medical guidance. This medication is not for kids. Upsides Adults with MDD may take Trintellix. Off-label, Trintellix treats generalized anxiety disorder (GAD). Severe GAD (HAMA >25) seemed to benefit the most. Trintellix is a daily oral pill. Take with or without a meal. Trintellix directly targets serotonin receptors and prevents reuptake, unlike other antidepressants. Compared to tricyclics, MAOIs, and SSRIs, Trintellix seldom causes weight gain. Most individuals should observe depression

symptoms lessen after two weeks of medication, although Trintellix may take four weeks or more to work fully. Downsides The following adverse effects are more common if you are 18–60, take no other medicine, or have no other medical conditions: The most prevalent negative impact is nausea, which may occur in up to 32% of Trintellix 20 mg/day users. Other gastrointestinal adverse effects include diarrhea, dry mouth, constipation, and vomiting. You may also have dizziness, weird dreams, pruritus, and sexual dysfunction. Conclusion https://youtu.be/eCRxgYBk-xM As with other antidepressants, Trintellix may raise the risk of suicidal thoughts or actions, especially in children and young people under 24. However, watch for mood decline. However, Interaction or overdosage may produce serotonin syndrome (agitation, hallucinations, coma, delirium, high heart rate, dizziness, flushing, muscular tremor or stiffness, nausea, vomiting, or diarrhea). Lastly, stopping suddenly from using this may cause headaches, mood changes, irritability, dizziness, and a runny nose. It reduces to 10 mg/day per week before discontinuing. Get medical attention if Trintellix causes rash, edema, or trouble breathing.

[nuadox]

Nanoparticles with antibacterial action shorten duration of tuberculosis treatment

- By Julia Moióli , Agência FAPESP -

A low-cost technology involving nanoparticles loaded with antibiotics and other antimicrobial compounds that can be used in multiple attacks on infections by the bacterium responsible for most cases of tuberculosis has been developed by researchers at São Paulo State University (UNESP) in Brazil and is reported in an article published in the journal Carbohydrate Polymers.

Results of in vitro tests suggest it could be the basis for a treatment strategy to combat multidrug bacterial resistance.

According to Brazil’s Health Ministry, some 78,000 cases of tuberculosis were notified in 2022, 5% more than in the previous year and more than in any other country in the Americas. In addition to the rise in incidence, the number of cases involving multidrug-resistant strains is also growing. 

The main agent of the disease is the bacillus Mycobacterium tuberculosis, one of the most lethal bacteria known to scientists. Transmission occurs via inhalation of bacilli, which migrate to the pulmonary alveoli, causing inflammation of the airways and eventually destroying lung tissue. 

The use of nanotechnology is one of the novel treatment strategies considered most promising by scientists around the world against multidrug-resistant strains of M. tuberculosis. The UNESP study, which was funded by FAPESP (projects 20/16573-3, 22/09728-6 and 23/01664-1), analyzed the antitubercular activity of nanoparticles comprising N-acetylcysteine (an over-the-counter supplement), chitosan (a natural compound derived from the outer skeleton of shellfish), an antimicrobial peptide originally isolated from the skin of a Brazilian frog species, and rifampicin (an antibiotic commonly used to treat tuberculosis).

The results showed that the nanoparticles significantly inhibited progression of the disease and overcame resistance to the drug without causing cell damage.

In vitro assays were performed with M. tuberculosis-infected fibroblasts, the main cells active in connective tissue, and macrophages, cells of the innate immune system and a key component of first-line defense against pathogens.

“Rifampicin is considered obsolete for certain strains of the bacillus, but in our study, we revitalized and optimized it with antimicrobial peptides that have been proven to help combat the disease,” said Laura Maria Duran Gleriani Primo, first author of the article and an undergraduate student at UNESP’s School of Pharmaceutical Sciences with a scientific initiation grant. 

“These peptides interact with various receptors in different parts of the bacterium, in both the membrane and periplasm. We found that they revitalized rifampicin, which became even more active inside macrophages,” said Cesar Augusto Roque-Borda, joint first author of the study and a PhD candidate in UNESP’s Program of Graduate Studies in Biosciences and Pharmaceutical Biotechnology. The periplasm is a region of bacterial cells that lies between the inner cytoplasmic and outer bacterial membranes of the cell envelope.

Prospects

Conventional treatment of tuberculosis entails concomitant use of several antiobiotics for six months to about two years depending on the patient’s response and the bacterium’s resistance. The researchers expect their technique to shorten this time.

“From the study, we know it’s possible to insert a considerable concentration of antibiotic and peptides into macrophages – enough to boost the effect of the treatment,” said Fernando Rogério Pavan, last author of the article and a professor at UNESP’s School of Pharmaceutical Sciences. “Our expectations for future research include using this type of nanotechnology with other drugs and slow-release medications so that patients don’t need to take their medication every day.”

The next step will be to confirm the in vitro findings by means of in vivo trials and study the use of the nanoparticles to combat other diseases that require treatment for long periods.

The article “Antimicrobial peptides grafted onto the surface of N-acetylcysteine-chitosan nanoparticles can revitalize drugs against clinical isolates of Mycobacterium tuberculosis” is at: www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0144861723009141?via%3Dihub. 

Image: Graphical abstract of the study (image created by Cesar Augusto Roque-Borda using free version of biorender.com)

This text was originally published by FAPESP Agency according to Creative Commons license CC-BY-NC-ND. Read the original here.

--

Read Also

A practical and effective novel community-based TB diagnostic technology

[neekochan]

anyway i cant sleep puta nag faflashback sa utak ko mga inaral ko like randomly ko na lang naiisip yung chloroquine or elisa syaka western blot or rifampicin putaaaaa yoko ma patulugin nyo na ko mag rereview pa uli ako pagla gising HAHAHAHA

[jpshealth]

Unlock the Secrets of Ancient Leprosy Treatments

Introduction:

Leprosy, also known as Hansen's disease, has a history that stretches back for millennia. While modern medicine has made great strides in treating this disease, ancient cultures had their own remedies and methods to deal with leprosy. In this article, we'll take a journey back in time to unlock the secrets of ancient leprosy treatments, providing insight into practices that were often born out of necessity and limited medical knowledge.

Understanding Leprosy:

Before delving into ancient treatments, it's important to have a basic understanding of leprosy. This chronic infectious disease primarily affects the skin and peripheral nerves. It can cause skin lesions, nerve damage, and severe disfigurement if left untreated. The disease is caused by the bacterium Mycobacterium leprae.

Ancient Leprosy Treatments:

Ancient Egyptian Practices

In ancient Egypt, leprosy was recognized, and some treatments were put into practice. Egyptians used a mixture of silt from the Nile River and various natural ingredients like honey and milk for topical applications. These treatments aimed to soothe the skin and provide relief from the symptoms.

Ayurvedic Medicine in India

In India, Ayurvedic medicine has a long history of treating various ailments, including leprosy. Ayurvedic texts contain references to herbal remedies and dietary recommendations. Ingredients like Neem, Turmeric, and Bakuchi were often used in pastes and oils to manage leprosy symptoms.

Ancient Chinese Medicine

In ancient China, traditional Chinese medicine played a role in leprosy treatment. Acupuncture and herbal medicines were employed to help alleviate the suffering of leprosy patient. These treatments were focused on restoring balance in the body's energy, or Qi.

Effectiveness of Ancient Treatments:

The Limited Success

It's important to note that the understanding of leprosy in ancient times was quite rudimentary. While these treatments provided some relief from symptoms, they did not cure the disease. Leprosy remained a significant health issue for centuries.

The Transition to Modern Medicine

As medical knowledge advanced, the treatment of leprosy evolved. The discovery of antibiotics, such as dapsone, rifampicin, and clofazimine, revolutionized leprosy treatment. These drugs effectively kill the bacteria causing leprosy, leading to the decline of the disease worldwide.

Modern Leprosy Treatment:

Multi-Drug Therapy (MDT)

Today, leprosy is treated primarily with Multi-Drug Therapy (MDT), a combination of antibiotics recommended by the World Health Organization. MDT is highly effective and has been instrumental in reducing the global burden of leprosy.

Surgical Interventions

In some cases, especially when nerve damage is severe, surgical interventions may be necessary to correct deformities or alleviate pain.

Preventing Leprosy:

Early Detection and Treatment

Early detection and treatment are crucial in preventing the progression of leprosy. If left untreated, it can lead to severe complications.

Reducing Stigma

Apart from medical treatments, reducing the stigma associated with leprosy is essential. Education and awareness campaigns have been effective in changing perceptions and improving the lives of affected individuals.

Conclusion:

Ancient leprosy treatments, while rooted in the limited medical knowledge of their time, provide a fascinating glimpse into the history of medicine. Today, leprosy is a treatable and manageable disease, thanks to modern medicine's remarkable advancements. Understanding its historical context helps us appreciate the progress made in combating this age-old ailment. Remember, if you suspect any symptoms of leprosy or any other health concern, consult a doctor for accurate diagnosis and treatment.