#หัวหอม
Explore tagged Tumblr posts
prapasara · 3 months ago
Text
Tumblr media
เทศกาลกินเจ 2567
เทศกาลกินเจ 2567 เริ่มวันไหน ควรเตรียมตัวอย่างไร พร้อมประวัติความเป็นมา
เทศกาลกินเจ 2567 ตรงกับวันที่ 3-11 ตุลาคม 2567 รวมเป็นเวลา 9 วัน ซึ่งบางท่านอาจจะล้างท้องในมื้อเย็นวันที่ 2 ตุลาคม รวมเป็น 10 วันก็ได้ ซึ่งเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการกินเจ ความหมายของคำว่า "เจ" และทำไมเราต้องกินเจ กินเจแล้วได้อะไร ช่วงเทศกาลกินเจ ห้ามกินอะไรบ้าง กินอะไรได้บ้าง มาหาคำตอบกันค่ะ
เทศกาลกินเจ 2567 เริ่มตั้งแต่วันที่เท่าไหร่
ช่วงเทศกาลกินเจของทุกปี ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน ตรงกับเดือน 11 หรือเดือนตุลาคมของไทย ตามปฏิทินสากล รวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 9 วัน 9 คืน
เทศกาลกินเจ 2567 เริ่มวันที่ 3-11ตุลาคม 2567 รวมเป็นเวลา 9 วัน บางท่านอาจจะล้างท้องตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคมในมื้อเย็น รวมเป็น 10 วัน ก็สามารถทำได้
ทำไมต้องล้างท้อง
การล้างท้องหมายถึง เริ่มกินเจก่อนถึงวันเริ่มต้นเทศกาลจริง 1-2 วันเพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับสภาพ และทำความคุ้นเคยกับการกินเจได้ดียิ่งขึ้น
ความหมายของคำว่า "เจ"
คำว่า “เจ” ในภาษาจีนทางพระพุทธศาสนา หมายถึง “อุโบสถ หรือการรักษาศีล 8” ของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่จะมีการรักษาอุโบสถศีล ไม่บริโภคอะไรหลังเที่ยงวันตามหลักศีล 8 ข้อ และไม่บริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นการไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิต ช่วงหลังจึงเรียกคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ว่า “กินเจ” ไปด้วย แต่ถึงกระนั้นการกินเจไม่ใช่เพียงแต่งดเนื้อสัตว์ อาหาร และเครื่องปรุงที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ แต่ยังรวมถึงการรักษาศีล ประพฤติตัวเป็นคนดีทั้งกาย วาจา ใจ อีกด้วย 
ประวัติความเป็นมาของเทศกาลกินเจ
เทศกาลเจ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้ว ตามตำนานเล่าว่า เกิดมาในสมัยที่ชาวจีนถูกรุกรานโดยชนชาติแมนจู ซึ่งเข้าปกครองประเทศจีน และบังคับให้ชนชาติจีนยอมรับวัฒนธรรมของตน อาทิ การไว้ทรงผมเยี่ยงแมนจู คือ โกนศีรษะโล้นทางด้านหน้าและไว้ผมยาวทางด้านหลัง ซึ่งหลายคนคงจะชินตาในภาพยนตร์จีนที่นำมาฉายทางทีวี
ในสมัยนั้น มีคนจีนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันต่อต้านชาวแมนจู โดยใช้หลักทางธรรมเข้ามาร่วมด้วย ชาวจีนกลุ่มนี้ นุ่งขาว ห่มขาวและไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งมีความเชื่อว่า การประพฤติปฏิบัติตามแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็ง ให้กับกลุ่มของตนจนสามารถต้านทานชาวแมนจูได้ คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งแม้จะได้ต่อสู้อย่างอาจหาญ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานการรุกรานของชาวแมนจูได้
เมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู จึงพากันถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้ "หงี่หั่วท้วง" ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น
ความเชื่อถืออีกกระแสหนึ่งของตำนานการกินเจนั้น เชื่อกันว่าเป็นการสักการะพระพุทธเจ้าในอดีต 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ในพิธีกรรมนี้ สาธุชนจึงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หันมาบำเพ็ญศีล โดยการตั้งปณิธานในการกินเจ งดเว้นอาหารคาว เพื่อเป็นการสมาทานศีล
สำหรับเมืองไทยความเชื่อเรื่องการกินเจ เป็นไปในแนวทางของการละเว้นการเอาชีวิตของสัตว์ เพื่อเป็นสักการะบูชาแก่ พระพุทธเจ้า และมหาโพธิสัตว์กวนอิม อาจเนื่องจากการแพร่หลายของกการละเว้นการกินเนื้อวัว ในกลุ่มคนที่นับถือ "เจ้าแม่กวนอิม" การกินเจ จึงเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมเพื่อสักการะ
เตรียมตัวอย่างไรกับเทศกาลกินเจ
ห้ามกินผักที่มีกลิ่นฉุนหรือผักที่มีกลิ่นแรง เพราะจะทำให้ร่างกายและพลังธาตุถูกทำลาย ร่างกายเกิดการกระตุ้นจากรสของอาหารนั้นๆ ได้แก่ หัวหอม ต้นหอม ใบหอม หลักเกียว กุ้ยช่าย กระเทียม ใบยาสูบ (บุหรี่ ยาเส้น ของเสพติดมึนเมา) หมายถึงต้องงดสูบบุหรี่และกินเหล้าในช่วงที่ถือศีลกินเจนี้ด้วย
ห้ามกินเนื้อสัตว์ หรืออาหารที่มีส่วนผสมหรือส่วนประกอบ หรือเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งจากสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นไขมันสัตว์ ไข่ เลือด อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเนื้อสัตว์
ห้ามกินอาหารที่มีรสจัด ไม่ว่าจะเป็นทั้งเผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด หรือเปรี้ยวจัดก็ตาม เพราะอาหารที่มีรสจัดจะไปกระตุ้นต่อมต่างๆ ของร่างกายให้ทำงานมากขึ้น เชื่อว่าจะเป็นผลให้จิตใจไม่สงบในช่วงถือศีล กินเจนี้
ห้ามกินอาหารที่คนปรุงไม่ได้ถือศีลกินเจ ข้อนี้แหละที่ทำให้คนถือศีลกินเจต้องไปอยู่รวมกันในสถานที่ที่มีคนกินเจรวมตัวกันอยู่ อย่างเช่นโรงทาน ศาลเจ้าต่างๆ ที่จัดงาน เพราะคนที่ทำหน้าที่ทำอาหารนั้นจะถือศีลด้วย
ถ้วยชามที่ใช้ใส่อาหารจะต้องไม่ปนกัน ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือเบียดเบียนชีวิตใคร ต้องแต่งกายด้วยชุดขาว ห้ามพูดคำหยาบ โกหก ยุยง ส่อเสียด หรือพูดจาไม่เป็นสาระ
ห้ามดื่มสุราและของมึนเมา ในช่วงที่ถือศีลกินเจตลอด 9 วัน
ห้ามดับตะเกียงทั้ง 9 ดวง ในสถานที่อย่างศาลเจ้า โรงเจ โรงทาน หรือสถานที่ที่จัดงานถือศีลกินเจ จะมีการจุดตะเกียง 9 ดวงเอาไว้ตลอดวันตลอดคืน จึงต้องมีคนเฝ้าไม่ให้ตะเกียงนั้นดับ
ทำไมเราต้องกินเจ
กินเจ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น เพราะอาหารเจถือเป็นอาหาร���ีวจิตอย่างหนึ่ง ช่วยปรับสภาพร่างกายให้สมดุล ล้างพิษในร่างกาย รวมถึงช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะคนจีนเชื่อว่า เนื้อสัตว์เป็น “หยิน” และผักผลไม้เป็น “หยาง” โดยธรรมชาติคนเรามักทานเนื้อสัตว์เยอะกว่าผักผลไม้ การงดทานเนื้อสัตว์จึงเป็นการปรับให้หยินและหยางสมดุลมากยิ่งขึ้นด้วย
กินเจ เพื่อทำบุญ เพื่อชำระล้างใจให้ใสสะอาด ไม่เบียดเบียนสัตว์โลก ทำให้จิตใจเราผ่องใสมากขึ้น เมื่อเราทราบว่าสิ่งที่เราทำเป็นเรื่องที่ดี ก็จะส่งผลต่อจิตใจที่เบิกบาน เป็นสุขขึ้น
กินเจ เพื่อละเว้นกรรม ที่เกิดจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือแม้กระทั่งการจ้างฆ่าเพื่อการบริโภค หากเราทราบว่าการงดบริโภคเนื้อสัตว์ เป็นการช่วยชีวิตสัตว์นับพันนับหมื่น เราก็จะช่วยลดกรรมของเราได้มากขึ้น
Tumblr media
ช่วงเทศกาลกินเจ ห้ามกินอะไรบ้าง
ห้ามทานเนื้อสัตว์ และห้ามทำอันตรายต่อสัตว์
ผักที่มีกลิ่นฉุน 5 อย่าง ได้แก่ กระเทียม (ไม่ดีต่อหัวใจ), หอมใหญ่ แดง ขาว ต้นหอม (ไม่ดีต่อไต), หลักเกียว ผักของจีน มีลักษณะคล้ายกระเทียมโทน (ไม่ดีต่อม้าม), กุยช่าย (ไม่ดีต่อตับ) และ ใบยาสูบ (ไม่ดีต่อปอดเมื่อใช้สูบ) นอกจากนี้ผักชนิดไหนที่มีกลิ่นฉุนก็ไม่ควรทานระหว่างช่วงกินเจด้วย
นม เนย น้ำมัน และผลิตภัณฑ์จากสัตว์
อาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นเค็มจัด หวานจัด เปรี้ยวจัด หรือเผ็ดจัด
เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ใครที่กินเจจริงจัง ห้ามทานอาหารบนภาชนะที่ใช้ร่วมกับผู้ที่ไม่ได้��ินเจ และต้องทานอาหารที่ปรุงจากคนที่กินเจด้วยกันเท่านั้น
ช่วงเทศกาลกินเจ กินอะไรได้บ้าง
ชา กาแฟ ที่ไม่ใส่นม เนย หรือครีมเทียม
วิตามินเสริมอัดเม็ด ที่ไม่มีสารสกัดจากสัตว์
ขนมกรุบกรอบ ที่ไม่มีส่วนผสมของสัตว์
พริกไทย เป็นสมุนไพร (แต่หากรู้สึกว่ามีกลิ่นฉุน สามารถเลี่ยงได้)
ขนมปัง (ที่เป็นขนมปังเจ หรือไม่มีส่วนผสมของนม)
มาม่า หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (สูตรเจเท่านั้น)
แต่งหน้า และฉีดน้ำหอม (สำหรับคนถือศีล 5 หากถือศีล 8 จะทำไม่ได้)
ช่วงเทศกาลกินเจ ทานอาหารเหล่านี้ได้ แต่ไม่แนะนำ
น้ำอัดลม (ไม่มีข้อห้าม แต่น้ำตาลสูงเกินไป)
ผงชูรส (แม้จะทำจากมันสำปะหลังและกากน้ำตาลจากอ้อย แต่ผงปรุงรสอาหารอื่นๆ มักผสมเนื้อสัตว์)
ช็อคโกแลต (ส่วนใหญ่มีนมเป็นส่วนผสม แต่หากทานดาร์คช็อคโกแลต 100% ก็สามารถทำได้ แต่หายาก)
ถึงแม้การกินเจ จะดูเป็นเรื่องยากสำหรับคนชอบทานเนื้อสัตว์ แต่เราเชื่อว่าหากคุณได้ลองกินเจแล้ว นอกจากสุขภาพที่จะดีขึ้นอย่างทันตาเห็นแล้ว ยังอิ่มบุญอิ่มใจจากการถือศีล และหากออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอควบคู่ไปด้วย ยังได้ผิวพรรณที่ดี และหุ่นสวยหล่อเพอร์เฟ็คแน่นอน ใครยังไม่เคยก็ลองกินเจปีนี้เป็นปีแรกกันดูนะคะ รับรองว่าจะต้องติดใจจนไม่อยากหยุดกินเจแน่นอน
Vegetarian Festival  ,      
ที่มา      ::     https://www.sanook.com/health/1429/
3 notes · View notes
mannyhappy95 · 1 year ago
Text
เมนูอาหาร 5 หมู่กินง่าย อร่อยและมีปร��โยชน์
Tumblr media
ผลหวย ปัจจุบันนี้คนเรามีเวลาส่วนตัวน้อยนัก และไม่มีเวลาแม้แต่จะหันมาดูแลสุขภาพของตนเองเลยวันนี้เรามีสาระดีๆเกี่ยวกับการรับประทานอาหารง่ายๆ อร่อยและมีประโยชน์มาแนะนำหลายคนไม่ได้ให้ความสำคัญกับการได้รับสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ในทุกๆ มื้อเพื่อสุขภาพที่ดี ทำให้บางครั้งเกิดปัญหาสุขภาพตามมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่าง ท้องผูก ไปจนถึงขาดสารอาหารบางอย่าง การกินอาหารตามสั่งใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ อาหารตามสั่งที่มีสารอาหารตาม 5 หมู่จึงเป็นทางเลือกที่พวกเราไม่ควรละเลยและสามารถเลือกกินได้บ่อยๆ สลับเมนูกันไปเรื่อยง่ายๆได้เลย
เมนูอาหาร 5 หมู่ที่เป็น อาหารตามสั่ง ข้าวราดผัดกะเพราเนื้อสัตว์ ข้าวราดผัดกะเพราแสนอร่อยที่หากินได้ง่ายที่หลายคนเรียกว่า อาหารสิ้นคิด มีแทบทุกร้านที่เป็นอาหารตามสั่ง หรือจะทำกินเองที่บ้านก็ง่ายเช่นกัน ถ้าจะให้ครบ 5 หมู่แบบเน้นๆ ควรใส่ผักเพิ่มเติมลงไปอีกนิด เช่น ถั่วฝักยาว ข้าวโพดอ่อน หอมหัวใหญ่ หรือแครอทเพื่อเพิ่มเกลือแร่ และวิตามินให้กับอาหารมื้อนี้ นอกจากแป้งจากข้าว ไขมันจากน้ำมันทำอาหาร และโปรตีนจากเนื้อสัตว์ (อย่าลืมเลือกเนื้อสัตว์ไขมันต่ำอย่าง ไก่ (ไม่ใส่หนัง) หมูสับไขมันน้อย หรือเต้าหู้ไข่ สำหรับคนที่อยากกินกะเพราแต่กลัวอ้วน สามารถลดพลังงานจากอาหารจานนี้ได้โดยการใช้น้ำมันมะกอกในการทำอาหาร เลือกอกไก่ เนื้อปลาดอลลี่ และถ้าอยากกินไข่เสริมด้วยแบบฟูลออปชั่น เลือกทอดไข่ดาวน้ำ ทอดแบบไร้น้ำมัน หรือเปลี่ยนเป็นไข่ต้มได้เช่นกัน
ข้าวราดผัดผักน้ำมันหอย ใส่เนื้อสัตว์ ข้าวราดผัดผักน้ำมันหอย สามารถเปลี่ยนผักและเนื้อสัตว์ได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นผัดผักรวม ผักดอกกะหล่ำ ผัดบร็อกโคลี ผัดถั่วลันเตา ผัดคะน้า ผัดแขนง ผัดผักบุ้ง ผัดผักกระเฉด ฯลฯ เพื่อให้มีเกลือแร่และวิตามิน บวกกับแป้งจากข้าว น้ำมันจากน้ำมันทำอาหาร และเนื้อสัตว์ตามใจชอบ (เน้นเนื้อสัตว์ไขมันต่ำเช่นเคย)
ก๋วยเตี๋ยว ในก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม มีครบทุกหมู่ได้ง่ายๆ โดยได้��าร์โบไฮเดรต (แป้ง) จากเส้นก๋วยเตี๋ยว โปรตีนจากเนื้อสัตว์ ไก่ หมู เนื้อ เป็ด ฯลฯ และถั่วงอก ถั่วลิสง เกลือแร่และวิตามินจากผักต่างๆ เช่น ผักบุ้ง คะน้า หัวไชเท้า โหระพา กวางตุ้ง ผักหวาน ผักกาดหอม ฯลฯ และไขมันจากน้ำมันทำอาหารแต่อย่าเผลอปรุงรสน้ำซุปมากจนเกินไป ระวังโซเดียมด้วย
ข้าวผัด ข้าวผัดเป็นอีกหนึ่งเมนูที่เราสามารถสร้างสรรค์เมนูได้ตามใจที่ต้องการ นอกจากข้าวที่เป็นคาร์โบไฮเดรตที่สำคัญแล้ว โปรตีนจากเนื้อสัตว์เราก็สามารถเลือกได้อย่างหลากหลายว่าจะเป็น ไก่ หมู กุ้ง ปลาหมึก หรืออื่นๆ รวมถึงไข่ก็เป็นโปรตีนอีกเช่นกัน ผักที่ใส่ได้สารพัดทั้งคะน้า มะเขือเทศ หัวหอม แคร์รอต ที่ให้ทั้งเกลือแร่และวิตามิน และไขมันจากน้ำมันทำอาหารที่ใช้ในการผัดด้วย
สุกี้ เมนูโปรดของคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก แต่ได้สารอาหารครบ 5 หมู่ เพราะคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากวุ้นเส้นให้พลังงานต่ำกว่าข้าวและเส้นก๋วยเตี๋ยวอย่างแน่นอน แถมยังได้โปรตีนจากเนื้อสัตว์และไข่ เกลือแร่และวิตามินจากผักต่างๆ เช่น ผักบุ้ง ผักกาดขาว ขึ้นฉ่าย ฯลฯ ในปริมาณที่มากกว่าแป้งอีกด้วย แต่อย่าเผลอใส่น้ำจิ้มมากเกินไป ระวังปริมาณโซเดียมเกินพอดีด้วยเช่นกัน
Tumblr media
โดยอาหารที่กล่าวมาทั้งหมดนี้สามารถหาทานได้ง่าย ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถช่วยดูแลสุขภาพของทุกคนได้เป็นอย่างดีซึ่งวิธีการเลือกรับประทานอาหารตามสั่งที่ว่ามานี้จะช่วยลดเวลาอันแสนเร่งรีบของเราได้เช่นกันค่ะ ผลหวย
2 notes · View notes
tefiinfo · 7 months ago
Link
0 notes
leisurelygirl2025 · 7 months ago
Text
Tumblr media
วิธีทำปลาหมึกผัดไข่เค็มอย่างง่าย
วิธีทำ
นำไข่แดงเค็มออกมาบด ผสมกับนมสดหรือนมข้นจืดเล็กน้อย เติมเกลือ น้ำตาล และพริกไทยป่นหยาบเล็กน้อย
นำมาหมึกมาล้างทำความสะอาด ดึงแกนออก ตัดส่วนหัวทิ้ง นำมาบั้งเป็นตาข่ายให้สวยงาม
ตั้งกระทะให้ร้อน เติมน้ำมันลงไปเล็กน้อย ใส่ปลาหมึกลงไป พอเริ่มสุกให้ใส่ ผักชี หัวหอม ต้นหอมลงไป ผัดให้เข้ากัน พอเริ่มระอุให้ใส่ซอสไข่เค็มลงไป ผัดให้เข้ากัน
ตักเสิร์ฟพร้อมพริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบให้สวยงาม รับประทานพร้อมข้าวสวย
1 note · View note
wirawandumlongkun · 11 months ago
Text
อาหารที่มีความเสี่ยงต่อ อาการปวดท้อง
Tumblr media
อาการปวดท้อง เป็นอาการที่พบบ่อยและอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยอาหารบางชนิดอาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดท้องได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการแพ้อาหารหรือภาวะทางเดินอาหารอื่นๆอาหาร��ี่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดท้อง ได้แก่
1.ผลิตภัณฑ์จากนม ผลิตภัณฑ์จากนม���ป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย เช่น โปรตีน แคลเซียม และวิตามินดี แต่สำหรับบางคน ผลิตภัณฑ์จากนมอาจเป็นสาเหตุของอาการปวดท้องได้อาการปวดท้องจากผลิตภัณฑ์จากนมเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในผลิตภัณฑ์จากนมได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งทำให้เกิดแก๊สและอาการท้องอืด ซึ่งอาจนำไปสู่การปวดท้องได้
อาการปวดท้องจากผลิตภัณฑ์จากนมมักเกิดขึ้นภายใน 30 นาทีถึง 2 ชั่วโมงหลังจากรับประทานผลิตภัณฑ์จากนม อาการอาจรวมถึงหากคุณมีอาการปวดท้องหลังจากรับประทานผลิตภัณฑ์จากนม คุณอาจมีภาวะแพ้แลคโตส คุณควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม หากคุณมีภาวะแพ้แลคโตส คุณสามารถหลีกเลี่ยงอาการปวดท้องได้โดยการหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากนมที่มีแลคโตส คุณสามารถเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์จากนมที่ปราศจากแลคโตสแทนได้
ผลิตภัณฑ์จากนมที่ปราศจากแลคโตสมีวางจำหน่ายในท้องตลาดมากมาย เช่น นมปราศจากแลคโตส โยเกิร์ตปราศจากแลคโตส และชีสปราศจากแลคโตส คุณสามารถเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์จากนมเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอาการปวดท้อง mydeedeesปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในปี2024
2.ถั่ว ถั่วบางชนิด เช่น ถั่วแดง ถั่วดำ และถั่วลิสง อาจทำให้เกิดแก๊สและอาการปวดท้องถั่วเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่ก็เป็นอาหารที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดท้องได้เช่นกัน โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการแพ้ถั่วหรือผู้ที่มีระบบย่อยอาหารที่ไม่ดีอาการปวดท้องจากถั่วสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น
การแพ้ถั่ว: ผู้ที่แพ้ถั่วจะมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ผื่นขึ้นตามตัว และหายใจลำบากหลังจากรับประทานถั่ว
การย่อยถั่วไม่ดี: ถั่วเป็นอาหารที่ย่อยยาก โดยเฉพาะในผู้ที่มีระบบย่อยอาหารที่ไม่ดี การรับประทานถั่วมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องอืด และท้องเฟ้อได้
การรับประทานถั่วที่ไม่สุก: ถั่วที่ไม่สุกอาจมีสารพิษที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องได้
3.ผลไม้รสเปรี้ยว: ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม องุ่น และสับปะรด อาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอกและอาการปวดท้องผลไม้รสเปรี้ยวเป็นอาหารที่หลายคนชื่นชอบ ด้วยรสชาติที่เปรี้ยวอมหวาน ช่วยดับกระหายและสดชื่นได้ดี แต่คุณรู้หรือไม่ว่าผลไม้รสเปรี้ยวบางชนิดอาจก่อให้เกิดอาการปวดท้องได้
ผลไม้เหล่านี้มีกรดซิตริก (citric acid) ในปริมาณสูง ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดท้องได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อนหรือโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้วหากคุณมีอาการปวดท้องหลังจากรับประทานผลไม้รสเปรี้ยว คุณควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผลไม้เหล่านี้ในปริมาณมาก และควรปรึกษาแพทย์หากอาการปวดท้องไม่ดีขึ้น
4. อาหารรสเผ็ด: อาหารรสเผ็ดอาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดท้องในบางคนอาหารรสเผ็ดเป็นที่ชื่นชอบของคนจำนวนมาก แต่คุณรู้หรือไม่ว่าอาหารรสเผ็ดอาจเป็นสาเหตุของอาการปวดท้องได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีอาการของโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว
อาหารรสเผ็ดจะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ได้ นอกจากนี้ อาหารรสเผ็ดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ และคลื่นไส้ได้
หากคุณมีอาการปวดท้องหลังจากรับประทานอาหารรสเผ็ด คุณควรหยุดรับประทานอาหารรสเผ็ดและดื่มน้ำมากๆ เพื่อเจือจางกรดในกระเพาะอาหาร คุณอาจรับประทานยาแก้ปวดท้องเพื่อบรรเทาอาการได้ แต่หากอาการปวดท้องไม่ดีขึ้นหรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือถ่ายอุจจาระเป็นเลือด คุณควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษา
อาหารรสเผ็ดที่ควรหลีกเลี่ยง
หากคุณมีอาการของโรคกระเพาะอาหารหรือมีอาการปวดท้องหลังจากรับประทานอาหารรสเผ็ด คุณควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดต่อไปนี้
พริก
พริกไทย
กระเทียม
หัวหอม
ขิง
กะปิ
น้ำปลา
ซอสถั่วเหลือง
ซอสพริก
ซอสมะเขือเทศ
มัสตาร์ด
วาซาบิ
บทสรุป
อาการปวดท้องเป็นอาการที่พบบ่อยและอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ หนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือการรับประทานอาหารบางชนิด อาหารบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องได้เนื่องจากมีสารที่ระคายเคืองต่อระบบย่อยอาหาร หรืออาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การปวดท้องได้อาการปวดท้องเป็นอาการที่พบบ่อยและอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ หนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือการรับประทานอาหารบางชนิด อาหารบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องได้เนื่องจากมีสารที่ระคายเคืองต่อระบบย่อยอาหาร หรืออาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การปวดท้องได้ติดตามสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ อาการปวดท้อง สาเหตุ และวิธีการรักษา
0 notes
chic-chic2020 · 11 months ago
Text
แนะนำ 5 สมุนไพรไทยช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้
Tumblr media
เราเชื่อว่ามีหลายๆ คนที่เวลามีอาการป่วยก็ไม่อยากจะทานยา แต่อาจจะรักษาด้วยวิธีแบบธรรมชาติบำบัด ด้วยการใช้สมุนไพร แต่ก็มีความเชื่อกันมานานแสนนานว่าเมื่อเกิดอาการเจ็บคอแล้ว วิธีเดียวที่จะช่วยบรรเทาอาการได้ดีที่สุดก็คือการรับประทานยาแก้อักเสบ แต่อย่าเพิ่งเชื่อแบบนั้นไปเสียทั้งหมดนะ เพราะจริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องรับประทานยาแก้อักเสบก็สามารถบรรเทาอาการเจ็บคอให้ลดลงได้ ด้วยของใกล้ตัวอย่างสมุนไพรไทย ที่เราหยิบยกขึ้นมาให้ได้ทราบกัน ถ้าคุณกำลังเจ็บคออยู่ละก็ ลองมองซ้ายมองขวาหาสมุนไพรเหล่านี้ดู ถ้าเจอแล้วรีบหยิบมาใช้ รับรองได้ว่าที่เจ็บคออยู่น่ะบรรเทาลงได้แน่นอน
1. กระเทียม
กระเทียมเป็นสมุนไพรในครัวที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้เช่นเดียวกับยาต้านจุลชีพที่ใช้ในทางการแพทย์เลยทีเดียว อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรียได้อีกด้วย โดย Michael Finkelstein แพทย์องค์รวมในย่านเวส��์เชสเตอร์ เคาท์ตี้ เมืองนิวยอร์ก ได้เปิดเผยว่า กระเทียมเป็นสมุนไพรที่สามารถรักษาอาการเจ็บคอเนื่องจากการติดเชื้อได้ อีกทั้งยังช่วยต่อสู้กับเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการเจ็บคอได้อีกด้วย ทั้งนี้ก็เพราะสารอัลลิซิน (Allicin) ที่อยู่ในกระเทียมสดนั่นเอง โดย Finkelstein ก็ยังได้แนะนำอีกว่าถ้าหากอยากจะใช้กระเทียมรักษาอาการเจ็บคอแต่ไม่ชอบความฉุนของกระเทียมก็ให้นำกระเทียมทั้งหัวไปอุ่นในไมโครเวฟ 10-15 วินาทีแล้วค่อยนำมารับประทาน จะช่วยให้กลิ่นฉุนของกระเทียมลดลงได้
2. ขมิ้น
เจ้าสมุนไพรชนิดนี้มักจะนิยมนำมาแต่งกลิ่น หรือแต่งสีอาหารเท่านั้น แต่สรรพคุณของขมิ้นก็ถือว่าดีใช่ย่อยเลยนะ เพราะเจ้าสารเคอร์คูมิน (Curcumin) ในขมิ้นมีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบได้ เหมาะจะนำมาใช้รักษาอาการเจ็บคอ���ี่เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุคออย่างยิ่ง แถมยังช่วยลดอาการไอได้อีกด้วย แค่เพียงนำขมิ้นผงมาชงกับน้ำอุ่นและเติมน้ำผึ้งลงไปเล็กน้อย จิบขณะที่อุ่น ๆ ก็จะช่วยให้ชุ่มคอและหายเจ็บคอได้เร็วขึ้นค่ะ
3. หัวหอม
นอกจากกระเทียมแล้ว ญาติอย่างหัวหอมก็สามารถรักษาอาการเจ็บคอได้เช่นกัน เพราะหัวหอมมีสารต้านอาการอักเสบที่ทรงประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังช่วยต้านเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้ ไม่เพียงเท่านั้น หัวหอมยังขึ้นชื่อว่าเป็นยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติที่ปลอดภัยอีกด้วย วิธีการใช้เพื่อรักษาอาการเจ็บคอก็ไม่ยาก เพียงนำหัวหอมมาสับพอหยาบ ผสมกับน้ำผึ้ง 6 ออนซ์ (ประมาณ 177 มิลลิลิตร) เคี่ยวในหม้อสองชั้นด้วยไฟเบา ๆ ประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นนำมาชงน้ำอุ่น จิบระหว่างวันจะช่วยให้อาการบรรเทาลงได้ค่ะ
4. ขิง
ขิงเป็นตัวเลือกยอดนิยมของใครหลาย ๆ คน เวลาที่รู้สึกเจ็บคอ เนื่องจากขิงสามารถช่วยต้านการอักเสบ รวมทั้งสามารถช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียตัวการของอาการเจ็บคอได้อีกด้วย วิธีใช้ก็ไม่ยาก แค่เพียงนำขิงหั่นแว่นไปต้มกับน้ำแล้วนำมาจิบเป็นชา หรือจะเคี้ยวขิงสด ๆ ก็ได้ แต่ถ้าหากไม่มีเวลาหรือไม่ชอบรับประทานขิงสดละก็ ลองหาขิงผงมาชงน้ำอุ่นดื่มก็ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอเช่นกันค่ะ
5. มะนาว
ปิดท้ายกันด้วยพืชที่มีรสชาติจี๊ดจ๊าดอย่างมะนาว ที่หลายคนนิยมนำมาผสมกับน้ำผึ้งและน้ำอุ่นดื่มเพื่อบรรเทาอาการไอ นอกจากจะมีวิตามินซีสูงแล้ว ในน้ำมะนาวเนี่ยก็ยังมีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบได้อีกด้วย และถ้าหากดื่มเป็นประจำทุกวันก็สามารถช่วยบำรุงสุขภาพได้ ซึ่งวิธีใช้ในการรักษาอาการเจ็บคอ ก็สามารถใช้ได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นนำน้ำมะนาวชงกับน้ำอุ่นและเติมเกลือเล็กน้อย หรือเติม���้ำผึ้ง หรือถ้าอยากให้ได้ผลดีขึ้นก็นำน้ำมะนาวมาผสมกับน้ำผึ้งและพริกป่นเล็กน้อย จะยิ่งช่วยให้อาการเจ็บคอ และไข้หวัดหายได้เร็วขึ้นค่ะ
สมุนไพรไทยล้วนแต่เป็นของดีเพื่อสุขภาพทั้งนั้น แนะนำสมุนไพรแก้ไอ มีอะไรบ้าง แนวทางการทานอย่างถูกต้อง จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่จะช่วยรักษาอาการเจ็บคอได้ แต่ก็อย่าพึ่งพาธรรมชาติมากเกินไป เพราะหากอาการเจ็บคอนั้นเป็นเรื้อรัง ใช้สมุนไพรยังไงก็ยังไม่หายก็ควรจะไปพบแพทย์ดีกว่า เพื่อความปลอดภัยค่ะ
ติดตามข่าวสารอัพเดตล่าสุดได้ที่: thaigoodherbal เกษตรทั่วไทย ก้าวไกลทั่วโลก
0 notes
mjasuw · 1 year ago
Text
กินผักและผลไม้หลากสี ดีอย่างไร?
Tumblr media
 
ผักและผลไม้
ขึ้นชื่อว่าผักและผลไม้ถือได้ว่ามีประโยชน์มากมายกับร่างกายของเรา เพราะเป็นแหล่งสะสมของวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดและมีคุณสมบัติเป็นแหล่งใยอาหารซึ่งจะเป็นสารที่ช่วยลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลและไขมัน อีกทั้งยังช่วยทำให้ระบบการย่อย รวมถึงระบบการขับถ่ายทำงานได้ดีอีกด้วย นอกจากนี้ผักและผลไม้บางชนิดยังมีสารพิเศษที่ช่วยทำหน้าที่ช่วยป้องกันและรักษาโรคบางชนิดได้อีกด้วย
                                      ประโยชน์ของผักผลไม้
ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงมีอายุยืนยาว และมีส่วนช่วยในการเจริญเติบโต
การรับประทานผักผลไม้ก็ทำให้ผิวพรรณของคุณดูสวยงามขึ้นได้ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตของผิว ทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผิวดูมีสุขภาพดีและเรียบเนียน อีกทั้งยังช่วยในการสังเคราะห์คอลาเจนในเซลล์ จึงช่วยทำให้ผิวแน่นและยืดหยุ่น เต่งตึง ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร
ช่วยบำรุงสายตา ผักผลไม้บางชนิดจะมีสารอาหารประเภทลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) เป็นสารอาหารที่บำรุงสายตา โดยส่วนมากจะพบในผักผลไม้ประเภท แครอท ฟักทอง ผักบุ้ง ผักคะน้า ตำลึง มะละกอ มะม่วงสุก เป็นต้น
ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายสามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ และช่วยป้องกันโรคท้องผูก
มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นตัวช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่าง ๆ รวมไปถึงโรคมะเร็ง (โดยเฉพาะโรคมะเร็งลำไส้)
ช่วยบำรุงสุขภาพและป้องกันความเสื่อมของอ���ัยวะต่าง ๆ ของร่างกายทั้งภายในและภายนอก
ผักผลไม้บางชนิดสามารถใช้เป็นยาสมุนไพรเพื่อป้องกันและใช้รักษาโรคบางชนิดเบื้องต้นได้อีกด้วย เช่น ไข้หวัด ร้อนใน โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เหน็บชา เป็นต้น
ช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี เช่น กล้วย แอปเปิ้ล มะละกอ ผักสลัด ถั่ว อะโวคาโด เป็นต้น
สามารถช่วยพัฒนาสมอง เสริมสร้างความจำ ได้เป็นอย่างดี มักจะพบได้ในอาหารจำพวกผักใบเขียว ผลไม้ และธัญพืชต่าง ๆ
                                  ประโยชน์ของผักผลไม้ 5 สี
ผักผลไม้สีเขียว จะมีสารประเภทคลอโรฟิลล์ และยังมีสารประกอบอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติบำรุงสุขภาพ ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันมะเร็ง และลดการเกิดความเสื่อมของจอประสาทตาได้ โดยผักผลไม้ในกลุ่มนี้ ได้แก่ ผักบุ้ง กะหล่ำปลี กวางตุ้ง ผักคะน้า ผักโขม บล็อกโคลี่ ฝรั่ง พุทรา น้อยหน่า มะกอกน้ำ อะโวคาโด แอปเปิ้ลเขียว ฯลฯ
ผักผลไม้สีขาวหรือสีน้ำตาล จะมีสารประเภทฟลาโวนอยด์อยู่หลายชนิด ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยลดอาการปวดข้อเข่า ซึ่งจะพบได้มากใน ฝรั่ง แอปเปิ้ล มังคุด และผลไม้อื่น ๆ เช่น กล้วย เงาะ ลางสาด ลองกอง ลิ้นจี่ พุทรา เป็นต้น
ผักผลไม้สีเหลืองหรือสีส้ม จะมีสารประภทเบต้าแคโรทีน ฟลาโวนอยด์ และ วิตามินซี ที่่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง กระตุ้นการกำจัดเซลล์มะเร็งของร่างกาย ช่วยดูแลรักษาสุขภาพหัวใจ หลอดเลือด และระบบภูมคุ้มกันภายในร่างกาย ผักผลไม้ในกลุ่มนี้ ได้แก่ ข้าวโพด แครอท ฟักทอง กล้วย ขนุน มะละกอสุก ส้ม สับปะรด เป็นต้น
ผักผลไม้สีแดงหรือสีชมพูอมม่วง จะมีสารประภทไลโคปิน ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมากของผู้ชาย ช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดปริมาณของไขมันไม่ดี (LDL) ภายในเลือด และบำรุงระบบทางเดินปัสสาวะ โดยมากจะพบอยู่ในผักผลไม้จำพวกดอกกระเจี๊ยบ แก้วมังกรเนื้อชมพู แตงโม ชมพู่แดง เชอร์รี่ มะเขือเทศ มะละกอเนื้อแดง หัวหอม สตรอเบอร์รี่ แอปเปิ้ลแเดง เป็นต้น
ผักผลไม้สีม่วงแดงหรือสีม่วงหรือสีน้ำเงิน จะอุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน และกลุ่ม โพลีฟีนอน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ป้องกันการทำลายของรังสีอัลตร้าไวโอเลต ช่วยปกป้องจากเซลล์มะเร็ง ช่วยลดการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือดและโรคหลอดเลือดหัวใจแข็งตัว ป้องกันการเกิดท้องเสีย ผักผลไม้กลุ่มนี้ได้แก่ กะหล่ำปลีม่วง ข้าวเหนียวดำ ชมพู่มะเหมี่ยว ชมพู่แดง ถั่วดำ ถั่วแดง เผือก มันสีม่วง มะเขือม่วง หอมแดง ลูกหว้า ลูกพรุน บลูเบอร์รี่ องุ่นแดง องุ่นม่วง เป็นต้น
                                                  
สนใจคลิ๊ก คาสิโนออนไลน์
0 notes
allstargg · 1 year ago
Text
เลี้ยงกระต่าย
Tumblr media
การ เลี้ยงกระต่ายในคอนโด เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากกระต่ายเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก ขี้อ้อน และดูแลไม่ยาก อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงกระต่ายอย่างถูกต้องก็มีความสำคัญเช่นกัน เพื่อให้กระต่ายมีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุข
อุปกรณ์สำหรับเลี้ยงกระต่าย
อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการเลี้ยงกระต่าย ได้แก่
กรงกระต่าย ควรมีขนาดกว้างและยาวพอให้กระต่ายสามารถวิ่งเล่นได้ มีถาดรองฉี่และถาดรองมูลแยกกัน
อาหารกระต่าย ควรเป็นอาหารสำเร็จรูปสำหรับกระต่ายโดยเฉพาะ เสริมด้วยผักและผลไม้สดบางชนิด
น้ำสะอาด ควรเปลี่ยนน้ำทุกวัน
ของเล่นกระต่าย เช่น บ้านของเล่น ท่อลอด แทรมโพลีน เป็นต้น
กระบะทรายสำหรับกระต่าย
การดูแลกระต่าย
การดูแลกระต่ายอย่างถูกต้อง มีดังนี้
อาหาร ควรให้อาหารกระต่ายวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น อาหารหลักควรเป็นอาหารสำเร็จรูปสำหรับกระต่ายโดยเฉพาะ เสริมด้วยผักและผลไม้สดบางชนิด เช่น แครอท ผักกาดหอม แอปเปิ้ล เป็นต้น ไม่ควรให้อาหารกระต่ายมากเกินไป เพราะอาจทำให้กระต่ายอ้วนและเป็นโรคได้
น้ำสะอาด ควรเปลี่ยนน้ำทุกวัน
กรง ควรทำความสะอาดกรงอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และทำความสะอาดถาดรองฉี่และถาดรองมูลทุกวัน
ขน ควรหวีขนกระต่ายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อกำจัดขนที่ตายแล้ว
เล็บ ควรตัดเล็บกระต่ายทุก 2-3 เดือน
สุขภาพ ควรพากระต่ายไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
ข้อควรระวังในการเลี้ยงกระต่าย
ในการเลี้ยงกระต่ายควรระวังสิ่งต่อไปนี้
ไม่ควรให้อาหารกระต่ายที่ผิด เช่น ผักและผลไม้บางชนิดที่เป็นพิษต่อกระต่าย เช่น กระเทียม หัวหอม มะเขือเทศ ถั่วลิสง เมล็ดพืชบางชนิด เป็นต้น
ไม่ควรให้กระต่ายอยู่ในที่ร้อนหรือเย็นจัด
ไม่ควรให้กระต่ายเล่นกับสายไฟหรือสิ่งของที่มีคม
การเลี้ยงกระต่ายอย่างมีความสุข
นอกจากการดูแลกระต่ายในด้านต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้ว เจ้าของกระต่ายควรใช้เวลาอยู่กับกระต่ายเป็นประจำ เพื่อให้กระต่ายรู้สึกอบอุ่นและมีความสุข เช่น ลูบหัว เล่นกับกระต่าย เป็นต้น
การเลี้ยงกระต่ายอย่างถูกต้องจะช่วยให้กระต่ายมีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุข เจ้าของกระต่ายควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงกระต่ายอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจเลี้ยง เพื่อจะได้ดูแลกระต่ายได้อย่างเหมาะสม
0 notes
zyhhz · 2 years ago
Text
0 notes
twinheaddragonstardustgg · 2 years ago
Text
0 notes
slot-789betting · 2 years ago
Text
อาหารบำรุงไต ช่วยลดความเสี่ยงโรคไต ช่วยชะลอความเสื่อม
เมื่อเราเป็นโรคไต สิ่งสำคัญคือต้องระวังก็คือสิ่งที่เรากินและดื่ม เพราะไตของเราไม่สามารถกำจัดของเสียได้ดีเท่าที่ควร แนะนำเพื่อน 789bet ซึ่งแผนการรับประทานอาหารที่เป็นมิตรกับไตก็สามารถช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้นและชะลอความเสียหายต่อไตของเราได้ หรือหากเราเป็นคนที่มีความเสี่ยงว่าจะเป็นโรคไต การเลือกกินอาหารที่ช่วยบำรุงไต ก็สามารถช่วยชะลอความเสื่อมของอวัยวะชิ้นนี้ได้เช่นกันค่ะ
ไตมีบทบาทสำคัญในร่างกายของเรา โดยการกำจัดสารพิษและของเหลวส่วนเกิน นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมความดันโลหิตและกระตุ้นการผลิตฮอร์โมน Erythropoietin (อีริโทรโพอิติน) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง ดังนั้นการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพไต สามารถส่งเสริมสุขภาพไต ช่วยปกป้องอวัยวะชิ้นนี้จากผลกระทบด้านอื่น ๆ ที่จะทำให้ไตอ่อนแอ รวมถึงการรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงไต สามารถช่วยปกป้องไตของเราจากความเสียหายที่มากขึ้น รวมถึงช่วยบำรุงให้ไตของเราแข็งแรงและทำงานได้เป็นปกติ ซึ่
อาหารที่เป็นมิตรกับไตมีดังนี้
1. หัวหอม     หัวหอมช่วยให้ไตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยสร้างความสมดุล ในหัวหอมประกอบไปด้วยสารฟลาโวนอยด์และเควอซิทินที่ช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือด หวยออนไลน์ เควอซิทินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและมะเร็งได้ และนอกจากนี้หัวหอมยังเป็นมิตรกับไตเพราะมีโพแทสเซียมต่ำ  และยังมีโครเมียมที่ช่วยเผาผลาญไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตได้อีกด้วย
2. กะหล่ำดอก     กะหล่ำดอกถือเป็นพืชตระกูลกะหล่ำและจัดเป็น superfood ที่เป็นมิตรกับไต เพราะกะหล่ำดอกเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี โฟเลตและไฟเบอร์ นอกจากนี้ยังมีสารประกอบที่มีความสำคัญต่อตับและช่วยแก้พิษในร่างกายได้
3. กะหล่ำปลี     กะหล่ำปลีเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ และเป็นผักที่อุดมไปด้วยไฟโตเคมิคอลค่ะ หนึ่งในไฟโตเคมิคอลสำคัญ��็คือสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในนั้น ซึ่งสามารถช่วยขจัดอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายในร่างกาย หวย 789 ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด และความผิดปกติของไต
4. พริกหยวกแดง     พริกหยวกแดงดีต่อสุขภาพไตเพราะมีโพแทสเซียมต่ำ นอกจากนี้ยังมีวิตามินซี วิตามินบี6 วิตามินเอ กรดโฟลิกและไฟเบอร์ พริกหยวกแดงยังมีสารต้านอนุมูลอิสระและไลโคปีนที่ป้องกันมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย
5. แอปเปิ้ล     แอปเปิ้ลเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ และยังมีคุณสมบัติในการช่วยต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน โดยเฉพาะโรคเบาหวานค่ะ เนื่องจากโรคนี้มีความเกี่ยวข้องกับภาวะไตวาย การบริโภคแอปเปิ้ลสามารถช่วยปกป้องเราจากปัญหาไตได้
6. ราสเบอร์รี่     ราสเบอร์รี่มีกรดเอลลาจิกที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ รวมถึงยังดีต่อผู้ป่วยโรคไตที่ต้องรับการฟอกไตและปลูกถ่ายไตอีกด้วย สีแดงในผลเบอร์รี่เหล่านี้มีสารแอนโธไซยานิน เว็บ 789bet และยังเป็นแหล่งใยอาหารที่ดี มีวิตามินซี แมงกานีส และโฟเลตสูง ราสเบอร์รี่ยังช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย
7. องุ่นแดง     องุ่นแดงเต็มไปด้วยสารประกอบโพลีฟีนอลตามธรรมชาติที่เรียกว่า เรสเวอราทรอล ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เช่น ช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจ ช่วยปกป้องไต ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของไต เช่น การบาดเจ็บจากการขาดเลือด การบาดเจ็บจากยา ภาวะไตจากเบาหวาน เป็นต้น
0 notes
blogherbalth · 2 years ago
Text
กรดไหลย้อน โรคทางเดินอาหารที่แสนทรมาน
dfsd
กรดไหลย้อนเป็นโรคทางเดินอาหารทั่วไปที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้านทั่วโลก เกิดขึ้นเมื่อกรดในกระเพาะอาหาร และสาร��ื่นๆ ไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหาร ทำให้เกิดการระคายเคือง และอักเสบ ภาวะนี้เรียกอีกอย่างว่าโรคกรดไหลย้อน (GERD) และอาการของมันรวมถึงอาการเสียดท้อง เจ็บหน้าอก และการสำรอกอาหาร หรือ ของเหลวรสเปรี้ยว สาเหตุของกรดไหลย้อนมีหลากหลาย และรวมถึงปัจจัยในการดำเนินชีวิต พฤติกรรมการบริโภคอาหาร สภาวะทางการแพทย์ และการใช้ยา แต่บางคนอาจได้ทำการซื้อยาลดกรดไหลย้อนที่มีการขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกรดไหลย้อนมากิน แต่ในบทความนี้เราจะมาสำรวจสาเหตุของกรดไหลย้อน วิธีการวินิจฉัย และวิธีการรักษาโดยใช้สมุนไพรและสารเคมี
สาเหตุของกรดไหลย้อน
ปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์
ปัจจัยในการดำเนินชีวิต เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป และโรคอ้วน ล้วนมีส่วนทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ การสูบบุหรี่จะเพิ่มการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร และทำให้กล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างอ่อนแอลง (LES) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ควบคุมการไหลเวียนของอาหารในกระเพาะอาหารไปยังหลอดอาหาร แอลกอฮอล์ยังทำให้ LES อ่อนแอลง และอาจทำให้กระเพาะอาหารผลิตกรดมากขึ้น โรคอ้วนจะเพิ่มความดันในกระเพาะอาหารซึ่งอาจทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้
พฤติกรรมการบริโภคอาหาร
พฤติกรรมการรับประทานอาหารก็มีส่วนทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้เช่นกัน อาหารที่มีไขมันสูง เผ็ดจัด  หรือ เป็นกรดสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการได้ อาหารที่มักกระตุ้นกรดไหลย้อน ได้แก่ ช็อกโกแลต คาเฟอีน หัวหอม กระเทียม ผลไม้ตระกูลส้ม มะเขือเทศ และสะระแหน่ การรับประทานอาหาร��ื้อใหญ่ การรับประทานอาหารก่อนนอน และการนอนราบหลังรับประทานอาหารสามารถเพิ่มความเสี่ยงของกรดไหลย้อนได้
เงื่อนไขทางการแพทย์
สภาวะทางการแพทย์บางอย่างสามารถเพิ่มความเสี่ยงของกรดไหลย้อนได้ เงื่อนไขเหล่านี้รวมถึงไส้เลื่อนกระบังลม, กระเพาะอาหาร, scleroderma และ Zollinger-Ellison syndrome ไส้เลื่อนกระบังลมเกิดขึ้นเมื่อส่วนบนของกระเพาะอาหารโป่งผ่านไดอะแฟรม และเข้าไปในหน้าอก โรคกระเพาะเป็นภาวะที่กระเพาะอาหารใช้เวลานานกว่าปกติในการว่างเปล่า Scleroderma เป็นโรคของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่อาจส่งผลต่อหลอดอาหาร Zollinger-Ellison syndrome เป็นภาวะที่พบได้ยากที่ทำให้กระเพาะอาหารผลิตกรดมากเกินไป
ยา
ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ ยาเหล่านี้ได้แก่ แอสไพริน ไอบูโพรเฟน บิสฟอสโฟเนต และยาคลายกล้ามเนื้อบางชนิด ยาเหล่านี้อาจทำให้หลอดอาหารระคายเคือง และทำให้ LES อ่อนแอลง
การวินิจฉัยของโรคกรดไหลย้อน
การวินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนมักพิจารณาจากอาการที่ผู้ป่วยรายงาน หากอาการรุนแรง หรือ ต่อเนื่อง อาจต้องทำการทดสอบเพิ่มเติม การทดสอบที่สามารถช่วยในการวินิจฉัยกรดไหลย้อน ได้แก่
การส่องกล้อง
การส่องกล้องเป็นขั้นตอนที่สอดท่อที่บาง และยืดหยุ่นซึ่งมีกล้องที่ปลายเข้าไปในหลอดอาหาร กล้องช่วยให้แพทย์ตรวจดูหลอดอาหาร และกระเพาะอาหารเพื่อหาสัญญาณของการอักเสบ หรือ ความเสียหาย
การตรวจสอบค่า pH ของหลอดอาหาร
การตรวจสอบค่า pH ของหลอดอาหารเป็นการทดสอบที่วัดความเป็นกรดของหลอดอาหาร หลอดเล็กถูกสอดเข้าไปในหลอดอาหาร และทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง หลอดวัดระดับ pH ของหลอดอาหาร และบันทึกอาการกรดไหลย้อน
Manometry หลอดอาหาร
Esophageal manometry เป็นการทดสอบที่วัดความดันในหลอดอาหาร หลอดที่บาง และยืดหยุ่นได้จะถูกสอดเข้าไปในหลอดอาหาร และวัดความดันในขณะที่ผู้ป่วยกลืนเข้าไป
การรักษาด้วยสมุนไพร
การรักษากรดไหลย้อนด้วยสมุนไพรนั้นขึ้นอยู่กับการใช้พืชที่มีผลผ่อนคลายต่อระบบย่อยอาหาร จังมีการขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกรดไหลย้อน ที่ทำมาจากสมุนไพร ซึ่งสมุนไพรต่อไปนี้สามารถใช้รักษากรดไหลย้อนได้
ขิง
ขิงมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่สามารถช่วยลดการอักเสบในหลอดอาหาร นอกจากนี้ยังมีผลผ่อนคลายต่อระบบย่อยอาหาร ซึ่งสามารถช่วยลดอาการกรดไหลย้อนได้ ขิงสามารถ
Slippery Elm
Slippery Elm เป็นสมุนไพรที่มีผลผ่อนคลายต่อระบบย่อยอาหาร สามารถช่วยลดการอักเสบ การระคายเคืองในหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร ซึ่งสามารถลดอาการกรดไหลย้อนได้ Slippery Elm สามารถบริโภคเป็นชา หรือ ในรูปแบบอาหารเสริม
ชะเอม
รากชะเอมมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่สามารถช่วยลดการอักเสบในหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ยังมีผลในการป้องกันเยื่อบุกระเพาะอาหารซึ่งสามารถช่วยป้องกันความเสียหายจากกรดในกระเพาะอาหาร ชะเอมสามารถบริโภคเป็นชา หรือ ในรูปแบบอาหารเสริม
ดอกคาโมไมล์
คาโมมายล์มีผลทำให้ระบบย่อยอาหารสงบลง ซึ่งสามารถช่วยลดอาการกรดไหลย้อนได้ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่สามารถลดการอักเสบในหลอดอาหาร คาโมมายล์สามารถดื่มเป็นชา หรือ ในรูปแบบอาหารเสริมก็ได้
การบำบัดกรดไหลย้อนทางเคมี
การรักษาทางเคมีสำหรับกรดไหลย้อนขึ้นอยู่กับการใช้ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดที่ผลิตโดยกระเพาะอาหาร สามารถใช้ยาต่อไปนี้เพื่อรักษากรดไหลย้อนได้
��ารยับยั้งโปรตอนปั๊ม (PPIs)
PPIs เป็นยาประเภทหนึ่งที่ช่วยลดปริมาณกรดที่ผลิตโดยกระเพาะอาหาร พวกมันทำงานโดยการปิดกั้นปั๊มโปรตอนในกระเพาะอาหารที่ผลิตกรด ตัวอย่างของ PPIs ได้แก่ โอเมพราโซล อีโซพราโซล และแลนโซพราโซล
H2 บล็อกเกอร์
H2 blockers เป็นกลุ่มของยาที่ช่วยลดปริมาณกรดที่ผลิตโดยกระเพาะอาหาร ทำงานโดยการปิดกั้นตัวรับฮีสตามีนในกระเพาะอาหารที่กระตุ้นการผลิตกรด ตัวอย่างของ H2 blockers ได้แก่ รานิทิดีน และฟาโมทิดีน
ยาลดกรด
ยาลดกรดเป็นยาประเภทหนึ่งที่ทำให้กรดในกระเพาะอาหารเป็นกลาง ทำงานโดยทำปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะอาหารเพื่อสร้างสารละลายที่เป็นกลาง ตัวอย่างของยาลดกรด ได้แก่ แคลเซียมคาร์บอเนต แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ และอะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์
บทสรุป
กรดไหลย้อนเป็นโรคทางเดินอาหารที่พบได้บ่อยซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย รวมถึงปัจจัยในการดำเนินชีวิต พฤติกรรมการบริโภคอาหาร สภาวะทางการแพทย์ และการใช้ยา สามารถวินิจฉัยภาวะนี้ได้จากอาการที่ผู้ป่วยรายงาน อาจต้องทำการทดสอบเพิ่มเติมหากอาการรุนแรง หรือ ต่อเนื่อง การรักษากรดไหลย้อนอาจเกี่ยวข้องกับการใช้สมุนไพร และสารเคมี การรักษาด้วยสมุนไพรขึ้นอยู่กับการใช้พืชที่มีผลผ่อนคลายต่อระบบย่อยอาหาร ในขณะที่การรักษาด้วยเคมีจะขึ้นอยู่กับการใช้ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดที่ผลิตโดยกระเพาะอาหาร การผสมผสานระหว่างการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต การปรับเปลี่ยนอาหาร การใช้ยาสามารถรักษากรดไหลย้อน และลดอาการต่างๆ ได้
1 note · View note
tefiinfo · 7 months ago
Link
0 notes
digitalmore · 2 years ago
Text
25 ดีกรีส์ นำเสนอความอร่อยแบบอเมริกันสุดคลาสสิคกับเมนูพิเศษโฉมใหม่ PHILLY CHEESESTEAK
ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะ 25 ดีกรีส์ นำเสนอความอร่อยแบบอเมริกันสุดคลาสสิค กับเมนูพิเศษโฉมใหม่อย่าง Philly Cheesesteak ที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อสันนอกบด ตัดเลี่ยนด้วยพริกหยวก หัวหอม เห็ด และปิดท้ายด… อ่านเพิ่ม from BangkokStyle https://ift.tt/NmfETpj
0 notes
rya789bet · 2 years ago
Text
ปัสสาวะมีกลิ่นฉุน เหม็นมากกว่าปกติ
แน่นอนว่าของเสียภายในร่างกายที่ถูกขับออกมาคงมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์มากเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะกลิ่นของปัสสาวะ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ในบางครั้งกลิ่นของเสียที่ถูกขับออกมาเหล่าน��้นก็อาจจะกำลังบ่งบอกถึงความไม่ธรรมดาหรือทวีความเหม็นมากเกินไป ที่อาจกำลังจะเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติภายในร่างกายว่าเรานั้นควรที่จะเช็คร่างกายเบื้องต้นคร่าวๆ สล็อต 789 เพราะถ้��หากปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นฉุนรุนแรงหรือกลิ่นลักษณะผิดปกติตายก็อาจจะบ่งบอกได้ถึงภาวะโรคอะไรบางอย่าง
สาเหตุที่ปัสสาวะมีกลิ่นฉุน
ปัสสาวะที่ถูกขับออกมาจากร่างกายประกอบไปด้วยน้ำและของเสียที่ขับออกมาจากไตโดยของเสียเหล่านี้เองที่ส่งผลต่อกลิ่นของปัสสาวะ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วหากปัสสาวะมีลักษณะใสจนถึงสีเหลืองอ่อนมีกลิ่นที่ไม่รุนแรงจนเกินไป หรือในบางช่วงบางครั้งอาจจะมีกลิ่นเปลี่ยนไปบ้างก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น อาหาร หรือ เครื่องดื่มที่เรารับประทานเข้าไป นอกจากนี้กลิ่นของปัสสาวะยังสามารถที่จะบ่งบอกถึงโรคได้ด้วยเช่น นิ่วไนไต โรคไต โรคตับ ต่อมลูกหมากอักเสบ ฯลฯ ทั้งนี้ความผิดปกติของกลิ่นปัสสาวะก็สามารถเกิดได้จากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
● ดื่มน้ำน้อยเกินไป การดื่มน้ำน้อยเกินไปก็จะทำให้สีของปัสสาวะนั้นเข้มขึ้นและยังทำให้มีกลิ่นเหม็นมากกว่าปกติ ซึ่งเราก็สามารถแก้ปัญหาของกลิ่นปัสสาวะได้ด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร คาสิโนออนไลน์ และให้คอยสังเกตตัวการตัวเองว่าเมื่อดื่มน้ำเยอะแล้วสีปัสสาวะนั้นอ่อนลงหรือไม่รวมถึงกลิ่นของปัสสาวะจะยังเหม็นอยู่ไหม
● การรับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรง นอกจากการดื่มน้ำน้อยแล้วยังรวมไปถึงการกินอาหารที่อาจจะส่งผลทำให้กลิ่นของปัสสาวะนั้นแรงกว่าปกติอย่างเช่นการรับประทานอาหารที่มีกลิ่นฉุน อาทิ ชะอม หน่อไม้ฝรั่ง หัวหอม กระเทียม หรืออาหารกลิ่นแรงชนิดอื่นๆ ซึ่งสาเหตุนี้ก็เกิดจากร่างกายไม่มีเอนไซม์ย่อยอาหารที่เรากินเข้าไปได้อย่างสมบูรณ์ทำให้ร่างกายต้องขับออกมาทางปัสสาวะนั่นเอง
● ดื่มกาแฟหรือนมมากไป การดื่มกาแฟหรือการดื่มนมทั้งวันก็อาจจะทำให้กลิ่นของปัสสาวะนั้นกลายเป็นกินกาแฟหรือกลิ่นนมได้ด้วยเช่นกันเพราะว่าเอนไซม์ในร่างกายอาจจะย่อยไม่ทันและพยายามขับออกมาทางปัสสาวะนอกจากนี้ยังทำให้สีของปัสสาวะเปลี่ยนไปด้วย
● การกินยาหรือวิตามินบางชนิด สำหรับคนที่กินยาในกลุ่มยาฆ่าเชื้อหรือกินวิตามินพวกอาหารเสริมเช่นวิตามินบีหรือธาตุเหล็ก ติดต่อเรา 789bet ก็อาจจะทำให้ได้กลิ่นของยาประปนออกมาด้วยและรวมถึงกลิ่นวิตามินที่กินเข้าไปซึ่งก็ถือว่าไม่เป็นอันตราย
● มีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ สำหรับคนที่มีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรียเชื้อไวรัสก็อาจจะทำให้กลิ่นของปัสสาวะนั้น���หมือนไข่เน่าหรือเหม็นคาวปลาหรือมีกลิ่นฉุนอย่างชัดเจนซึ่งเกิดจากการค้างของสารประกอบต่างๆในร่างกาย
● การติดเชื้อจากเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการได้รับเชื้อหนองใน หรือเป็นเชื้อราในช่องคลอด ซึ่งก็อาจจะทำให้ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นฉุนมากกว่าปกติและยังรวมไปถึงมีอาการอื่นๆร่วมด้วยซึ่งอาการเหล่านี้สามารถที่จะไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา
● กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ปัสสาวะและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติซึ่งเกิดจากการที่เชื้อแบคทีเรียเข้าไปทางท่อปัสสาวะ สมัคร 789 และทำให้เกิดการอักเสบและโรคนี้ยังพบได้มากในเพศหญิงเมื่อเทียบกับเพศชายผู้หญิงจะเป็นโรคนี้มากกว่าหลายเท่า
● โรคเบาหวาน ในกลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวานเราสามารถที่จะสังเกตได้จากหมวดที่ขึ้นตามสุขภัณฑ์ที่เหลือปัสสาวะของผู้ป่วยนอกจากนี้การที่มีปัสสาวะ กลิ่นน้ำนมแมวหรือเหมือนกลิ่นผลไม้ก็ยังสามารถบ่งบอกได้ถึงระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือภาวะโรคเบาหวานที่เป็นมากและไม่ได้รับการรักษา
0 notes
wirawandumlongkun · 1 year ago
Text
เปิดเผยวิตามินที่ช่วยบำรุงโรคสายตา!
Tumblr media
วิตามินที่ช่วยบำรุงรักษาโรคสายตา โรคสายตาเป็นปัญหาที่คนหลายๆ คนเผชิญหน้ากันอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้เวลานานกับการทำงานที่ต้องใช้สายตาอยู่ตลอดเวลา หรือเด็กๆ ที่ต้องใช้เวลานานกับการใช้สมองในการดูวิดีโอเกมส์ นี่คือปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม เพราะปัญหาสายตาสามารถทำให้คุณสูญเสียสายตาได้ถาวร ดังนั้นเรามาดูกันว่าจะต้องมีวิตามินอะไรในการบำรุงรักษาโรคสายตานี้บ้างเลยค่ะ!
1. วิตามินเอ (Vitamin A): วิตามินเอมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างเซลล์สายตาและบำรุงสายตาให้แข็งแรง หากคุณต้องการที่จะรักษาสายตาของคุณไว้ในสภาวะที่ดีไม่ต้องการสวมแว่น คุณควรรับประทานวิตามินเอในปริมาณที่เพียงพอ วิตามินเอสามารถค้นพบได้ในอาหารเช่น หัวหอม, ลูกจันทร์, และเนื้อสัตว์
2. วิตามินซี (Vitamin C): วิตามินซีรู้จักกันดีในการช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แต่วิตามินซียังมีส่วนช่วยในการบำรุงสายตาได้อีกด้วย วิตามินซีช่วยต้านอนุมูลอิสระภายในตาและพยายามรักษาสายตาไว้ในสภาวะที่ดี การรับประทานผลไม้เป็นต้นมีวิตามินซีสูงอาจเป็นวิธีง่ายๆ ในการรักษาสายตาของคุณได้
3. วิตามินอี (Vitamin E): วิตามินอีถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อตา โดยเฉพาะเมื่อมีการคัดแยกวิตามินอีในตorganisationอาหารที่มีทั้งผสมสารต่างๆ อาทิ ถั่วเหลือ��, น้ำมันทางพืช และเมล็ดฟักทอง มีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับสายตา
4. ซิลิเกต (Selenium): มีหน้าที่เป็นตัวช่วยในการกระตุ้นฟังก์ชั่นของสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ให้ทำงานอย่างพอดี วิตามินซีจำเป็นสำหรับสายตาเพราะสําหรับช่วยป้องกันการเกิดอัลเซอร์ต์ในตา ซึ่งสามารถค้นพบได้ในการรับประทานอาหารเช่น แครอท, มะเขือเทศ, และเนื้อสัตว์ mydeedeesปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในปี2024
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าคุณมีภาวะไม่เพียงพอของวิตามินเหล่านี้ในร่างกายของคุณ วิตามินเหล่านี้จะช่วยให้คุณมั่นใจว่ากายของคุณมีวิตามินที่ต้องการอย่างเพียงพอและสามารถดูแลสายตาของคุณได้อย่างดี เพราะบางครั้งเราอาจไม่รู้ว่าสายตาของเรามีปัญหาที่มองไม่เห็นได้ อย่างเช่น ลายเส้น, สีลด, หรือปัญหาในสายตาอื่นๆ ดังนั้นคุณควรดูแลสายตาของคุณอย่างรอบคอบและให้ความสนใจในการรับประทานวิตามินที่เพียงพอเพื่อรักษาสายตาที่แข็งแรงเสมอ
มีวิตามินที่ช่วยบำรุงรักษาโรคสายตาได้อีกจำนวนมาก แต่เรามีวิตามินที่ได้กล่าวมาเพียงแค่ส่วนหนึ่ง ยังมีอีกมากมายที่คุณควรค้นคว้าเพิ่มเติมนะคะ วิตามินที่ดีต่อสายตานั้นไม่ได้ช่วยรักษาแค่โรคพื้นฐานของสายตาเท่านั้น เช่น สายตาสั้น ยาแก้ตาผิด แต่ยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคตาแห้ง, เนื้องแข็งของสายตา, และเพื่อการรักษาสายตาที่แข็งแรงในระยะยาวได้อีกด้วย ติดตามสิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โรคสายตา การรักษาเพื่อการมองเห็นที่ดี
0 notes