#น้ำเกลือ
Explore tagged Tumblr posts
Text
Klean & Kare Normal Saline Small 100ml ( น้ำเกลือ คลีนแอนด์แคร์ นอร์มอลซาไลน์ เล็ก 100ml ) For Irrigation and for rinsing contact lens Sodium Chloride ### Direction for use * Unscrew cap * Discard green plastic ring * Screw cap tightly cone pin insi... https://www.yongchieng.com/en-us/medicine/100 🌱 Yong Chieng Pharmacy 🌱 #ChineseHerb x #Herbs x #Medicine x #ChineseMedicine at the entrance of Chareon Krung 63 Alley, near BTS Skytrain Saphan Taksin Station (S6), Chareon Krung Road, Yannawa, Sathorn, Bangkok, Thailand Telephone : (+66) 2-212-4082 Whatsapp : https://wa.me/66894788778 Instagram: https://www.instagram.com/yongchieng Line : https://lin.ee/32Fov8i 💚💚💚 #pharmacy #ChineseMedicineShop #TraditionalChineseMedicine #ChineseMedicine #Klean&KareNormalSalineSmall100ml #drugstore #tcm #ChineseMedicineStore
#ChineseHerb#Herbs#Medicine#ChineseMedicine#pharmacy#ChineseMedicineShop#TraditionalChineseMedicine#Klean#drugstore#tcm#ChineseMedicineStore
1 note
·
View note
Text
GHP normal saline ใช้ทำความสะอาดบาดแผล
GHP normal saline ใช้ทำความสะอาดบาดแผล น้ำเกลือ GHP normal saline เป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่เอาไว้ทำความสะอาดบาดแผล ช่วยชำระล้างสิ่งสกปรก ช่วยลดความเสี่ยงแผลติดเชื้อ 🛒 สั่งซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ 🔹LINE… อ่านเพิ่ม from BangkokStyle.online https://ift.tt/qmM8tby
0 notes
Text
บอกต่อประโยชน์การดีท็อกลำไส้ ลดน้ำหนักได้จริง มีดีอย่างไร
อีกหนึ่งตัวช่วยที่จะสามารถขจัดสารพิษตกค้างในร่างกายและยังช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วย โดยวิธีการจะเริ่มต้นด้วยกันการอดอาหารตามด้วยการรับประทานผักผลไม้สดรวมถึงการดื่มผลไม้และน้ำเปล่าแต่วิธีนี้อาจจะได้ผลจริงหรือไม่และจะส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างไรในบทความต่อไปนี้ sa casino ได้รวบรวมข้อมูลมาฝากทุกท่านได้ทำการศึกษากันเกี่ยวกับดีท็อกว่าจะมีประโยชน์อย่างไรบ้าง
ดีท็อกลำไส้ คืออะไร ?
สำหรับดีท็อก เป็นกระบวนการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายเพราะปกติแล้วร่างกายของเราจะได้รับสารเคมีที่เป็นพิษจากสิ่งแวดล้อมและอาหารต่าง ๆ ที่บริโภคเข้าไป เช่น สารมลพิษ สารสังเคราะห์ทางเคมี โลหะหนัก และสารเคมีชนิดต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งวิธีการดีท็อกมีหลายรูปแบบ แต่โดยทั่วไปแล้วมักเป็นการอดอาหารและควบคุมชนิดของอาหารที่รับประทาน สมัครสมาชิก sa gaming โดยอาหารที่สามารถรับประทานได้ระหว่างการทำดีท็อก คือ ผัก ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำสะอาด ชา สมุนไพรและอาหารเสริมรวมทั้งอาจต้องสวนทวารหนักเพื่อล้��งลำไส้ด้วย อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนใดที่ชี้ว่าการดีท็อกจะมีประสิทธิผลต่อสุขภาพผู้ที่ต้องการทำดีท็อกจึงควรระมัดระวังหรือปรึกษาแพทย์ก���อนเสมอเพื่อวางแผนการรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับสุขภาพร่างกายของตนที่จะช่วยให้เรานั้นมีสุขภาพที่ดีได้
สิ่งที่ควรรู้ในการดีท็อก
อดอาหารเป็นเวลา 1-3 วัน
ดื่มน้ำสะอาด ชา และน้ำผักผลไม้สด
เลือกดืื่มเครื่องดื่มชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นพิเศษ เช่น น้ำเกลือ หรือน้ำมะนาว เป็นต้น
รับประทานอาหารเสริมหรือสมุนไพร
งดรับประทานอาหารที่มีโลหะหนัก มีสิ่งปนเปื้อน หรือสารก่อภูมิแพ้
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ใช้ยาระบาย อาหารเสริมสำหรับล้างลำไส้ หรือใช้วิธีสวนอุจจาระ
หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ทั้งหมด แล้วค่อย ๆ เริ่มรับประทานอาหารดังกล่าวอีกครั้ง
งดเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล แอลกอฮอล์ และกาแฟ
ข้อดีของการดีท็อก
การลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหารพร้อมกับการดีท็อกนั้นอาจให้ผลลัพธ์ที่ดีการดีท็อกด้วยการสวนล้างลำไส้ มีประโยชน์ที่อาจเป็นไปได้ดังนี้ ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก อุจจาระไม่ออก ช่วยบรรเทาอาการลำไส้แปรปรวนท้องผูกสลับกับท้องเสีย อาจมีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลงชั่วคราว เพราะถ่ายของเสียออกมา อาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ เพราะของเสียที่ตกค้างเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งได้ ติดต่อ sa gaming อาจมีส่วนช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น เนื่องจากลำไส้ดูดซึมได้ดีขึ้น รู้สึกมีพลังงานมากขึ้น แต่ก่อนจะตัดสินใจ! ประโยชน์จากการดีท็อกด้วยการสวนลำไส้นี้ยังคงไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันได้ชัดเจน การดีท็อกด้วยการสวนลำไส้จึงเป็นการรักษาแบบทางเลือกเท่านั้นนั่นหมายความว่าควรขอคำแนะนำจากแพทย์ หรือต้องทำโดยมีบุคลากรทางการแพทย์ เช่น หมอ พยาบาล คอยกำกับดูแลเป็นอย่างไรกันบ้างกับข้อมูลข้างต้นที่เราได้รวบรวมมาฝากทุกท่าน ซึ่งต้องบอกวว่าการดีท็อกนั้นอาจจะส่งผลดีและส่งผลเสียต่อคนที่มีโรคประจำตัวได้ เพราะฉะนั้นก่อนที่ท่านจะทำการดีถอกควรที่จะศึกษาข้อมูลเบื้องต้นก่อนหรือหากใครที่ไม่มั่นใจก็ควรที่จะไปพบแพทย์เพื่อที่จะทำการวางแผนกำหนดอาหารที่ควรรับประทานและเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับตัวเอ��มากที่สุด
0 notes
Text
The Royal Rain
จากบทความ การทำฝนเทียมในประเทศไทย พ.ศ. 2514 การทำลายเมฆหมอก เพื่อถวายอารักขา และช่วยราชการทหาร ตำรวจ โดย ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล จากหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพพันตำรวจเอก จินต์ ประยงค์
ภาพจาก https://www.komchadluek.net/news/487725
ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล “สายรุ้ง” ของกรมฝนหลวง
คุณชายเทพฤทธิ์ จบการศึกษาด้านวิศวกรรมเกษตรจากสหรัฐอเมริกา แต่เดิมรับราชการในกรมเกษตร กระทรงเกษตราธิการ และด้วยความเชี่ยวชาญทั้งด้านเครื่องกล และ การเกษตร คุณชายก็ได้คิดค้นเครื่องมือสำหรับเกษตรกรรมมากมาย รวมไปถึงการตั้งโรงงานเพื่อผลิตสินค้าจำเป็นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เช่น สำลี โซดาไฟ โรงสกัดน้ำมันพืช โรงงานนมผง นอกจากโรงงานผลิตต่าง ๆ คุณชายเทพฤทธิ์ ก็ยังมีผลงานโดดเด่นที่สำคัญคือ “ควายเหล็ก” หรือรถไถนา
ภายหลัง ได้มีการจัดตั้งกรมการข้าวขึ้นมาแล้ว คุณชายเทพฤทธิ์ ได้เป็นหัวหน้ากองวิศวกรรม และ ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมการเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยในปีเดียวกันที่จัดตั้งกรมข้าวแล้ว ซึ่งก็เป็นป��แรกที่สมเด็จพระชนกาธิเบศรทรงริเริ่มว่าประเทศไทยจะต้องทำฝนเทียม หลังจากที่คุณชายเทพฤทธิ์ต้องรับผิดชอบเรื่องการทำฝนเทียมแล้ว คุณชายเทพฤทธิ์ก็ได้ไปสอบใบอนุญาตทำการบินของสำนักการบินพลเริอนด้วย
โดย เวลาที่คุณชายเทพฤทธิ์ ทำการบินก็จะใช้นามเรียกขานว่า “สายรุ้ง” มีเร��่องเล่าว่า เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปประกอบพิธีทางศาสนาที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรีด้วยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง บนท้องฟ้ามีเมฆหนาทึบ คุณชายเทพฤทธิ์จึงบินไปโปรยแคลเซียมคลอไรด์ตลอดทาง และทำให้เมฆแหวกไปจนถึงพระตำหนักจิตรลดา ซึ่งการโปรยแคลเซียมคลอไรด์ครั้งนี้ ก็จะพัฒนาเป็นฝนหลวงได้สำเร็จในอนาคต
เรื่องการทำฝนหลวง และ ปฏิบัติการทางอากาศอื่น ๆ จะได้กล่าวในหัวข้อต่อไป
ภาพและข้อมูลจาก http://huahin.royalrain.go.th/historyhuahinroyalrain/history3.php
ปฐมบทแห่งการทำฝนหลวง
ในปี พ.ศ.๒๔๙๘ ที่อำเภอกุฉินารายณ์ (จ.กาฬสินธุ์) ซึ่งเป็นทางผ่านในเส้นทางเสด็จจากภูพานไปยังตัวเมืองกาฬสินธุ์ มีประชาชนออกมาเฝ้ารอดูขบวนเสด็จ พระชนกาธิเบศรได้ทรงจอดรถพระที่นั่ง แล้วลงไปตรัสถามไถ่กับชาวบ้านที่มารอรับเสด็จ ถึงปัญหาภัยแล้ง โดยที่กาฬสินธุ์นี้ มีปัญหาฝนทิ้งช่วงจนไม่มีน้ำสำหรับเพาะปลูก ทั้งยังขาดน้ำสำหรับบริโภคอีกด้วย นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำฝนหลวงขึ้น
ภายหลังได้มีการเรียกคุณชายเทพฤทธิ์ให้ไปเข้าเฝ้า เพราะคุณชายเทพฤทธิ์มีความเชี่ยวชาญในด้านวิศวกรรมการเกษตรมากที่สุดในขณะนั้น มาศึกษาการทำฝนเทียม ซึ่งก็ใช้เวลาถึง ๑๒ ปี กว่าจะได้มีการทดลองทำฝนหลวงครั้งแรก
ในระหว่างการศึกษาวิธีทำฝนหลวงก็ยังมีอุปสรรคมากมาย โดยอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ขาดแคลนเครื่องบินสำหรับใช้บินทดลอง ภายหลังมาถึงปี พ.ศ.๒๕๑๒ ดร.แสวง กุลทองคำ ปลัดกระทรวงเกษตร ได้จัดตั้งหน่วยบินเกษตรขึ้น จึงได้มีการทดลองบินเพื่อทำฝนหลวงเป็นครั้งแรก
การทดสอบฝนหลวง
การบินเพื่อทดสอบปฏิบัติการฝนหลวง เกิดขึ้นครั้งแรกในวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๒ ที่อำเภอปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยทดสอบบริเวณป่าสงวนแห่งชาติก่อน แต่ภายหลัง สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรทรงเห็นว่าควรจะย้ายไปที่สนามบินบ่อฝ้าย อ.หัวหิน จ.ประจวบฯ เพราะที่จังหวัดประจวบมีภูมิประเทศหลากหลายกว่าโคราช และที่สำคัญคือ หากปริมาณน้ำฝนจากการทดลองมากเกินไปก็จะไม่เกิดน้ำท่วม เพราะระบายน้ำลงทะเลได้ง่าย และ พื้นที่ จ.ประจวบฯ ก็ประสบภัยแล้งบ่อยเช่นกัน
การทดสอบฝนหลวงในขั้นแรก ยังไม่ได้ใช้สารเคมีซับซ้อนอย่างทุกวันนี้ แต่เดิมใช้เพียงน้ำแข็งแห้ง และ น้ำเกลือ ซึ่งแม้จะทำให้ฝนตกได้ แต่ก็ยังมีอุปสรรคอยู่มาก ทั้งยังไม่่ได้ทำให้ได้ปริมาณน้ำมากตามที่ต้องการ และหากใช้ในปริมาณที่ผิด ก็ยังอาจะทำให้เมฆสลายตัว รวมทั้งไม่สามารถบังคับให้ฝนตกในพื้นที่ที่ต้องการให้ฝนตกด้วย
การทดสอบฝนหลวงในขั้นแรก แม้จะยังไม่ได้ผลอย่างที่ต้องการไว้ แต่พระชนกาธิเบศรก็สนพระทัยมาก มีการติดตามผลเสทอ รวมทั้งเสด็จมาทอดพระเนตรการทดลองด้วยพระองค์เอง จากนั้นก็จะพระราชทานข้อคิดเห็นต่าง ๆ เพื่อให้การทำฝนหลวงมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ท่านไม่เพียงแต่พระราชทานคำแนะนำเป็นการตรัสออกมาเท่านั้น แต่ท่านยังทรงทดลองให้เห็นจริง ๆ ว่าหากทำตามที่ทรงแนะนำเอาไว้แล้วผลจะเป็นอย่างไร
ทำสำเร็จเป็นประเทศแรกของโลก
จากเดิม ฝนหลวงทำได้แค่โปรยน้ำแข็งแห้ง-น้ำเกลือใส่เมฆคิวมูลัส แต่หลังจากได้รับพระราชทานคำแนะนำจากพระชนกาธิเบศรฯ และ การพัฒนาสูตรฝนหลวงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไทยเป็นประเทศแรกของโลกที่สามารถทำฝนหลวงขณะที่ท้องฟ้าไม่มีเมฆได้ ความสำเร็จครั้งนี้เป็นที่จึงยอมรับในการทำฝนเทียมทั่วโลก ���พราะแม้จะมีการกล่าวว่าเราสามารถทำฝนเทียมในสภาพอากาศที่ฟ้าโปร่งได้ แต่ก็ยังเป็นเพียงทฤษฎี ไม่ได้นำมาทำให้เป็นจริงอย่างประเทศไทย และในการทดสอบความแม่นยำ ก็ได้เริ่มทดสอบในปี พ.ศ.๒๕๑๔ บนพื้นที่ที่อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนอุบลรัตน์ และ เขื่อนภูมิพล ซึ่งทำการทดสอบไปทั้งสิ้น ๙ ครั้ง และ ผลปรากฏคือ สำเร็จทั้ง ๙ ครั้ง (เรียกว่า สามารถทำฝนให้ตกได้ตามเป้าหมายที่ต้องการสำเร็จแล้ว)
ฝนเทียมที่อื่น ยังไม่สามารถทำให้ฝนตกในขณะที่ฟ้าโปร่งได้ ยังจำเป็นต้องอาศัยเมฆในการทำฝนอยู่ ในขณะที่ฝนหลวงของไทยสามารถทำให้ฝนตกตอนอากาศแล้งก็ยังได้ สำหรับประเทศไทย ถ้ามีท้องฟ้า ก็ทำฝนหลวงได้หมด
ภาพจาก https://instore.studio7thailand.com/trends/royal-rain/
ความสำเร็จของการทำฝนหลวง
ภายหลังจากที่ผลการทดลองเป็นที่น่าพอใจแล้ว ในเดือนกรกฎาคม ปีพ.ศ.๒๕๑๔ จึงเริ่มทำภารกิจช่วยเหลือราษฎรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ปฏิบัติการทำฝนหลวงครั้งนั้นทำไปทั้งสิ้น ๘๖ วัน และ ทำให้ฝนตกได้ ๘๑ ครั้ง นับว่าการบินทำฝนหลวง ทำให้มีโอกาสเกิดฝนได้ถึงร้อยละ ๙๔.๒ และต้นทุนในการทำฝนหลวงเฉลี่ยแล้ว เพียงไร่ละ ๔.๖ สตางค์
สูตรที่เราคุ้นเคยในการทำฝนหลวง คือ ก่อกวน - เลี้ยงให้อ้วน - โจมตี ก็เป็นสูตรในการสร้างความสำเร็จครั้งนี้
ขอจบการเล่าเรื่องแต่เพียงเท่านี้ ที่มาก็ตามที่บอกไปแล้วตั้งแต่เริ่ม เห็นว่าความน่าเชื่อถือสูงอยู่แล้ว เพราะคนเขียนคือคนที่พระชนกาธิเบศรทรงเรียกให้ไปทำฝนหลวงโดยเฉพาะ คนที่บินไปทำฝนหลวงด้วยตัวเอง อดทนพัฒนาฝนหลวงถึง ๑๒ ปี ขนาดเกษียณก็ยังมาบินทำฝนหลวงต่อ จนร่างกายไม่ไหว ถึงเลิกไป
ภาพจาก https://www.tnews.co.th/social/378500
0 notes
Text
หยอดตาสุนัข ต้องคำนึงในเรื่องใดบ้าง
หยอดตาสุนัข อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าโครงหน้าของน้องหมานั้นดวงตาจะกลมโตและยื่นออกมามากเหมือนใส่บิ๊กอาย เบ้าตาจะตื้นกว่าปกติและผิวหน้ามีรอยย่น เช่น ชิสุ มอลทีส ชิวาว่า พุดเดิ้ล เชาเชา บ็อกเซอร์ อิงลิชบูลด็อก เฟรนช์บูลด็อก ดัทช์ชุนฮาวด์ ค็อกเกอร์สแปเนียล ปั๊ก ฯลฯ เป็นพันธุ์ที่มีขนที่สูงกว่า เสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่ดวงตาจากอุบัติเหตุ และมักพบปัญหาสายตา
สิ่งสำคัญคือต้องเตือนสุนัข ในระยะแรกหากพบว่าสุนัขเริ่มมีความผิดปกติที่ดวงตา เช่น ตาแห้ง ตกสะเก็ด ตาแดง ตาอักเสบ เป็นต้น ผู้ดูแลสัตว์เลี้ยงควรพาสุนัขไปหาสัตวแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตา เพื่อตรวจสอบสุขภาพตาของน้องหมาสาเหตุของปัญหา ไม่แนะนำให้ซื้อยาหยอดตาให้น้องหมาเองเพราะหากเลือกยาหยอดตาผิดประเภทอาจอันตรายมากพอที่จะทำให้สุนัขตาบอดได้ ส่วนอุปกรณ์ที่จะใช้ในขั้นตอนการกรอกตาน้องหมา มี 4 อย่างดังนี้ค่ะ
ยาหยอดตา
กรรไกรตัดขน (สำหรับสุนัขขนยาว)
ผ้าเช็ดตา/สำลีปลอดเชื้อ (แผ่นเช็ดเครื่องสำอาง)
น้ำเกลือ (สำหรับทำความสะอาดรอบดวงตาสุนัข)
0 notes
Photo
Baby Swimming Thailand : โรงเรียนสอนว่ายน้ำทารกและเด็กเล็ก
เบบี้สวิมมิ่งไทยแลนด์ โรงเรียนสอนว่ายน้ำ เด็กทารกเด็กเล็ก 4 เดือน-12 ปี มาตรฐานคุณภาพ ISO เรียนว่ายน้ำเด็กทารกเด็กเล็ก ในสระน้ำอุ่น น้ำเกลือ ในร่ม สระว่ายน้ำ มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย ครูสอนว่ายน้ำใจดี ปลอดภัย ทีมคุณครูคุณภาพมาก
visit: https://www.babyswimmingthailand.com/
1 note
·
View note
Photo
แปรงล้างขวดน้ำเกลือ Twisted brush in nylon application for Saline water bottle cleaning brush of private hospital & state hospital public health institutions made to order as sample in Bangkok Thailand 🇹🇭 by MR.BRUSH CO.,LTD.(Industrial brush Professional) www.misterbrush1.com #mrbrush #brush #แปรง #เชี่ยวชาญแปรงอุตสาหกรรมทุกชนิด #แปรงอุตสาหกรรม #pharmaceutical #ลพบุรี #นราธิวาส #โรงงาน #โรงพยาบาล #น้ำเกลือ #โรงงานน้ำดื่ม #โรงพยาบาล #นครสวรรค์ #เพชรบุรี #อุบลราชธานี #ยะลา #กระบี่ #ชลบุรี #อบต #เชียงใหม่ #นครศรีธรรมราช #ขอนแก่น #ประจวบคีรีขันธ์ #สาธารณสุข #หาดใหญ่ #อ่างทอง #singapore #asean #laos #cambodia #bruniedarussalam (at Misterbrush1 โทร 025114108 ผู้ผลิตขายแปรงอุตสาหกรรมโรงงาน) https://www.instagram.com/p/BrNJl7BlCo8/?utm_source=ig_tumblr_share&igshid=1wy447usm29do
#mrbrush#brush#แปรง#เชี่ยวชาญแปรงอุตสาหกรรมทุกชนิด#แปรงอุตสาหกรรม#pharmaceutical#ลพบุรี#นราธิวาส#โรงงาน#โรงพยาบาล#น้ำเกลือ#โรงงานน้ำดื่ม#นครสวรรค์#เพชรบุรี#อุบลราชธานี#ยะลา#กระบี่#ชลบุรี#อบต#เชียงใหม่#นครศรีธรรมราช#ขอนแก่น#ประจวบคีรีขันธ์#สาธารณสุข#หาดใหญ่#อ่างทอง#singapore#asean#laos#cambodia
0 notes
Photo
Morning คับ🌤 วันนี้นอนได้เยอะกว่าเมื่อวาน ดูดนมจากขวด(นมสต๊อก 6 oz) นอกนั้นเต้าล้วน น้ำมูกไม่ขัดจมูก-คอ สิ่งที่ได้จากการดูแลเอง คือ 1. #นมแม่ ดีที่สุด ลดเสมหะ น้องดูดแล้วรู้สึกสบายกว่าจากขวดทำให้กินได้เยอะ มีแรงไม่เพลีย 2. หยด #น้ำเกลือ ตลอดน้องจะร้องก็ต้องทำ เพื่อไม่ให้เสมหะข้น และอันตราย 3. ให้ยาลดไข้ ทุก 6 ชม. #คนเป็นแม่ เท่านั้นที่อดทนทำได้ ตอนนี้แม่ของีบบ้างนะคับ #เราจะสู้ไปด้วยกัน #เราต้องผ่านมันไปให้ได้ #pongpinprem #RSV #Day4 (at Khlong Luang, Pathum Thani, Thailand) https://www.instagram.com/p/BnFg8UJnM3I/?utm_source=ig_tumblr_share&igshid=jy8z4fh3fcjh
0 notes
Text
กิมจิ มีประวัติความเป็นมาอย่างไร?
กิมจิ เป็นอาหารประเภทผักดอง คือเครื่องเคียงชนิดหนึ่ง ของชาวเกาหลี ทำจากการหมักผักต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมใช้ ‘ผักกาดขาว’ หรือ ‘หัวไชเท้า’ หมักกับเครื่องปรุงต่างๆ เช่น ผงพริก ต้นหอ�� กระเทียม ขิง และอาหารทะเลหมักเค็ม กิมจิจึงมีรสชาติเปรี้ยว และเผ็ด รวมทั้งมีกลิ่นฉุน
ปัจจุบันนี้ กิมจิกลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก และเป็นที่นิยมในประเทศไทยของเราด้วย เพราะมีรสชาติที่อร่อยถูกปาก สามารถกินได้ ทั้งแบบเป็นเครื่องเคียง และนำไปปรุง เป็นส่วนประกอบของอาหารได้หลายชนิด
กิมจิ มีประวัติความเป็นมาอย่างไร?
ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ว่ากิมจิมีความเป็นมา หรือมีจุดเริ่มต้นอย่างไร แต่มีชาวจีนได้บันทึกไว้ ในช่วงยุคของสามก๊กว่า ชาวเกาหลีมีความเชี่ยวชาญ ในการทำอาหารประเภทหมักดอง และมีหลักฐานบันทึกไว้อีกว่า เพราะประเทศเกาหลีมีอากาศที่หนาวจัด ทำให้ประชาชนประสบปัญหา ไม่สามารถปลูกพืชผักในฤดูหนาวได้ จึงมีการคิดค้น วิธีการถนอมอาหารขึ้นมา นำมาสู่การถือกำเนิด ของกิมจินั่นเอง
ส่วนผสม และเครื่องปรุง ที่ใช้ในการทำกิมจิ ได้แก่
1. ผัก เช่น ผักกาดขาว กะหล่ำปลี หรือหัวไชเท้า
2. น้ำเกลือ
3. พริกป่นเกาหลี
4. ต้นหอม
5. กระเทียม
6. ขิง
7. อาหารทะเลหมักเค็ม
ประโยชน์ของกิมจิ
1. ช่วยลดคอเลสเตอรอล เพราะอุดมไปด้วยวัตถุดิบที่มีประโยชน์
2. ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน เพราะอุดมไปด้วยแบคทีเรีย แลคโตบาซิลลัส
3. ช่วยให้การทำงานของลำไส้ดีขึ้น เพราะมีโปรไบโอติก
4. ช่วยลดน้ำหนัก เพราะมีแคลอรีต่ำ
5. ช่วยในการขับถ่าย ให้ขับถ่ายได้ง่าย เพราะเต็มไปด้วยผัก ที่มีไฟเบอร์สูง และมีโปรไบโอติก ที่เป็นประโยชน์ต่อลำไส้ และทางเดินอาหาร
6. ช่วยเรื่องการย่อยอาหาร มีโพรไบโอติกส์ และแบคทีเรียชนิดดี ที่ช่วยให้ระบบย่อยอาหาร สามารถทำงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ ไม่ควรรับประทานกิมจิ ในปริมาณที่มากเกินไป เพราะต้องระวังเรื่องเกลือ หรือเรื่องโซเดียมด้วย รวมทั้งการกินในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้ท้องเสียได้
0 notes
Photo
เมื่อบ่ายแค่แบกถุงยากลับบ้าน มองกันจัง มันหนักนะแก น้ำเกลือ 6กก. เนี่ย ก็คราวนี้นัดอีกครั้ง 3เดือนข้างหน้า ให้มาตุนเพียบ!!! คราวหน้าจะกระเป๋าลากไปใส่ยาดี😅😅😅 (at โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่) https://www.instagram.com/p/CA8FB-GnsYZ/?igshid=976xab2cut9t
0 notes
Text
บทลงโทษสุดโหด ในกฎหมายตราสามดวง
การลงโทษผู้กระทําผิดตามกฎหมายในสมัยก่อน หรือ กฎหมายตราสามดวง ซึ่งเริ่มใช้ตั้งแต่ต้นกรุงศรีอยุธยามา สิ้นสุดในรัชกาลที่ 5 (อาจจะเป็นหนึ่งในข้อแลกเปลี่ยนในสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง) สมัยรัตนโกสินทร์ นั่นเท่ากับว่า กฎหมายฉบับนี้ใช้บังคับคนในสังคมเป็นเวลา 500 กว่าปี
เนื้อหาและจุดมุ่งหมายของกฎหมายมีความเด็ดขาด รุนแรง เพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างสําหรับผู้ที่คิดร้ายต่อผู้อื่น หรือคิดร้ายต่อแผ่นดิน จนบางครั้งทําให้แปลกใจว่า ทําไมสังคมที่น่าจะสงบสุขอย่างกรุงศรีอยุธยา จึงต้องใช้กฎหมายรุนแรงถึงเพียงนั้น โดยเฉพาะบทลงโทษผู้คิดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ และต่อแผ่นดิน ซึ่งโดยปกติก็มักจะเป็นความผิดที่เกิดขึ้นกับขุนนาง ข้าราชการที่อยู่ใกล้ชิดพระองค์
ด้วยขุนนางที่มีไพร่พลในสังกัด ย่อมถือว่าเป็นคนที่มีอํานาจต่อรอง คัดง้าง กับสถาบันสูงสุดได้ บทลงโทษซึ่ง เป็นอํานาจสิทธิ์ขาดขององค์พระมหากษัตริย์ จึงเป็นสิ่งที่ใช้ป้องปรามผู้ที่คิดเหิมเกริมต่อราชบัลลังก์
กฎหมายจึงเป็นเครื่องมือของกษัตริย์ที่ใช้กําจัดขุนนางนอกแถว บทลงโทษที่รุนแรง ซึ่งไม่อนุญาตให้ตายกันได้ง่ายๆ เมื่อได้เห็น��ทลงโทษผู้กระทําผิดในกฎหมายอาญาหลวง และกฎหมายกบฏศึกแล้ว จะพบว่าการสําเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์นั้น ถือเป็นพระกรุณาจริง ๆ
โทษ 8 สถาน
ในกฎหมายพระอัยการอาญาหลวง กําหนดโทษไว้สูงสุด 8 สถาน สําหรับผู้ที่ละเมิดต่อพระราชโองการ หรือพระราช บัญญัติของพระเจ้าอยู่หัว การลงโทษ 8 สถานนี้กําหนดความ ผิดไว้ 10 มาตรา จาก 144 มาตรา ในกฎหมายฉบับนี้ ซึ่ง โทษก็จะลดหลั่นลงไป
ทั้ง 10 มาตรานี้ ส่วนใหญ่เป็นการระบุความผิดจากการกระทําที่ไม่สมควรต่อองค์พระเจ้าแผ่นดิน และล่วงละเมิดพระราชอาญา เช่น ทําตัวเทียมเจ้า หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ลักพระราชทรัพย์ ทํางานตามพระประสงค์ไม่สําเร็จ คอร์รัปชั่น เป็นต้น
โทษ 8 สถานนี้ มีตั้งแต่โทษประหาร ลดลงมาจนถึงให้ ภาคทัณฑ์ไว้ เช่นในมาตรา 10 ระบุไว้ว่า “ห้ามมิให้ฟันแทงกัน ตาย แลมิให้ทําร้ายผู้อื่นในแผ่นดินท่าน แลผู้ใดทนงศักดิ์สําหาว ทําล่วงเกินพระราชบัญญัติ ผู้นั้นต้องในระวางบังอาจ ท่าน ให้ลงโทษ 8 สถาน”
โทษทั้ง 8 สถานระบุไว้ดังนี้ 1. สถานหนึ่งให้ฆ่าผู้ร้ายนั้นเสีย 2. สถานหนึ่งให้ตัดตีนตัดมือแล้วประจาน 3. สถานหนึ่งให้ทวนด้วยลวดหนังไม้หวาย 50 ที่ 4. สถานหนึ่งให้จําไว้แล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง 5. สถานหนึ่งให้ไหมจัตุระคูนแล้วเอาตัวลงเป็นไพร่ 6. สถานหนึ่งให้ไหมตรีคูน 7. สถานหนึ่งให้ไหมทวิคูน 8. สถานหนึ่งให้ไหมลาหนึ่ง
การระบุความหนักเบาของโทษนั้นย่อมขึ้นอยู่กับความผิดที่ได้กระทํา โดยกฎหมายกําหนดไว้ให้เลือกใช้สถานใดสถาน หนึ่งเท่านั้น แต่อย่างไรก็ดีย่อมขึ้นอยู่กับพระราชบัญชาขององค์พระมหากษัตริย์อีกด้วย
ข้อสําคัญของกฎหมายฉบับนี้คือ ผู้ร่างได้มองลึกเข้าไปใน “สันดาน” ของผู้กระทําผิด โดยกําหนด “กฏเกณฑ์การลดหย่อน” ไว้ตอนท้ายของตัวบท คือ ถ้ายังเป็นทหารเลว ทหารฝึกหัด แล้วกระทําผิดครั้งแรกท่านให้ภาคทัณฑ์ไว้ก่อน เพราะถือว่ายัง ไม่ได้รู้ระเบียบราชการดีพอ ซึ่งส่วนใหญ่ทหารใหม่พวกนี้ก็คือ ชาวไร่ชาวนาที่ถูกเกณฑ์มานั่นเอง ส่วนพวกที่ได้เลื่อนยศขึ้นไปเรื่อย ๆ นั้น ท่านถือว่าพอจะรับรู้กฎระเบียบที่แล้ว แต่ยังกระทําผิดอีก อันนี้มีการละเว้นโทษต่างกัน
“ถ้าเป็นไพร่มาเป็นหมื่นพันจ่าเสมียรแม้นผิด ท่านให้ภาคทัณฑ์ไว้ครั้งหนึ่งสองครั้ง ถ้าขุนหมื่นพันจ่าเสมียร มาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ผิดในราชการมิให้ภาคทัณฑ์เลย ถ้าเป็นไพร่ครั้นบุญให้ได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่เดียว แม้นผิดด้วยราชการท่านให้ภาคทัณฑ์ไว้ก่อน”
นี่เป็นความยุติธรรมในกฎหมาย ที่ให้โอกาสผู้น้อยที่กระทําผิดเพราะไม่รู้กฎระเบียบ ได้รับการตักเตือน��่อน แต่สําหรับขุนนางผู้ใหญ่นั้น ถือว่ารับราชการมาพอสมควรแล้ว ควร จะรู้ผิดชอบชั่วดี อันนี้ท่านไม่ยอมให้ภาคทัณฑ์
โอกาสเช่นนี้น่าเสียดายที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับ “ขุนไกร” พ่อของขุนแผน ซึ่งแต่เดิมก็เป็นชาวมอญเมืองกาญจนบุรี ถือเป็น “นักเลง” ท้องถิ่นมีพรรคพวกเป็นจํานวนมาก ที่ทางการไม่มีปัญญาควบคุม จึงสนับสนุนให้รับราชการ แต่ความผิดครั้งแรกนั้น ขุนไกรก็ถูกตัดหัวทันที ไม่ทันได้สั่งเสียลูกเมีย นี้แสดงให้เห็นว่ากฎหมายบางทีก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวบท แต่ขึ้นอยู่กับ “พระอารมณ์” ได้เหมือนกัน เพราะพระมหากษัตริย์คือกฎหมายนั้นเอง
โทษกบฏศึก 32 ประการ
โทษนี้ไม่ได้กําหนดไว้สําหรับผู้ทํารัฐประหารอย่างเดียว แต่หมายรวมไปถึง ผู้ที่ก่อความไม่สงบเรียบร้อยในแผ่นดินด้วย ในกฎหมายตราสามดวงเรียกกฎหมายลักษณะนี้ว่า “พระไอยการกระบดศึก” โดยรวมแล้วจะระบุเอาโทษกับผู้ที่คิดร้ายต่อ พระเจ้าแผ่นดิน ปล้นเผาพระนคร ฆ่าพระ เผาโบสถ์วิหาร ปล้นฆ่า ทารุณเด็ก ทั้งหมดนี้เป็นความผิดที่สร้างความไม่สงบ ในแผ่นดินทั้งสิ้น
กรณีเช่นนี้ท่านระบุโทษไว้ 21 ประการ
เมื่อเอาโทษ 21 ประการนี้ไปเปรียบเทียบกับโทษ 8 สถาน สามารถเรียกได้ว่า โทษ 8 สถานนั้นเป็นเรื่อง “เด็กๆ” เลยทีเดียว
โทษ 21 ประการนี้คงไม่ต้องบรรยายความโหด เพราะภาษาที่ปรากฏในตัวบทนั้น ทําให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนอยู่ แล้ว ภาษากฎหมายนี้ไม่จัดว่ายากเกินกว่าจะเข้าใจ เพียงแต่แตกต่างกันที่ตัวสะกด และศัพท์บางคําเท่านั้น โทษ 21 ประการมีดังนี้
1. ให้ต่อยกระบานศีศะเลิกออกเสีย แล้วเอาคีมคีบก้อนเหลก (เหล็ก) แดงใหญ่ใส่ลง ให้มันสะหมองศีศะพลุ่งฟูขึ้น ดังม่อเคี่ยวน้ำส้มพะอูม
2. ให้ตัดแต่หนังจำระเบื้องหน้า (คือแถบด้านหน้า) ถึง ไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกําหนด ถึงหมวกหูทังสองข้าง เป็นกําหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเปนกําหนด แล้วเทมุ่นกระหมวดผมเข้าทั้งสิ้น เอาท่อนไม้สอดเข้าข้าละคนโยกถอน คลอนสัน เพิกหนังทังผมนั้นออกเสียแล้วเอากรวดทรายหยาบ ขัดกระบานศีศะชําระให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์ (โทษนี้คคือ ถลกหนังหัวนั่นเอง)
3. ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้แล้วตามประทีบไว้ในปาก (จุดไฟไว้ในปาก) (หรือ) ไนยหนึ่งเอาปากสิวอันคมนั้นแสะแหวะฝาปาก จนหมวกหูทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตไหลออกเตมปาก
4. เอาผ้าชุ่มน้ำมันพันให้ทั่วกายแล้วเอาเพลิงจุด
5. ให้เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว แล้วเอาเพลิงจุด
6. เชือดเนื้อให้เปนแร่ง เปนริ้ว อย่าให้ขาด ให้เนื่องด้วย หนังตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้า แล้วเอาเชือกผูกจําให้เดิร เหยียบย้ำริ้วเนื้อ ริ้วหนัง แห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจําให้เดิรไปจน กว่าจะตาย
7. เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเปนแร่ง เปนริ้ว ลงมาถึง ข้อเท้า กระทําเนื้อเบื้องบนนั้นให้เปนริ้วตกปกคลุมลงมาเหมือน นุ่งผ้าคากรอง
8. เอาห่วงเหลกสวมข้อสอกทังสองข้าง ข้อเฃ่า (ข้อเข่า) ทั้งสองข้าง ให้หมั้น (ให้มั่น) แล้วเอาหลักเหลกสอดลงในวงเหลกแย่งขึ้นตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงลนให้รอบตัวกว่าจะตาย
9. เอาเบดใหญ่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วกาย เพิกหนังเนื้อ แลเอนน้อย เอนใหญ่ (เอ็นน้อย, ใหญ่) ให้หลุดขาดออกมากว่าจะตาย
10. ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกมาจากกาย แต่ทิละตําลึงกว่าจะสิ้นมังสะ
11. ให้แล่สับฟันทั่วกายแล้วเอาแปรงหวีชุบน้ำแสบ (น้ำเกลือ) กรีดครูดขุดเซาะหนังแลเนื้อแลเอนน้อย เอนใหญ่ ให้ลอกออกมาให้สิ้น ให้อยู่แต่ร่างกระดูก
12. ให้นอนลงโดยข้างๆ หนึ่งแล้ว ให้เอาหลาวเหลก ตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดิน แล้วจับเท้าทังสองหัน เวียนไปดังบุทคลทําบังเวียน
13. ทํามิให้เนื้อพังหนังขาด เอาลูกศีลาบดทุบกระดูกให้ แหลกย่อยแล้วรวบผมเข้าทังสิ้น ยกขึ้นหย่อนลง กระทําให้เนื้อ เปนกองเปนลอม แล้วพับห่อเนื้อหนังกับทังกระดูกนั้นทอดวางไว้ ทําดั่งตั่งอันทําด้วยฟางซึ่งวางไว้เชดเท้า
14. เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วรดสาดลงมาแต่ศีศะกว่าจะตาย
15. ให้กักขังสูนักขร้ายทังหลายไว้ ให้อดอาหารหลายวัน ให้เตมหยาก แล้วปล่อยออกให้กัดทึ้งเนื้อหนังกินให้เหลือแต่ร่าง กระดูกเปล่า
16. ให้เอาขวานผ่าอกทังเป็นแหกออกดั่งโครงเนื้อ
17. ให้แทงด้วยหอกทีละน้อยๆ กว่าจะตาย
18. ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟากปกลง คลอกด้วยเพลิงภอหนังไหม้ แล้วไถด้วยไถเหลก ให้เป็นท่อนน้อย ท่อนใหญ่ เป็นริ้วน้อย ริ้วใหญ่
19. ให้เชือดเนื้อล่ำออกทอดด้วยน้ำมันเหมือนทอดขนม ให้กินเนื้อตนเอง
20. ให้ตีด้วยไม้ตะบองสั้น (หรือ) ไม้ตะบองยาว เปนต้น
21. ให้ทวนด้วยไม้หวายทังหนาม
ใครที่เคย��ห็นภาพนรกตามวัด นี่คงจะเป็นภาพเดียวกั�� ใครที่คิดว่าการสําเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ หรือการตัดหัว เป็น ความโหดร้าย โทษ 21 สถานนี้ คงทําให้ลืมความคิดนั้นได้หมด ตอนท้ายของกฎหมายนี้ยัง (เมตตา) กําหนดให้เลือกลงโทษ เพียงสถานเดียว
แต่โทษ “ทวะดึงษกรรมกร 32 ประการ” ตามกฎหมายพระอัยการกบฏศึก ยังขาดอีก 11 สถาน เป็นข้อกําหนด โทษสําหรับผู้กระทําผิดพระราชอาญา เป็นโจร ลักทรัพย์ โดย สรุปคือเป็นโทษที่ทําความเดือดร้อนให้ชาวบ้านชาวเมืองนั่นเอง ต่างจากโทษ 21 สถานที่ทําความเดือดร้อนให้แผ่นดิน
โทษ 11 สถาน มีดังนี้ 1.ให้ทวนด้วยหวาย 2. ให้ตัดนิ้ว 3. ให้ตัดเท้าทังสองข้าง 4. ตัดมือสองข้าง เท้าสองข้าง 5. ให้ตัดหูทังสองข้าง 6. ตัดจะหมูกเสีย 7. ตัดหูทังสองข้าง ตัดจะหมูก 4. ตัดปากแหวะปากเสีย 4. ให้เสียบ (ทั้ง) เป็น 10. ให้ตัดศีศะเสีย 11. ให้จําห้าประการใส่คุกไว้
นี่คือโทษทั้ง 32 สถาน ที่อ่านแล้วอาจจะนึกว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็ปรากฏว่าในเอกสารต่างๆ ก็ปรากฏการทําโทษ ในลักษณะนี้อยู่บ้าง แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นครบ 32 สถานตามตัว บทก็ตาม ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับพระราชวินิจฉัยของพนักงานตุลาการ และพระมหากษัตริย์ด้วย เนื่องจากโทษหลายสถานใน 32 ประการนี้ เป็นโทษตาย ซึ่งผู้ที่มีสิทธิ์สั่งให้คนตายมีได้เพียงคน เดียวคือพระเจ้าแผ่นดิน
การทําโทษอย่างทารุณ นี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่
บันทึกของชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศสยามระยะหนึ่ง หลายคนระบุตรงกัน ว่ามีการทรมานนักโทษตามกฎ หมายตราสามดวงจริง แต่ที่น่าสงสัยคือ เอกสารบางฉบับระบุว่า “ไม่ได้เห็นด้วยตา” เช่น คําบอกเล่าของลาลูแบร์ กล่าวถึงการลงโทษแบบทารุณนี้ว่า “ข้าพเจ้ามิได้เห็นมาด้วยตาของตัวเอง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่อาจสงสัย คําที่เขายืนยันต่อข้าพเจ้าได้” เช่น เดียวกับ นิโคลาส แชร์แวส์ ที่ กล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยประสบพบเห็นการพิสูจน์แบบทารุณนี้ มาด้วยตาตัวเอง ข้าพเจ้าจึงไม่ปรารถนาที่จะยืนยันว่าเป็นจริง”
แต่สิ่งที่แชร์แวส์บอกว่าไม่ได้เห็นกับตา คือการลุยไฟ ดํา น้ำ พิสูจน์ความผิด ซึ่งมีอยู่จริง ในกฎหมายตราสามดวง เรียกว่า กฎหมาย “พิสูทดําน้ำ ลุย เพลิง” เป็นการพิสูจน์แบบจับพิรุธเสียมากกว่าที่จะหาความจริงจากการกระทําดังกล่าว การ พิสูจน์นี้มีกรรมวิธีว่า ให้ขุดรางเพลิงยาว 6 ศอก กว้าง 1 ศอก ถ่านเพลิงหนา 1 คืบ แล้วให้ โจทก์และจําเลยเดินลุยเพลิงนั้น
ใครเท้าไหม้ พองเป็นแผล ก็แพ้ความ ส่วนการดําน้ำนั้นก็คล้ายกันถึง ให้โจทก์และจําเลยดําน้ำ โดยมีหลักไม่ปักอยู่ในน้ำ โครโผล่ขึ้นก่อนที่แพ้คดี
กรณีดำน้ำ ลุยเพลิงนี้ เข้าทํานองเดียวกับเครื่องจับเท็จ ในปัจจุบัน ซึ่งผู้ที่กระทําความผิด จิตใจจะไม่นิ่ง การดําน้ำก็จะดำได้น้อยกว่า หรือถ้าต้องลุยเพลิง ก็อาจกลัวความผิดยอมรับสารภาพก่อนก็เป็นได้ เพราะก่อนเข้าพิธีนี้จะมีการสาบาน สาปแช่ง แล้วกฎหมายยังกำหนดให้ลูกความทั้งสองฝ่ายนุ่งขาว ห่มขาว อยู่ในกรมตุลาการ 3 วัน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปด่าทอฝ่ายตรงข้าม ทําให้ถือว่ามีพิรุธ จับแพ้ความทันที
ออญาวิไชยเยนทร์ (คอนแสตติน ฟอลคอน) ใน วาระสุดท้ายของชีวิตก็ถูกจองจํา 5 ประการ (ประชุมพงศาวดารภาคที่ 35 น. 503 ก้าวหน้า, 2504) แล้วยังถูกทรมาน ด้วยการเอาพระเศียรของพระปีย์ พระราชบุตรบุญธรรมของ สมเด็จพระนารายณ์ มาผูกแขวนคอ ถูกทรมานอยู่เป็นอาทิตย์ จึงเสียชีวิต (ประชุมพงศาวดารภาคที่ 81, อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ม.ร.ว.ทองเถา ทองแถม, 2510)
นอกจากนี้ยังมีการประหารแบบแล่เนื้อเถือหนัง ตัดเป็นสองท่อน ปรากฏอยู่ในบันทึกต่าง ๆ ทั้งของชาวต่างประเทศ และของไทยเอง
เช่นในสมัยรัชกาลที่ 4 ก็ยังปรากฏว่ามีการประหารชีวิตแบบทารุณอยู่ คือ
วันเสาร์ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 12 (พุทธศักราช 2414) ประหารชีวิตอ้ายโพ 1 อ้ายชื่น 1 ผ่าอกตัดศีรษะ ที่วัดตาเห็น บ้านปากไห่ เป็นผู้ร้ายปล้นพวกอ้ายอ่วม
วันจันทร์ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 1 (พุทธศักราช 2414) ประหารชีวิตอ้ายใหญ่ พี่อ้ายรง น้
0 notes
Text
ทุกคนมี “รถ 4 คัน” ในชีวิต ข้อคิด เตือนสติได้ดีมาก
“รถสี่คันในชีวิต” รถเข็นเด็ก ร���จักรยาน รถยนต์ รถเข็นคนไข้ “ใบทั้งสี่ในชีวิต” ใบสูติบัตร ใบประกาศนียบัตร ใบทะเบียนสมรส ใบมรณะบัตร
“น้ำทั้งสี่ในชีวิต” น้ำนม น้ำดื่ม น้ำมึนเมา น้ำเกลือ
“เตียงทั้งสี่ในชีวิต” เตียงเด็ก เตียงเดี่ยว เตียงคู่ เตียงคนไข้
“หนึ่งทางในชีวิต” ทางที่ต้องเดินด้วยตนเอง
“สองดีในชีวิตที่ควรมี” สุขภาพดี กำ��ังใจดี
“สามสหายในชีวิต” คนที่กล้าให้ยืมเงิน คนที่มาร่วมงานแต่งงานของคุณ คนที่มาส่งคุณขึ้นเชิงตะกอน
“สี่ทุกข์ในชีวิต” ตัดใจไม่ได้ สละไม่ได้ ยอมแพ้ไม่ได้ ปลงไม่ได้
Read More: https://carsbycash.com/%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b8%81%e0%b8%84%e0%b8%99%e0%b8%a1%e0%b8%b5-%e0%b8%a3%e0%b8%96-4-%e0%b8%84%e0%b8%b1%e0%b8%99-%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%95/
0 notes
Text
ปฎิบัติตัวข้างหลังเสริมคาง เนื้อหา ที่ พวกเรา ห้ามละเลย โดยเด็ดขาด
แนวทางปฏิบัติ รวมทั้ง ดูแล รักษาแผล ภายหลังทำศัลยกรรมเสริมคางแล้วซึ่งข้อมูลพวกนี้นับว่าสำคัญมาก เพื่อที่ผู้กระทำศัลยกรรมภายหลังทำศัลยกรรมเสริมคางแล้วจะได้รักษาแผลที่เกิดขึ้นมาจากการศัลยกรรมเสริมคางได้อย่างถูกทาง เนื่องจากถ้าดูแลไม่ดีบางทีอาจก่อให้เกิดผลเสียทำให้แผลการผ่าตัดมีการติดเชี้อหรืออาจจะทำให้มีการผิดแปลกไปกว่าสิ่งที่ต้องการจะให้เป็นก็ได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันและไม่ให้สถานะการณ์พวกนั้นเกิดขึ้นพวกเราก็เลยมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับการดูแลตนเองภายหลังการเสริมคางมาฝากกันโดยเนื้อหานี้จะมาบอกกันถึงเรื่องแนวปฏิบัติตัวข้างหลังเข้ารับวิธีการทำศัลยกรรมเสริมคาง ปฎิบัติตัวข้างหลังเสริมคาง - ข้างหลังเข้า รับการ ผ่าตัด เสร็จ ให้เริ่มประคบ เย็นในทันที เป็น ช่วงเวลา ราว 48 ชั่วโมง โดยบางครั้งก็อาจจะ ใช้ผ้าขนหนูที่แฉะ หมาดๆสัก 3 ผืนไปแช่ช่องแข็ง ต่อจากนั้น ก็ให้เอามา ประคบ สลับกัน อย่างสม่ำเสมอ - บากบั่น เลี่ยง ผู้กระทำด แรงๆถูกจุด ที่มี ซิลิโคนอยู่ - ถ้าพ้น ระยะ 48 ชั่วโมง แล้ว ให้ปลดปล่อยไว้เฉยๆไม่สมควร ที่ประคบร้อน หรือ เย็น ทั้งปวง - นอกนั้น แล้ว ด้านใน 48 ชั่วโมง ภายหลัง การผ่าตัด ให้ นอนชูหัวสูง หรือ นั่งหลับ เพื่อ ลด อาการ บวม เนื่องจาก สิ่งที่จำเป็น ควรจะทราบเอาไว้ว่า อาการบวม จะมีมากมาย ในตอน ของ 3-4 วันแรก เป็นอาการธรรมดา - การเข้ารับ การผ่าตัดเสริมคาง จะผ่าจาก ด้าน ในปาก โดยเหตุนี้ ก็เลยทำให้ มีแผลในปาก ด้วยเหตุว่า ดังนั้น แล้ว ก็เลยเป็น เหตุผล ให้ว่า ผู้ที่ทำต้อง อุตสาหะหลีก หลีกเลี่ยง การทาน ของกินรสจัด ของกินร้อน ของ ดอง ของกิน ที่จะต้องใช้แรงบด ในตอนแรก - ชำระล้าง ด้วยการบ้วนปากด้วยน้ำยา ไม่ทำ ให้ กำเนิด อาการแสบ หรือ น้ำเกลือ ผสม น้ำยาบ้วนปาก ที่เจือจาง - แล้วต่อจากนั้นก็ตาม ด้วย การบ้วนน้ำเกลือ เปล่าๆอีก 1 ครั้ง - ด้านใน ตอน 3-4 วัน แรก ที่ สำคัญ ห้ามใช้ ลิ้นดุนไหม ในปาก เล่น เด็ดขาด - ให้ทานยา ดังที่หมอ สั่งให้��มด อย่าซื้อ ยามาทาน เพิ่มเอง เด็ดขาด ยา ซึ่งสามารถได้เป็นยาพารา ลดบวม ยาฆ่าเชื้อ ในกรณีมีลักษณะอาเจียน คลื่นไส้ ที่ได้ผลข้างๆ มาจาก การทานยา แก้อักเสบ Cloxacilline ก็ให้กระทำการหยุดยา หรือใช้ Amoxicilline 500mg ทาน 1 เม็ด หลังรับประทานอาหาร 4 เวลา ( ตอนเช้า ช่วงเวลากลางวัน เย็น ก่อนนอน ) ทานยา ตลอด ทั้งผอง 7 วัน รวมทั้ง จะสามารถทาน ยาแก้อ้วกคลื่นไส้ได้ ยังไง ก็ตามควรจะขอความเห็น หมอ ถ้าเกิดมีลักษณะอาการ ไม่ดีเหมือนปกติ จากการทานยา ศัลยกรรม
0 notes
Text
ปฎิบัติตัวข้างหลังเสริมคาง เนื้อหา ที่ พวกเรา ห้ามละเลย โดยเด็ดขาด
แนวทางปฏิบัติ รวมทั้ง ดูแล รักษาแผล ภายหลังจากทำศัลยกรรมเสริมคางแล้วซึ่งข้อมูลกลุ่มนี้นับว่าสำคัญมาก เพื่อที่ผู้กระทำศัลยกรรมภายหลังทำศัลยกรรมเสริมคางแล้วจะได้ดูแลแผลที่เกิดขึ้นมาจากการศัลยกรรมเสริมคางได้อย่างถูกทาง เพราะเหตุว่าแม้ดูแลไม่ดีบางทีอาจก่อให้เกิดผลกระทบทำให้แผลการผ่าตัดมีการติดเชี้อหรืออาจจะส่งผลให้มีการผิดแปลกไปกว่าสิ่งที่ต้องการจะให้เป็นก็ได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวเพื่อเป็นการป้องกันและยังเป็นการไม่ให้เรื่องราวพวกนั้นเกิดขึ้นพวกเราก็เลยมีความรู้ความสามารถในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการดูแลตนเองภายหลังจากการเสริมคางมาฝากกันโดยเนื้อหานี้จะมาบอกกันถึงเรื่องแนวปฏิบัติตัวข้างหลังเข้ารับวิธีการทำศัลยกรรมเสริมคาง ปฎิบัติตัวข้างหลังเสริมคาง - ข้างหลังเข้า รับการ ผ่าตัด เสร็จ ให้เริ่มประคบ เย็นในทันที เป็น ช่วงเวลา ราวๆ 48 ชั่วโมง โดยบางครั้งอาจจะ ใช้ผ้าขนหนูที่แฉะ หมาดๆสัก 3 ผืนไปแช่ช่องแข็ง แล้วหลังจากนั้น ก็ให้เอามา ประคบ สลับกัน โดยตลอด - เพียรพยายาม หลบหลีก ผู้กระทำด แรงๆถูกจุด ที่มี ซิลิโคนอยู่ - ถ้าหากพ้น ระยะ 48 ชั่วโมง แล้ว ให้ปลดปล่อยไว้เฉยๆไม่สมควร ที่ประคบร้อน หรือ เย็น ทั้งมวล - นอกนั้น แล้ว ข้างใน 48 ชั่วโมง ภายหลัง การผ่าตัด ให้ นอนชูหัวสูง หรือ นั่งหลับ เพื่อ ลด อาการ บวม ด้วยเหตุว่า สิ่งที่จำเป็น ควรจะทราบเอาไว้ว่า อาการบวม จะมีมากมาย ในตอน ของ 3-4 วันแรก เป็นอาการธรรมดา - การเข้ารับ การผ่าตัดเสริมคาง จะผ่าจาก ด้าน ในปาก ฉะนั้น ก็เลยทำให้ มีแผลในปาก ด้วยเหตุว่า ด้วยเหตุผลดังกล่าว แล้ว ก็เลยเป็น เหตุผล ให้ว่า ทำต้อง เพียรพยายามหลีก หลีกเลี่ยง การทาน ของกินรสจัด ของกินร้อน ของ ดอง ของกิน ที่จำเป็นต้องใช้แรงบด ในระยะแรก - ชำระล้าง ด้วยการบ้วนปากด้วยน้ำยา ไม่ทำ ให้ กำเนิด อาการแสบ หรือ น้ำเกลือ ผสม น้ำยาบ้วนปาก ที่เจือจาง - แล้วต่อจากนั้นก็ตาม ด้วย การบ้วนน้ำเกลือ เปล่าๆอีก 1 ครั้ง - ด้านใน ตอน 3-4 วัน แรก ที่ สำคัญ ห้ามใช้ ลิ้นดุนไหม ในปาก เล่น เด็ดขาด ศัลยกรรม
0 notes
Photo
แบกน้ำหนักกลับทุกครั้งเมื่อมาโรงพยาบาล... น้ำเกลือ 6ลิตร วนล้างจมูกไป!!! (at โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่) https://www.instagram.com/p/CA7LRr4H-fy/?igshid=11z6h4n8pu8an
0 notes
Text
ปฎิบัติตัวข้างหลังเสริมคาง เนื้อหา ที่ พวกเรา ห้ามละเลย โดยเด็ดขาด
แนวทางปฏิบัติ และก็ ดูแล รักษาแผล ภาย หลังจากทำศัลยกรรมเสริมคางแล้วซึ่งข้อมูลพวกนี้นับว่าสำคัญมาก เพื่อที่ผู้กระทำศัลยกรรมภายหลังจากทำศัลยกรรมเสริมคางแล้วจะได้รักษาแผลที่ เกิดขึ้นจากการศัลยกรรมเสริมคางได้อย่างถูกแนวทาง ด้วยเหตุว่าถ้าเกิดดูแลไม่ดีบางทีอาจทำให้เกิดผลเสียทำให้แผลการผ่าตัดมีการ ติดเชี้อหรืออาจจะเป็นผลให้มีการผิดแปลกไปกว่าสิ่งที่ต้องการจะให้เป็นก็ได้ ด้วยเหตุดังกล่าวเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เหตุพวกนั้นเกิดขึ้นพวกเราก็เลย มีความรู้และความเข้าใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการดูแลตนเองภายหลังการ เสริมคางมาฝากกันโดยเนื้อหานี้จะมาบอกกันถึงเรื่องแนวปฏิบัติตัวข้างหลัง เข้ารับกระบวนการทำศัลยกรรมเสริมคาง ปฎิบัติตัวข้างหลังเสริมคาง - ข้างหลังเข้า รับการ ผ่าตัด เสร็จ ให้เริ่มประคบ เย็นในทันที เป็น ช่วงเวลา ราว 48 ชั่วโมง โดยบางครั้งก็อาจจะ ใช้ผ้าขนหนูที่แฉะ หมาดๆสัก 3 ผืนไปแช่ช่องแข็ง ต่อจากนั้น ก็ให้เอามา ประคบ สลับกัน อย่างสม่ำเสมอ - พากเพียร เลี่ยง ผู้กระทำด แรงๆถูกจุด ที่มี ซิลิโคนอยู่ - ถ้าหากพ้น ระยะ 48 ชั่วโมง แล้ว ให้ปลดปล่อยไว้เฉยๆไม่สมควร ที่ประคบร้อน หรือ เย็น ทั้งหมดทั้งปวง - ยิ่งไปกว่านี้ แล้ว ด้านใน 48 ชั่วโมง ภายหลัง การผ่าตัด ให้ นอนชูหัวสูง หรือ นั่งหลับ เพื่อ ลด อาการ บวม เพราะเหตุว่า สิ่งที่จำเป็น ควรจะทราบเอาไว้ว่า อาการบวม จะมีมากมาย ในตอน ของ 3-4 วันแรก เป็นอาการธรรมดา - การเข้ารับ การผ่าตัดเสริมคาง จะผ่าจาก ด้าน ในปาก โดยเหตุนั้น ก็เลยทำให้ มีแผลในปาก เนื่องจากว่า โดยเหตุนี้ แล้ว ก็เลยเป็น เหตุผล ให้ว่า ทำต้อง เพียรพยายามหลีก หลีกเลี่ยง การทาน ของกินรสจัด ของกินร้อน ของ ดอง ของกิน ที่จำต้องใช้แรงบด ในตอนแรก - ชำระล้าง ด้วยการบ้วนปากด้วยน้ำยา ไม่ทำ ให้ กำเนิด อาการแสบ หรือ น้ำเกลือ ผสม น้ำยาบ้วนปาก ที่เจือจาง - แล้วหลังจากนั้นก็ตาม ด้วย การบ้วนน้ำเกลือ เปล่าๆอีก 1 ครั้ง - ด้านใน ตอน 3-4 วัน แรก ที่ สำคัญ ห้ามใช้ ลิ้นดุนไหม ในปาก เล่น เด็ดขาด ศัลยกรรม
0 notes