Tumgik
#ชนเผ่า
prapasara · 3 months
Text
Tumblr media
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland)
  ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
สวิตเซอร์แลนด์ (อังกฤษ: Switzerland, เยอรมัน: die Schweiz, ฝรั่งเศส: la Suisse, อิตาลี: Svizzera, โรมานช์: Svizra) หรือชื่อทางการคือ สมาพันธรัฐสวิส (Swiss Confederation) เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ปกครองแบบสหพันธ์ และตั้งอยู่ทวีปยุโรปกลาง โดยมีพรมแดนติดกับประเทศเยอรมนี ประเทศฝรั่งเศส ประเทศอิตาลี ประเทศออสเตรีย และประเทศลิกเตนสไตน์ นอกจากจะมีความเป็นกลางทางการเมืองแล้ว สวิตเซอร์แลนด์นับว่ามีการร่วมมือกันระหว่างประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นที่ตั้งขององค์กรนานาชาติหลายแห่ง
Confoederatio Helvetica เป็นชื่อทางการของประเทศในภาษาละติน และหลีกเลี่ยงการใช้หนึ่งใน 4 ภาษาทางการ ซึ่งคำย่อ คือ CH ใช้เป็น โดเมนระดับบนสุดสำหรับอินเทอร์เน็ต (top level domain) เป็นต้น
 
ประวัติศาสตร์
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
เมื่อ 10,000 ปีก่อนคริตสกาล พวกกลุ่มนักล่าสัตว์และกลุ่มคนเร่ร่อนได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่อาศัยในเขตทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ (Alp) ซึ่งในปัจจุบันก็คือพื้นที่บริเวณ Graubünden ใจกลางประเทศสวิสเซอร์แลนด์เป็นครั้งแรก ต่อมาก็ได้มีการขยายอาณาเขตออกไปเรื่อยๆ ตามพื้นที่บริเวณลุ่มทะเลสาบต่างๆ จนกระมั่งเมื่อประมาณ 400 ปีก่อนคริสตกาลชนเผ่าเซลท์ (Celt คือกลุ่มชนชาติที่พูดภาษาเซลติก) ได้เริ่มย้ายถิ่นฐานจากทางเยอรมันตอนใต้ เข้าไปสู่พื้นที่ลุ่มทะเลสาบในตอนกลางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพิ่มมากขึ้น โดยทางด้านตะวันออกของสวิตเซอร์แลนด์เป็นที่อยู่อาศัยของพวก Raetia ส่วนทางด้านตะวันตกถูกครอบครองโดยชาว Helvetii นอกจากนั้นก็ยังมีชนเผ่าอื่นๆ ที่กระจัดกระจายไปตามส่วนต่างๆ ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีกเป็นจำนวนมาก คือ ชนเผ่า Lepontier ทางแคว้น Tessin ชนเผ่า Seduner ในเขต Wallis และทะเลสาบเจนีวา
ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุครุ่งเรืองของอาณาจักรโรมันในประมาณ 58 ปีก่อนคริสตกาล ชนเผ่าโรมันภายใต้การนำของจูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) ได้เข้าโจมตีและยึดดินแดนของชนเผ่า Helvetii และดินแดนส่วนอื่นๆ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน ช่วงนี้เองที่ได้เริ่มที่การก่อสร้างถนนหนทางและระบบผังเมืองขึ้นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ขึ้นเป็นครั้งแรก เช่น ในบริเวณเมือง Basel, Chur, Geneve, Zurich ในปัจจุบัน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมือง Avenches
ในช่วงปลายของยุคสมัยโรมัน ประมาณปีคริตศตวรรษที่ 4 ถึง 6 ศาสนาคริสต์ได้เผยแผ่เข้ามาในเขตประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทำให้ได้มีการตั้งตำแหน่ง Bishop ขึ้นตามเมืองต่างๆ และเชื่อกันว่าอาณาจักรโรมันก็ล่มสลายลงในช่วงนี้เอง
หลังจากที่อาณาจักรโรมันค่อยๆเริ่มเสื่อมลง พวกชาวเยอรมันเผ่าต่างๆ ก็อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเข้ามาในเขตนี้แทน โดยชนเผ่า Burgundian เข้ามายึดครองบริเวณทางแถบ Jura ทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ บริเวณแม่น้ำ Rhðne และทะเลสาบเจนีวา ส่วนพวก Alamannic ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำไรน์ (Rhein) ส่วนการเผยแผ่ศาสนาก็ยังคงมีอยู่เรื่อยๆ โดยพระนักสอนศาสนาเข้ามามีบทบาทสำคัญในเขตเมืองต่างๆ รวมทั้งยังมีการสร้างวัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมือง St. Gallen และ Zurich เมื่อเริ่มเข้าสู่ยุคโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire ซึ่งอาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรของจักรรรดิชาร์ลมาญแห่งเยอรมันหรือเรียกว่าเป็นอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งชนชาติเยอรมัน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาณาจักรโรมันในสมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์แต่อย่างใด) ก็ได้มีการนำระบบกฎหมายต่างๆ เข้ามาใช้ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีการร่างสนธิสัญญา Verdun ขึ้นในปี ค.ศ. 834 โดยพื้นที่บริเวณตะวันตกของสวิตเซอร์แลนด์ (Burgundain) ตกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ Lothair ที่ 1 และทางด้านตะวันออก (Alamannic) อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ Louis the German ในศตวรรษที่ 10 เมื่อระบบการปกครองแบบใช้กฎหมายเสื่อมลง พวกชนเผ่าแมกยาร์ (Magyar) ก็เข้ามาทำลายเมืองใหญ่ต่างๆ ของเผ่า Burgundian และ Alamannic แต่ต่อมาเมื่อกษัตริย์ Otto ที่ 1 ทำสงครามชนะพวกชนเผ่าแมกยาร์ในปี ค.ศ. 955 ก็มีการรวมพื้นที่บริเวณของ 2 ชนเผ่าเข้าด้วยกันเป็นส่วนหนึ่งของ Holy Roman Empire อีกครั้ง และยังได้มีการรวบรวมแคว้นต่างๆเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ อาณาจักรนี้ถูกปกครองโดยราชวงศ์ฮับสบวร์ก (Habsburg dynasty) ไปจนกระทั่งกษัตริย์ Rudolph ที่ 1 แห่งราชวงศ์ฮับสบวร์กสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 1291
 
ยุคของอดีตสมาพันธรัฐสวิส
 
ช่วงที่ถือได้ว่าเป็นช่วงของการก่อตั้งประเทศสวิตเซอร์แลด์หรือประเทศสมาพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์อย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1291 เมื่อมณฑล 3 มณฑลในเขตเทือกเขาแอลป์ คือ Uri, Schwyz และ Unterwalden ได้รวมตัวกันขึ้นเป็นอดีตสมาพันธรัฐสวิส (Old Swiss Conferderation หรือที่เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า Alte Eidgenossenschaft) ซึ่งการรวมกลุ่มนี้ไม่ได้เพื่อต้องการแยกออกเป็นประเทศ แต่เพียงเพื่อต้องการจะต่อต้านอำนาจของราชวงศ์ฮับส์บวร์ก ซึ่งการรวมกลุ่มครั้งนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากราชวงศ์ฮับส์บวร์กและมีการทำสงครามกันเรื่อยมา ในปี1315 กลุ่มของชาวบ้านที่เป็นทหารของสวิสในสมัยนั้นก็ทำสงครามชนะทหารของราชวงศ์ฮับส์บวร์กในสงคราม Morgaten หลังจากนั้นเมือง Zürich, Lucerne, Glarus, Zug และ Bern ก็ได้เข้าร่วมเป็นอดีตสมาพันธรัฐสวิส และได้มีการเรัยกชื่อกลุ่มการรวมตัวของมณฑล 8 มณฑลนี้ว่า Schwyz ภายหลังจากการรวมตัวนี้แล้ว ก็ยังคงมีการรวมตัวของมณฑลต่างๆ อยู่เรื่อยๆ จนเมื่อสิ้นสุดปี ค.ศ. 1513 ก็���ีมณฑลเข้าร่วมทั้งหมด 13 มณฑล
ภายหลังจากที่มีการรวมตัวกันในปี 1513 แล้ว ก็ยังคงมีการทำสงครามกันภายในพื้นที่ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในปัจุจบันอยู่เรื่อยๆ โดยส่วนใหญ่จะเป็นสงครามทางศาสนา แต่สงครามที่ยาวนานที่สุด คือ สงคราม 30 ปี (Thirty Years´War ค.ศ. 1618-1648) ซึ่งในช่วงแรกของสงครามนี้เป็นสงครามระหว่างศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิกกับโปรแตสแตนท์ แต่ต่อมาสงครามได้ขยายวงกว้างไปเป็นสงครามการขยายอำนาจภายในทวีปยุโรป สงคราม 30 ปีสิ้นสุดลงเมื่อมีการประกาศสันติภาพ Peace of Westphalia และสืบเนื่องมาจาก Peace of Westphalia นี้เอง ประเทศสมาพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์ประกาศแยกตัวออกจากอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1648
ในยุคที่ราชวงศ์ของฝรั่งเศสเริ่มเข้ามามีบทบาทในประวัติศาสตร์ยุโรป กองทัพของนโปเลียน (Napolean Bonaparte) ก็เข้าครอบครองสวิตเซอร์แลนด์และสถาปนาเป็น Helvetic Republic ในปี ค.ศ. 1798 ทำให้ดินแดนของสวิตเซอร์แลนด์ถูกรวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ต่อมาในปี 1803 ภายใต้การปกครองของนโปเลียนได้มีการรวบรวมมณฑลต่างๆ ในสมาพันธรัฐสวิสอีกครั้งนอกจากนั้นยังได้สถาปนาเขต 6 เขต คือ ขึ้นเป็นมณฑลใหม่ ในปี 1815 ได้มีการสถาปนาสมาพันธรัฐสวิสขึ้นมาใหม่ ที่คองเกรสแห่งเวียนนา (Congress of Vienna) ขึ้น โดยมีการเพิ่มจำนวนมณฑลเข้าไปอีก 3 มณฑล ในคองเกรสนี้เองได้มีการลงนามให้ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่เป็นกลางทางการเมือง คือเป็นการประกาศว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะเป็นเส้นแบ่งเขตแดนไม่ให้มีการทำสงครามกันระหว่างฝรั่งเศส เยอรมัน และออสเตรีย และได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญในปี 1848 (Fereral Constitution) ซึ่งในรัฐธรรมนูญระบุให้เมือง Bern เป็นเมืองหลวงของสมาพันธรัฐ โดยมีภาษาที่ใช้เป็นภาษาทางการ 3 ภาษา คือ ภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส และภาษาอิตาลี
 
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้วางตัวเป็นกลางทางด้านการทหาร บทบาทสำคัญเพียงอย่างเดียวของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็คือการส่งสภากาชาดเข้ามาช่วยเหลือ เมื่อสงครามโลกผ่านพ้นไป กลิ่นอายแห่งสงครามกลับทำให้เศรษฐกิจของสวิตเซอร์แลนด์ตกต่ำลง และเริ่มฟื้นฟูขึ้นใหม่ในช่วงปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) ยุคนี้ยังเป็นยุคแห่งการถือกำเนิดของศิลปินชื่อดังอีกด้วย
ถึงแม้ว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะวางตัวเป็นกลางในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่สวิตเซอร์แลนด์กลับมีบทบาทสำคัญในทางด้านเศรษฐกิจ คือธนาคารของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้กลายเป็นสถานที่เพื่อใช้แลกเปลี่ยนเงินผิดกฎหมายของพวกนาซีเยอรมัน
 
 ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
 
ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ได้มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศหลายประเทศได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาติแต่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเจ้าบ้านกลับไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในสมัยแรก โดยองค์การสากลแห่งแรกที่สวิสเข้าร่วมเป็นสมาชิกภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คือองค์การ UNESCO ซึ่งเข้าร่วมในปี พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ตัดสินใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติเมื่อปี พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) ต่อมาในปี 2548 ประชาชนชาวสวิตเซอร์แลนด์ได้ทำการลงประชามติเพื่อให้ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เข้าร่วมเป็นประเทศในสนธิสัญญาเช็งเก็น (Schengen Agreement)
ตามข้อกำหนดในสนธิสัญญาเช็งเก็น นักท่องเที่ยวที่มีใบอนุญาตเช็งเก็น (Schengen Visa) แบบมัลติเพิลของประเทศใดประเทศหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มเช็งเก็นสามารถเดินทางเข้าออกประเทศอื่นๆ ในกลุ่มเช็งเก็นได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าของประเทศนั้นๆ ปัจจุบันประเทศในกลุ่มเช็งเก็นมีด้วยกันทั้งหมด 26 ประเทศรวมทั้ง ประเทศเบลเยียม, ประเทศฝรั่งเศส, ประเทศอิตาลี, ประเทศลักเซมเบิร์ก, ประเทศเนเธอร์แลนด์, ประเทศเดนมาร์ก, ประเทศกรีซ, ประเทศโปรตุเกส, ประเทศสเปน, ประเทศเยอรมนี, ประเทศออสเตรีย, ประเทศฟินแลนด์, ประเทศสวีเดน, ประเทศนอร์เวย์, ประเทศไอซ์แลนด์, ประเทศมอลตา, สาธารณรัฐเช็ก, ประเทศเอสโตเนีย, ประเทศฮังการี, ประเทศโปแลนด์, ประเทศสโลวาเกีย, ประเทศสโลวีเนีย, ประเทศลัตเวีย, ประเทศลิทัวเนีย และ ประเทศโมนาโก
 
การเมือง
 
แต่ละ Canton มีรัฐธรรมนูญและ Cantonal Government ของตนเองโดยมีอิสระจากการบริหารราชการของส่วนกลาง อำนาจนิติบัญญัติของสมาพันธ์ฯ อยู่ที่รัฐสภาแห่งสมาพันธ์ (Federal Assembly) ซึ่งประกอบด้วยสภาแห่งชาติ (National Council) และสภาแห่งรัฐ (Council of States) ทั้งสองสภามีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกัน National Council ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรงมีจำนวน 200 คน แต่ละ Canton จะมีจำนวน ผู้แทนของตนมากน้อยตามจำนวนประชากร (1:34,000) แต่อย่างน้อยที่สุด แต่ละ Canton จะมีผู้แทน 1 คน Council of States มีจำนวนสมาชิก 46 คน โดยแต่ละ Canton มีผู้แทน 2 คน การดำเนินงานที่สำคัญของรัฐสภาแห่งสมาพันธ์ กระทำผ่าน standing committees ด้าน ต่าง ๆ อาทิ การคลัง การต่างประเทศ เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์และการวิจัย การทหาร สุขภาพและสิ่งแวดล้อม การคมนาคม พลังงาน ฯลฯ ในการบริหารราชการส่วนกลาง อำนาจบริหารจะอยู่ที่คณะรัฐมนตรีเรียกว่า the Federal Council ซึ่งมีสมาชิกเรียกว่า Federal Councillor (มนตรีแห่งสมาพันธ์) มีทั้งหมด 7 คน ทำหน้าที่ควบคุมบริหารงานในหน่วยงานระดับกระทรวง 7 แห่ง รัฐสภาแห่งสมาพันธ์เป็นผู้เลือกมนตรีแห่งสมาพันธ์ มีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี และในจำนวนมนตรีแห่งสมาพันธ์ทั้ง 7 คน จะได้รับเลือกจากรัฐสภาแห่งสมาพันธ์ผลัดเปลี่ยนกันครั้งละหนึ่งคน เพื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีซึ่งมีวาระการดำรงตำแหน่ง 1 ปี โดยมีสถานะเป็น “the first among equals” ดังนั้น ประธานาธิบดีสวิสจึงไม่มีการเยือนต่างประเทศในฐานะ State Visit นับตั้งแต่ ค.ศ. 1959 เป็นต้นมา สวิตเซอร์แลนด์ได้ปกครองและบริหารโดยพรรคการเมืองหลัก 4 พรรค ได้แก่ พรรค Radical Democratic (RDP) พรรค Social Democratic Party (SDP) พรรค Christian Democratic People’s Party (CDP) และพรรค Swiss People’s Party (SVP) ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่า แต่ละพรรคจะได้รับจัดสรรตำแหน่งมนตรีของสมาพันธ์พรรคละ 2 คน ยกเว้น Swiss People’s Party ได้ 1 คน นอกจากนั้น ผู้จะดำรงตำแหน่งมนตรีแห่งสมาพันธ์จะมาจาก Canton เดียวกันเกิน 1 คนไม่ได้ และเป็น ธรรมเนียมว่าจะต้องมีผู้แทนจาก 3 Canton หลัก ได้แก่ Zurich, Berne และ Vaud แห่งละ 1 คน ลักษณะพิเศษของระบบประชาธิปไตยแบบสวิสคือ อำนาจสูงสุดในทางนิติบัญญัติมิได้อยู่ที่สภาแต่อยู่ที่ประชาชนโดยตรง เพราะตามรัฐธรรมนูญประชาชนมีสิทธิในการออกเสียงประชามติ (referendum) และการริเริ่ม (initiative) กล่าวคือ กฎหมายทุกฉบับที่ผ่านสภาแห่งสมาพันธ์แล้ว จะยังไม่มีผลบังคับใช้ เป็นกฎหมาย จะต้องรอให้ครบ 90 วันเสียก่อน ในระหว่างนั้นประชาชนจะมีสิทธิคัดค้านโดยจะต้องเข้าชื่อร่วมกัน ไม่น้อยกว่า 50,000 คน เพื่อให้มีการจัด referendum ส่วนอำนาจในการริเริ่มของประชาชนจะสามารถใช้ในการ แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยประชาชนต้องเข้าชื่อร่วมกันไม่น้อยกว่า 100,000 คน เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศลงประชามติ ด้านอำนาจตุลาการ ศาลชั้นต้นและศ��ลชั้นกลางจะเป็นศาลของมณฑล โดยใช้กฎหมาย สมาพันธ์ร่วมด้วย และประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งผู้พิพากษาโดยตรง แม้แต่ผู้พิพากษาสมทบก็อาจเป็นบุคคลที่ประกอบอาชีพอื่น ๆ ที่ได้รับเลือกจากคนในท้องถิ่น ส่วนศาลฎีกาแห่งสมาพันธ์ (Federal Supreme Court) มี ที่ตั้งอยู่ที่เมืองโลซานน์ เพื่อเน้นการแบ่งแยกอำนาจจากรัฐบาลกลางที่กรุงเบิร์น ศาลฎีกาเป็นทั้งศาลแพ่งและศาลอาญา ประกอบด้วยผู้พิพากษาประมาณ 30 คน ที่ได้รับเลือกตั้งจากรัฐสภาแห่งสมาพันธ์
 
การแบ่งเขตการปกครอง
นับตั้งแต่ พ.ศ. 2391 (ค.ศ. 1848) สวิตเซอร์แลนด์ได้เริ่มใช้ระบบการปกครองประชาธิปไตยแบบรัฐสภา แต่มีลักษณะการรวมตัวของรัฐต่าง ๆ อยู่ภายใต้รัฐบาลกลาง เรียกว่า สมาพันธรัฐ
สมาพันธรัฐสวิสประกอบด้วย 26 รัฐ (cantons) ได้แก่
อาร์เกา
อัพเพนเซลล์อินเนอร์-โรเดิน
อัพเพนเซลล์เอาเซอร์-โรเดิน
บาเซิล-ชตัดท์
บาเซิล-ลันด์ชาฟท์
เบิร์น
ฟรีบูร์ก
เจนีวา (เชอแนฟว์)
กลารุส
เกราบึนเดิน
ชูรา
ลูเซิร์น
เนอชาแตล
นิดวัลเดิน
ออบวัลเดิน
ชาฟฟ์เฮาเซิน
ชวีซ
โซโลทูร์น
ซังท์กาลเลิน
ทูร์เกา
ทีชีโน
อูรี
วาเล
โว
ซุก
ซูริก (ซือริค)
รัฐเหล่านี้มีประชากรเป็นจำนวนระหว่าง 15,000 คน (รัฐอัพเพนเซลล์อินเนอร์-โรเดิน) และ 1,253,500 คน (รัฐซือริค) และมีขนาดพื้นที่ระหว่าง 37 ตารางกิโลเมตร (รัฐบาเซิล-ชตัดท์) และ 7,105 ตารางกิโลเมตร (รัฐเกราบึนเดิน) รัฐแต่ละแห่งจะมี เทศบาล (municipalities) รวมทั้งหมด 2,889 เขตเทศบาล
ชื่อต่อไปนี้เป็นเขตปกครองที่มีดินแดนของสวิตเซอร์แลนด์โอบล้อมอยู่: บือซิงเงิน (Büsingen) เป็นดินแดนของประเทศเยอรมนี และกัมปีโอเนดีตาเลีย (Campione d'Italia) เป็นดินแดนของประเทศอิตาลี
 
ภูมิศาสตร์
 
พื้นที่มากกว่า 70% เป็นเขตภูเขา คือ เทือกเขาแอลป์ มีแม่น้ำสำคัญ คือ แม่น้ำไรน์ แม่น้ำโรน แม่น้ำทิซิโน และแม่น้ำอิน ทรัพยกรธรรมชาติที่สำคัญมีเพียง หินแกรนิต หินปูน และหินที่ใช้ในการก่อสร้างเท่านั้น
 
เศรษฐกิจ
 ภาวะเศรษฐกิจสวิตเซอร์แลนด์
 
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 - 20 ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ การจ้างงานในภาคเกษตรกรรมลดลงจากร้อยละ 60 ของปี พ.ศ. 2393 (ค.ศ. 1850) เหลือเพียงร้อยละ 30 ในปี พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) เป็นต้นมา มีแรงงานเพียงร้อยละ 5 ที่อยู่ในภาคเกษตรกรรม
ภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีบทบาทตั้งแต่ปี พ.ศ. 2423 (ค.ศ. 1880) และภาคบริการเริ่มเข้ามาตั้งแต่ช่วงทศวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงปี พ.ศ. 2534 - 2539 (ค.ศ. 1991 - 1996) เป็นผลจากมาตรการทางการเงินที่เข้มงวด ของสวิตเซอร์แลนด์เองแ ละการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักของสวิตเซอร์แลนด์
ในช่วงปี พ.ศ. 2540 - 2542 (ค.ศ. 1997 - 1999) สภาวะเศรษฐกิจสวิตเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 1.8 ต่อปี มาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ธนาคารชาติสวิสนำมาใช้ทำให้ค่าของเงินฟรังก์สวิตลดลงเกือบร้อยละ 10 รวมทั้งสภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจโลก เป็นปัจจัยที่เอื้อให้การส่งออกของสวิตเซอร์แลนด์เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันภาวะการจ้างงานภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นก็ช่วยให้การบริโภคภายในประเทศสูงขึ้นด้วย
แม้ว่าสวิตเซอร์แลนด์จะมีค่าจ้างแรงงานสูงเป็นอันดับสามของประเทศอุตสาหกรรมรองจากเดนมาร์กและนอร์เวย์ แต่เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อที่ค่อนข้างต่ำ แรงงานที่มีคุณภาพสูง บวกกับต้นทุนทางสังคมที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้สวิตเซอร์แลนด์ได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความสามารถทางการแข่งขันสูงสุดเป็นอันดับที่ 9 ของโลก ในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000)
ภาคบริการของสวิตเซอร์แลนด์มีการจ้างงานกว่าสองในสามของการจ้างงานทั้งหมด รายได้ประชาชาติกว่าสองในสามมาจากภาคบริการ ที่สำคัญได้แก่ ภาคบริการผู้ผลิต อาทิ บริการด้านการเงิน การประกันภัย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งทำรายได้ถึงหนึ่งในสาม
ภาคบริการการจำหน่าย เช่น การค้า การขนส่ง การสื่อสารโทรคมนาคม
ภาคบริการสังคม เช่น สุขภาพ การศึกษา ภาคราชการ บริการด้านวัฒนธรรม และการพักผ่อน และ
ภาคบริการบุคคล (personal services) อาทิ การท่องเที่ยว บริการต่าง ๆ สำหรับครัวเรือน และบริการรายบุคคลอื่น ๆ
ภาคอุตสาหกรรมของสวิตเซอร์แลนด์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง แม้ประเทศจะมีขนาดเล็กแต่มีบริษัทข้ามชาติมากมายที่ตั้งอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ อาทิ ด้านอาหาร (Nestle) เวชภัณฑ์ (Novartis, Roche) วิศวกรรม (ABB) อุตสาหกรรมเครื่องจักรกล เคมีภัณฑ์ และเวชภัณฑ์ ทำรายได้จากการส่งออกสูงสุดของสวิตเซอร์แลนด์ การจ้างงานภาคอุตสาหกรรมกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในภาคการผลิตสินค้าพวกเครื่องจักรกล เครื่องไฟฟ้าและเครื่องเหล็ก การแข็งค่าของเงินฟรังก์ทำให้ภาคอุตสาหกรรมพยายามลดค่าใช้จ่ายโดยการพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพสูงมากขึ้น อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลของสวิตเซอร์แลนด์เป็นอุตสาหกรรมที่ดีที่สุดในโลก ปัจจุบันสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดประเทศหนึ่ง ในปี 2543 GDP ต่อหัว สูงถึง 33,464 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงเป็นที่สามของโลกรองจากญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา การเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.5 ในปีก่อน เป็นร้อยละ 3.4 ใน2 543 ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดในรอบสิบปี
ปี พ.ศ. 2543 เศรษฐกิจสวิสเติบโตสูงสุดนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) เป็นต้นมาเนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ และการอ่อนค่าเงินฟรังก์สวิส GDP ในปี 2543 มีอัตราร้อยละ 3.4 การส่งออกเพิ่มเป็นสองเท่าในขณะที่การนำเข้าก็เพิ่มสูงขึ้น การลงทุนเพิ่มเป็นร้อยละ 10.3 (เทียบกับร้อยละ 9 ของปี 2542) ส่วนอัตราการว่างงานลดลงจากร้อยละ 2.7 เป็นร้อยละ 2 อัตราเงินเฟ้อร้อยละ 1.6
กระทรวงการคลังรายงานว่า ในช่วงแปดเดือนแรกของปี ค.ศ. 2001 การส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 คิดเป็นมูลค่า 88,533 ล้านฟรังก์ และนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 คิดเป็นมูลค่า 88,719 ฟรังก์ ขาดดุลการค้า 90.5 ล้านฟรังก์ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.7 ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา5 5 5
 
การคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2543
 
ธนาคาร UBS ประเมินว่า เศรษฐกิจสวิสจะเติบโตร้อยละ 1 ในปี ค.ศ. 2002 แต่สมาพันธรัฐสวิสจะไม่ตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยเหมือนช่วงครึ่งแรกของปี ค.ศ. 2001 ทั้งนี้ เป็นผลจากนโยบายและการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพและทันการณ์ของธนาคารชาติสวิสและเนื่องจากตลาดแรงงานมีความยืดหยุ่นสูง ในไตรมาสที่สองของปี ค.ศ. 2001 GDP ของสมาพันธรัฐสวิสเติบโตร้อยละ 1.7 โดยเฉลี่ยการเติบโตในแต่ละไตรมาสอยู่ประมาณร้อยละ1.5 – 2 ซึ่งสูงกว่าเยอรมนี (-0.1) ฝรั่งเศส (1) และอิตาลี (0.1) แต่ตัวเลขการ เติบโตในครึ่งแรกของปี ค.ศ. 2001 และดัชนีต่างๆ ชี้ว่าการเติบโตเริ่มช้าลง ค่าใช้จ่ายในการลงทุนเริ่มลดลงในไตรมาสที่สองเนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ค่าเงินฟรังก์สวิสสูงขึ้นและกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศเพิ่มในอัตราที่ต่ำ UBS คาดว่าปี ค.ศ. 2002 การเติบโตทางเศรษฐกิจจะเหลือเพียงร้อยละ 1 และอัตราเงินเฟ้อปี ค.ศ. 2002 จะเท่ากับร้อยละ 1 เพราะปัจจัยต่างๆ อาทิ ราคาสินค้าจะไม่สูงขึ้นมาก อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง อัตราการเพิ่มค่าจ้างแรงงานก็จะช้าลง และเงินฟรังก์สวิสที่แข็งค่าขึ้นจะช่วยลดผลกระทบจากราคาสินค้าเข้าที่เพิ่มขึ้น
การค้าระหว่างประเทศและการลงทุน สวิตเซอร์แลนด์ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ พื้นที่ 2 ใน 3 ของประเทศเป็นภูเขา เพียง 1 ใน 4 ของพื้นที่ทั้งหมดเท่านั้น ที่สามารถทำการเพาะปลูก ซึ่งผลิตผลการเกษตรสามารถรองรับความต้องการด้านอาหารของประเทศได้เกินกว่าครึ่งหนึ่ง แต่สวิสขาดแคลนวัตถุดิบ จึงต้องนำเข้าวัตถุดิบและส่งออกกลับไปในรูปของผลิตภัณฑ์คุณภาพ จึงต้องนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ คู่ค้าสำคัญของสวิตเซอร์แลนด์ได้แก่สมาชิกองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Cooperation and Development – OECD) เศรษฐกิจสวิสผูกพันกับเศรษฐกิจ ยุโรปอย่างมากโดยเฉพาะเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์นำเข้าจากสหภาพยุโรปร้อยละ 63 (เยอรมนีร้อยละ 23) และส่งออกไปสหภาพยุโรปกว่าร้อยละ 80 (เยอรมนีร้อยละ 33) สวิตเซอร์แลนด์ขาดดุลการค้าตลอดมาเว้นแต่ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งส่งผลให้การนำเข้าลดลง แม้ว่าสวิตเซอร์แลนด์จะขาดดุลการค้ากับประเทศอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของยุโรป (ยกเว้นอังกฤษ) แต่สวิตเซอร์แลนด์ได้ดุลการค้าจากประเทศที่พัฒนาน้อยกว่าเช่น สเปน โปรตุเกส และประเทศกำลังพัฒนา เครื่องจักรกล อุปกรณ์ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ทางเวชกรรม นาฬิกา และอัญมณี เป็น สินค้าส่งออกหลักของสวิตเซอร์แลนด์ สินค้านำเข้าหลักได้แก่เครื่องจักรกล อุปกรณ์ไฟฟ้า นาฬิกา เคมีภัณฑ์ ผลผลิตทางการเกษตร โลหะ สิ่งทอ และเครื่องแต่งกาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่นำเข้าวัตถุดิบโดยใช้แรงงานที่มีคุณภาพสูงของตนแปรรูปให้เป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง การส่งออกภาคบริการของสวิตเซอร์แลนด์ในช่วงปี 1996-1999 เพิ่มประมาณร้อยละ 6.5 ต่อปี โดยมีสัดส่วนร้อยละ 20 ของการส่งออกทั้งหมด การท่องเที่ยวก็เป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมบริการ สวิตเซอร์แลนด์ได้ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นสัดส่วนต่อรายได้ประชาชาติสูงสุดของโลก การ ได้ดุลจำนวนมากนี้เป็นผลจากการทำธุรกรรมด้านบริการ โดยเฉพาะภาคการเงิน บริษัทสวิสลงทุนในต่างประเทศมากกว่าบริษัทต่างประเทศมาลงทุนในสวิตเซอร์แลนด์ประมาณ 2.5 เท่า การลงทุนทางตรงของสวิตเซอร์แลนด์ในต่างประเทศส่วนใหญ่อยู่ในสหภาพยุโรปและ สหรัฐอเมริกา ในขณะที่สหภาพยุโรปมีสัดส่วนการลงทุนในสวิตเซอร์แลนด์เป็นสองในสามของการลงทุน ต่างประเทศในสวิตเซอร์แลนด์
 
นโยบายต่างประเทศของสวิตเซอร์แลนด์
 
ก่อนปี ค.ศ. 1980 นโยบายต่างประเทศของสวิตเซอร์แลนด์ยึดหลักการ 4 ประการ คือ ความ เป็นกลาง (neutrality) ความมีน้ำหนึ่งใจเดียว (solidarity) ความเป็นสากล (universality) และความเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม (availability) ต่อมาเมื่อกิจการต่างประเทศเริ่มมีส่วนเกี่ยวพันกับกิจการสาขาอื่น ๆ โดยเฉพาะเศรษฐกิจ การเงิน สิ่งแวดล้อม และกฎหมาย และการที่โลกเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์และหน่วยงานหรือ องค์กรต่าง ๆ ได้เริ่มมีบทบาทในกิจการต่างประเทศมากขึ้น ทำให้สวิตเซอร์แลนด์ต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการต่างประเทศ และได้จัดทำสมุดปกขาวว่าด้วยนโยบายต่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในศตวรรษที่ 90 ซึ่งได้รับ ความเห็นชอบจากรัฐบาลในปี ค.ศ. 1993 นโยบายต่างประเทศของสวิตเซอร์แลนด์สำหรับปี 2545 สรุปได้ดังนี้
 
การเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ
 
สวิตเซอร์แลนด์ให้ความสำคัญลำดับแรกต่อการเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ขณะนี้รัฐบาลได้เร่งรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญขององค์การสหประชาชาติ ในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งสี่พรรค ได้ให้ความเห็นชอบต่อการเข้าเป็นสมาชิกดังกล่าว และได้จัดการลงประชามติทั่วประเทศในวันที่ 3 มีนาคม 2545 โดยก่อนหน้านั้นเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1986 รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ได้จัดการลงประชามติการเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ แต่ประชาชนสวิสส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยเนื่องจากเกรงจะเสียความเป็นกลางซึ่งเป็นนโยบายหลักของประเทศตลอดมา แต่ในการลงประชามติเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 2002เสียงส่วนใหญ่ของประชาชนสวิสและเสียงส่วนใหญ่ของรัฐ (Canton) ได้ลงมติให้ความเห็นชอบการเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติของสมาพันธรัฐสวิส โดยผู้ลงมติเห็นด้วยคิดเป็นร้อยละ 54.61 ผู้ลงมติไม่เห็นด้วยร้อยละ 45.39 และรัฐ (Canton) ที่เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยมีจำนวน 12 รัฐ จากจำนวนรัฐ ทั้งหมด 23 รัฐ การลง ประชามติครั้งนี้มีประชาชนออกมาใช้สิทธิร้อยละ 57.7 ทั้งนี้ สมาพันธรัฐสวิสได้ยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิก สหประชาชาติอย่างเป็นทางการและได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติในช่วงการประชุมสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 57 ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2002
 
การเจรจาทวิภาคีกับสหภาพยุโรป
 
รัฐบาลสวิสชุดปัจจุบันได้ประกาศเป็นนโยบายแน่ชัดที่จะเข้าไปมีบทบาทในเวทีการเมืองระหว่างประเทศให้มากขึ้น อาทิ การจะเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ และการพยายามจะสมัครเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป เนื่องจากเห็นว่า สวิตเซอร์แลนด์จะไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้อีกต่อไป ในปี ค.ศ. 1992 สวิตเซอร์แลนด์ได้จัดการลงประชามติเกี่ยวกับการเข้าเป็นสมาชิกเขตการค้าเสรียุโรป (European Economic Area) แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบ รัฐบาลจึงหาทางออกโดยการเปิดการเจรจากับสหภาพยุโรปตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1994 เพื่อทำความตกลงทวิภาคีใน 7 สาขา คือ การเคลื่อนย้ายบุคคลและแรงงานเสรี การวิจัย การขนส่งทางบก การบิน การเปิดเสรีทางการค้า การให้สิทธิภาคเอกชนของประเทศสหภาพยุโรปและ
สวิตเซอร์แลนด์เข้าไปประมูลหรือดำเนินกิจกรรมที่เป็นการจัดซื้อโดยรัฐในอีกประเทศหนึ่งได้เท่าเทียมคนชาติ การลดอุปสรรคการค้าระหว่างกัน และเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1999 สวิตเซอร์แลนด์และสหภาพยุโรปได้ ลงนามความตกลงดังกล่าวซึ่งสภาแห่งชาติของสวิตเซอร์แลนด์ได้ให้สัตยาบันความตกลงฯ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1999 และผ่านการลงประชามติจากประชาชนร้อยละ 62.7 เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2000 รวมทั้งได้ผ่านการให้สัตยาบันจากรัฐสภาเบลเยี่ยมเป็นประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปประเทศสุดท้ายแล้วเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2001 ซึ่งหลังจากนั้น รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ได้เริ่มการเจรจาทวิภาคีกับสหภาพยุโรปอีก 10 สาขา คือ การบริการ การจ่ายเงินบำนาญ การแปรรูปสินค้าเกษตร สิ่งแวดล้อม สถิติ การศึกษา กิจการเยาวชน บัญชีเงินฝากธนาคาร ความร่วมมือเพื่อต่อต้านการฉ้อโกง และความร่วมมือด้านการศาสนา กิจการตำรวจและการอพยพย้ายถิ่นฐาน อย่างไรก็ตาม มีกระแสเรียกร้องให้เปิดการเจรจากับสหภาพยุโรปโดยทันทีเพื่อเร่งรัดการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งรัฐบาลสวิสไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องนี้ เนื่องจากเห็นว่า สวิตเซอร์แลนด์จะพร้อมเปิดการเจรจากับสหภาพยุโรปในช่วงระหว่างปี 2004-2007 และอาจพร้อมที่จะเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปหลังปี 2010 แต่เมื่อมีประชาชน 100,000 คน เข้าชื่อเรียกร้องให้จัดการลงประชามติ รัฐบาลสวิสก็ได้จัดการลงประชามติขึ้นเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2001 ผลปรากฏว่าประชาชนกว่าร้อยละ 76.7 ลงคะแนนไม่เห็นด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ผู้สนับสนุนการเปิดการเจรจากับสหภาพยุโรป จะเป็นชาวสวิสในเขตสวิส ฝรั่งเศส ในขณะที่ชาวสวิสเยอรมันเกินร้อยละ 85 ลงคะแนนไม่เห็นด้วย
 
ความสัมพันธ์ทวิภาคีสวิตเซอร์แลนด์กับประเทศเอเชีย-แปซิฟิก
 
รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเอเชียแปซิฟิก ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และได้เริ่มมิติใหม่ต่อการพัฒนาความร่วมมือด้านเทคโนโลยี แต่ นาย Deiss ได้ยอมรับว่ารัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์มีบทบาทแข็งขันในการช่วยเหลือพัฒนาประเทศเอเชียใต้ เช่น ปากีสถาน เนปาล ภูฐาน อินเดีย บังคลาเทศ และเอเชียกลาง เช่น คีร์กิซสถาน ซึ่งความช่วยเหลือส่วนใหญ่จะทำในกรอบความร่วมมือพหุภาคีภายใต้องค์การระหว่างประเทศ และมีกลุ่มผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ (pool of experts) กว่า 600 คน ซึ่งพร้อมจะเดินทางไปให้ความร่วมมือช่วยเหลือด้านเทคโนโลยี สำหรับอัฟกานิสถานนั้น สวิตเซอร์แลนด์เข้าไปมีบทบาททั้งในการเจรจาด้านการเมืองและได้มอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผ่านสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และองค์การกาชาดสากล (ICRC) เป็นมูลค่ากว่า 17 ล้านฟรังค์สวิสในปี ค.ศ. 2001 โดยให้ความสำคัญกับการ ช่วยเหลือฟื้นฟูประเทศและการยกระดับความเป็นอยู่ของสตรี แต่จะไม่เข้าร่วมในกองกำลังรักษาสันติภาพ และในครึ่งแรกของปี ค.ศ. 2002 สวิตเซอร์แลนด์กำหนดจะเปิดสำนักงานติดต่อ (coordination Office) ที่กรุงคาบูล แต่ในขณะนี้ยังใช้ช่องทางการติดต่อผ่านสถานเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ประจำปากีสถาน
 
 ประชากร
 
ประชากร 7.5 ล้านคน (ปี 2549) เป็นชาวสวิส เยอรมันร้อยละ 65 สวิสฝรั่งเศสร้อยละ 18 สวิสอิตาเลียน ร้อยละ 10 โรมานช์ ร้อยละ 1 อื่น ๆ ร้อยละ 6
 
วัฒนธรรม
 
ประชาชนร้อยละ 48 นับถือนิกายโรมันคาทอลิก ร้อยละ 44 นับถือนิกายโปรเตสแตนท์ ร้อยละ 8 นับถือศาสนาอื่นๆหรือมิได้นับถือศาสนา
2 notes · View notes
Link
THE MALL AMAZING JOURNEY เหนือสุดแดนสยาม https://tinyurl.com/5n8tmujn @TheMallThailand #TheMallThailand
POWER MALL MID YEAR SALE | THE MALL | เดอะมอลล์ | โครงการห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าครบวงจร https://tinyurl.com/4kds46mt @TheMallThailand #TheMallThailand
POWER MALL MID YEAR SALE | THE MALL | เดอะมอลล์ | โครงการห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าครบวงจร https://tinyurl.com/w478ew8t @TheMallThailand #TheMallThailand
KBank Love | THE MALL | เดอะมอลล์ | โครงการห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าครบวงจร https://tinyurl.com/559b6jyt @TheMallThailand #TheMallThailand
5.5 Holiday Special | THE MALL | เดอะมอลล์ | โครงการห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าครบวงจร https://tinyurl.com/mrxdx7f7 @TheMallThailand #TheMallThailand
0 notes
sanrio-kitty · 1 year
Link
0 notes
sorawichphoto · 2 years
Photo
Tumblr media
Local girl and gun Sapa,Cat Cat Village, Vietnam, waterfall,ancient village, หมู่บ้านกั๊ต กั๊ต ,ชนเผ่า (ที่ Cat Cat Village Sapa) https://www.instagram.com/p/ClfHmFhvgVg/?igshid=NGJjMDIxMWI=
0 notes
soclaimon · 2 years
Text
บุคคลในข่าว
#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ https://www.thairath.co.th/news/local/2553685 16 พ.ย. 2565 05:03 น. อินทรีเหล็ก ม.ล.ดิศปนัดดา ชวนเที่ยวเทศกาลสีสันกาสะลองชมต้นคริสต์มาสทอจากผ้าธรรมชาติ สวยงาม ภาสกร บุญญลักษม์, ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา และ ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล เปิดเทศกาลสีสันกาสะลอง เชิญชมต้นคริสต์มาสหมอกพันวาถักทอด้วยผ้าธรรมชาติอัตลักษณ์ของ 6 ชนเผ่า…
Tumblr media
View On WordPress
0 notes
popmovie888 · 2 years
Text
Jungle Cruise ผจญภัยล่องป่ามหัศจรรย์ (2021) พากย์ไทย
Tumblr media
ตัวอย่างหนัง Jungle Cruise ผจญภัยล่องป่ามหัศจรรย์ (2021) https://www.youtube.com/watch?v=f_HvoipFcA8 เนื้อเรื่อง Jungle Cruise ผจญภัยล่องป่ามหัศจรรย์ (2021) ในปี ค.ศ. 1556 Don Aguirreนำผู้พิชิต ชาวสเปน ไปยังอเมริกาใต้เพื่อค้นหาต้นไม้ Lágrimas de Cristal ซึ่งดอกไม้นี้รักษาอาการเจ็บป่วย รักษาอาการบาดเจ็บ และยกคำสาป หลังจากที่ผู้พิชิตจำนวนมากเสียชีวิต ชนเผ่า Puka Michuna จะรักษาผู้รอดชีวิตที่ป่วยด้วยดอกไม้ของต้นไม้ เมื่อหัวหน้าเผ่าปฏิเสธที่จะเปิดเผยตำแหน่งของต้นไม้ Aguirre ก็แทงเขาและเผาหมู่บ้าน หัวหน้าที่กำลังจะตายสาปแช่งผู้พิชิต ทำให้พวกเขาเป็นอมตะและไม่สามารถละสายตาจากแม่น้ำอเมซอนได้ โดยไม่ถูกป่า ลากกลับ  ในปี 1916 ลอนดอน งานวิจัย Tears of the Moon ของ Dr. Lily Houghton นำเสนอโดย MacGregor น้องชายของเธอต่อRoyal Society Houghtons หวังว่าจะปฏิวัติทั้งการแพทย์และสงครามอังกฤษ ขอเข้าถึง สิ่งประดิษฐ์ หัวลูกศร ที่เพิ่งได้มา แต่คำขอถูกปฏิเสธเนื่องจากต้นไม้ถือเป็นตำนานและนักวิทยาศาสตร์หญิงไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม ลิลี่เชื่อว่าหัวลูกศรและแผนที่เก่าของอเมซอนเป็นกุญแจสำคัญในการค้นหาต้นไม้ ลิลี่จึงขโมยมัน หลบเลี่ยงเจ้าชายโจอาคิม อย่างหวุดหวิด ผู้ซึ่งตั้งใจจะค้นหาต้นไม้ให้เยอรมนี เท่าเทียม กัน  เมื่อมาถึงสาธารณรัฐบราซิล ที่หนึ่ง ลิ ลี่และแมคเกรเกอร์ค้นหาคู่มือนำทางในแม่น้ำอเมซอน พวกเขาจ้างกัปตันแฟรงค์ วูลฟ์ซึ่งให้บริการล่องเรือชมป่าที่ประดับประดาไปด้วยอันตรายจากการแสดงละครและการเล่นซ้ำซาก จำเจ ในขั้นต้นเขาปฏิเสธ โดยอ้างถึงอันตรายของแม่น้ำและป่าไม้ แฟรงค์พิจารณาใหม่เมื่อเห็นหัวลูกศร แฟรงค์ขโมยเครื่องยนต์ของเรือที่ถูกยึดคืนจากนายท่าเรือ Nilo และทั้งสามคนก็จากไปหลังจากหลบหนีจากเรืออูของ Joachim ในกระท่อมของแฟรงค์ ลิลี่ค้นหาภาพถ่ายและภาพร่างสิ่งประดิษฐ์สมัยใหม่ ตลอดจนงานวิจัยเกี่ยวกับน้ำตาแห่งดวงจันทร์ เธอกล่าวหาว่าเขาตามหาต้นไม้ แต่เขายืนยันว่าเขายอมแพ้ไปนานแล้ว พวกเขาถูกจับโดยชนเผ่า Puka Michuna ซึ่งปลอมตัวเป็นมนุษย์กินเนื้อคนแต่ปล่อยพวกเขาอย่างรวดเร็วเมื่อ Frank จ้างพวกเขา โกรธ ลิลลี่เริ่มสงสัยแฟรงก์ หัวหน้าเผ่า Trader Sam แปลสัญลักษณ์บนหัวลูกศร เผยให้เห็นตำแหน่งของต้นไม้และมันจะเบ่งบานภายใต้พระจันทร์สีเลือดเท่านั้น ในขณะเดียวกัน Joachim ก็พบผู้พิชิตที่ กลายเป็น หินภายในถ้ำ เขาทำให้พวกเขาตกลงที่จะหาหัวลูกศรให้เขาเพื่อแลกกับดอกไม้ เขาเปลี่ยนเส้นทางแม่น้ำเพื่อปลดปล่อยพวกมันและพวกมันจะฟื้นคืนชีพในขณะที่ผสมกับองค์ประกอบของป่าฝน ผู้พิชิตตามล่าและโจมตีเผ่าที่แฟรงค์ถูกอากีร์แทงเข้าที่หัวใจ ลิลลี่หนีไปพร้อมกับสิ่งประดิษฐ์ แต่เถาวัลย์ดึงชาวสเปนออกไปเมื่อพวกเขามองไม่เห็นแม่น้ำโดยไม่รู้ตัวขณะไล่ตามเธอ ด้วยความประหลาดใจของ Houghtons แฟรงค์ก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เขาเปิดเผยว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้พิชิตที่ถูกสาป ซึ่งเคยต้องการช่วยค้นหาน้ำตาเพื่อช่วยลูกสาวที่เป็นอัมพาตของอากีร์เร อย่างไรก็ตาม เขาเข้าข้างเผ่าเพื่อต่อต้านอากีร์เร่ หลังจากต่อสู้กันมานานหลายปี เขาได้กักขังสหายพยาบาทให้ห่างจากแม่น้ำ ทำให้พวกเขากลายเป็นหิน เมื่อไม่พบต้นไม้ แฟรงค์จึงกลายเป็นมัคคุเทศก์และสร้างหมู่บ้าน ลิลี่และแฟรงค์เดินทางต่อไปยัง น้ำตกลาลูน่าโรตา และค้นพบ วิหาร ที่จมอยู่ใต้ น้ำ ในขณะเดียวกัน Joachim ได้จับกุม MacGregor และบังคับให้เขาเปิดเผยตำแหน่งของ Lily Frank, Houghtons, German และ Conquistadors ทั้งหมดมาบรรจบกันที่ Tree เมื่อน้ำของ La Luna Rota ระบายออกบางส่วน เมื่อค้นพบหัวลูกศรก็คือล็อกเกตที่มีอัญมณีสีแดงอยู่ข้างใน ลิลี่จึงวางชิ้นส่วนทั้งสองลงในงานแกะสลักที่เปลือกไม้ และต้นไม้ก็เบ่งบานชั่วครู่ภายใต้ดวงจันทร์สีเลือด ระหว่างการต่อสู้ ลิลี่ได้ดอกไม้มาหนึ่งดอก ทหารเยอรมันจมน้ำ โจอาคิมถูกก้อนหินล้มทับ และแฟรงก์ชนเรือของเขาเพื่อกั้นแม่น้ำ ทำให้เขากลายเป็นหินและเหล่าผู้พิชิตที่เหลือเพื่อช่วยลิลลี่ เมื่อตระหนักถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเธอที่มีต่อแฟรงค์ ลิลี่จึงเสียสละดอกไม้เพื่อยกคำสาปของแฟรงก์และฟื้นฟูการตายของเขา และเขาตัดสินใจที่จะออกจากแอมะซอนเพื่ออยู่กับเธอ ลำแสงสุดท้ายของดวงจันทร์เบ่งบานเป็นดอกไม้ดอกเดียว ซึ่งลิลลี่ใช้สำหรับการวิจัย เมื่อกลับมาที่ท่าเรือ แฟรงค์ขายธุรกิจของเขาให้นิโล เมื่อพวกเขากลับมาอังกฤษอย่างประสบความสำเร็จ ลิลี่ก็ได้เป็นศาสตราจารย์เต็มตัวที่ มหาวิทยาลัยเค มบริดจ์ MacGregor ปฏิเสธคำเชิญเข้าร่วมเป็นสมาชิกจาก Royal Society ลิลี่และแฟรงค์ก็ออกสำรวจลอนดอนด้วยกัน   อ้างอิงจาก TMDB  ดูหนังออนไลน์    Read the full article
0 notes
mydiytrip · 4 years
Photo
Tumblr media
เรื่องเล่าชาวซามี พบกับตัวจริงเสียงจริงและวิวัฒนาการของชีวิตชาวเผ่าแล้วอึ้ง ชาวซามิ ชนพื้นเมืองกลุ่มเดียวที่สามารถดำรงชีพและอยู่รอดในขั้วโลกเหนือ มาตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ก่อนรัสเซียและยุโรปจะเข้ามาตั้งรกรากใน lapsland ซะอีก ตอนนี้คงเหลืออยู่เพียง 2 หมื่นคน ในรัสเซียเหลือแค่ไม่ถึง 4 พันคนแล้วนะคะ สังเกตุดีๆหน้าคล้ายๆชาวฟินแลนด์ แต่ตัวดูเล็กกว่าเยอะ. ชีวิตของซามีมีความผูกพันเป็นอย่างมากกับกวางเรนเดียร์. แต่...ที่เลิศที่ซูดส์ของการเกิดเป็นผู้หญิงชนเผ่าซามี คือ มีสามีได้ 3 คนทำหน้าที่แตกต่างกัน คือ 1. สามีคนโต ทำหน้าที่ล่าสัตว์ 2. สามีคนรอง ทำหน้าที่เลี้ยงสัตว์ 3. สามีคนสุดท้อง ทำหน้าที่เลี้ยงลูก น่าอิจฉาสาวชาวซามีจัง เธอมีชีวิตเลิศ 55 มาดูหน้าตาลูกหลานเค้าสิคะ สวย น่ารัก เป็นกันเองมากๆ ดีใจที่ได้ไปเจอตัวเป็นๆจริงๆและเรียนรู้วิถีชีวิตจริงๆของชนเผ่าซามิซักที หลังจากไปมา 5 รอบ เพิ่งร้องอ๋อรอบที่ 5 นี้เอง ฝากติดตาม Club : MyDiYTrip ใน CH คลับของเหล่านักท่องเที่ยวที่ชอบท่องเที่ยวด้วยตัวเองมารวมตัวกันพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ท่องเที่ยวสนุกๆกันนะคะ คลิ้ก https://www.joinclubhouse.com/club/mydiytrip #sami #nordichome #ชนเผ่า #challenge #ชนะ #คลับเฮ้าส์ #mydiytrip #เที่ยวสบายสไตล์คุณเคท #เที่ยวสุดโลก #รัก #สวย #ท่องเที่ยว #เที่ยว #ไปไหนไปกัน #clubhouse #club #mydiytrip #follow https://www.instagram.com/p/CMf5mH7Mz5H/?igshid=vc7fpbre1tly
0 notes
juleemira · 7 years
Photo
Tumblr media
ปีหน้าเราจะได้เจอกันอีก พี่สัญญาทุกอย่างจะต้องดีกว่าเดิม รอพี่เน้อจ้าว ตาบรือๆๆ #นรจ.อาสาพัฒนาชุมชน #นรจ #แม่ฮ่องสอน #ชนเผ่า #จิตอาสา #ชมรมคนวาดยิ้ม #กองทัพเรือ ⛰🌈💕 (at อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน)
0 notes
prapasara · 3 months
Text
Tumblr media
 ประวัติประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ประวัติและความเป็นมาของประเทศ
สวิตเซอร์แลนด์ประเทศที่พรั่งพร้อมไปด้วยภูมิประเทศอันสวยงาม ยอดเขาสูงและทะเลสาบ จนนักท่องเที่ยวหลายๆคน ใฝ่ฝันที่จะไปเยือนดินแดนแห่งนี้ให้ได้สักครั้งในชีวิต แต่ถ้าจะให้เข้าถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์อย่างถ่องแท้แล้ว คงต้องเริ่มตั้งแต่การถือกำเนิดเกิดมาประเทศสวิตเซอร์แลนด์กันเลย ซึ่งตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า บริเวณที่เป็นประเทศสวิตเซอร์แลนด์นี้เคยเป็นที่อยู่ของชนเผ่ากลุ่มเร่ร่อนมาตั้งแต่สมัย 10000 ปีก่อนคริสตกาล จนกระทั่งเมื่อเข้าสู่ยุคโรมัน ชนเผ่าชาวโรมันก็ย้ายเข้ามาตั้งรกรากอยู่ และเมื่ออาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เจริญอำนาจขึ้นมา ผินดินที่เป็นสวิตเซอร์แลนด์ในปัจจุบันก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักนี้ ต่อมาก็ได้มีการรวบรวมแคว้นต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อต่อต้านความกดดันจากราชวงศ์ฮับส์บวร์กส์ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ในสมัยนั้น จนกระทั่งได้เริ่มมีการก่อร่างสร้างตัวเป็นประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในปี 1291 หลังจากนั้นก็ยังมีสงครามระหว่างชนเผ่าต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์หลายครั้ง จนกระทั่งได้กลายมาเป็นประเทศที่ถือได้ว่าเป็นประเทศที่สงบสุขที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะไม่ได้มีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีอำนาจมากมายเป็นที่รู้จักในหน้าประวัติศาสตร์ของโลกอย่างกษัตริย์ของประเทศฝรั่งเศสหรือประเทศเยอรมัน แต่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก็ผ่านอะไรต่อมิอะไรมาไม่น้อยเหมือนกัน ก่อนที่จะไปท่องเที่ยวในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เราลองมาทำความรู้จักกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์กันซักหน่อยว่า ตั้งแต่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์จวบจนกระทั่งมาเป็นประเทศสวิตเซอร์แลนด์เข้าสู่ยุคศตวรรษที่ 21 มีอะไรเกิดขึ้นบ้างในผืนแผ่นดินแห่งนี้
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
เมื่อ 10000 ปีก่อนคริตสกาล พวกกลุ่มนักล่าสัตว์และกลุ่มคนเร่ร่อนได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่อาศัยในเขตทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ (Alp) ซึ่งในปัจจุบันก็คือพื้นที่บริเวณ Graubünden ใจกลางประเทศสวิสเซอร์แลนด์เป็นครั้งแรก ต่อมาก็ได้มีการขยายอาณาเขตออกไปเรื่อยๆ ตามพื้นที่บริเวณลุ่มทะเลสาบต่างๆ จนกระมั่งเมื่อประมาณ 400 ปีก่อนคริสตกาลชนเผ่าเซลท์ (Celt คือกลุ่มชนชาติที่พูดภาษาเซลติก) ได้เริ่มย้ายถิ่นฐานจากทางเยอรมันตอนใต้ เข้าไปสู่พื้นที่ลุ่มทะเลสาบในตอนกลางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพิ่มมากขึ้น โดยทางด้านตะวันออกของสวิตเซอร์แลนด์เป็นที่อยู่อาศัยของพวก Raetia ส่วนทางด้านตะวันตกถูกครอบครองโดยชาว Helvetii นอกจากนั้นก็ยังมีชนเผ่าอื่นๆ ที่กระจัดกระจายไปตามส่วนต่างๆ ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีกเป็นจำนวนมาก คือ ชนเผ่า Lepontier ทางแคว้น Tessin ชนเผ่า Seduner ในเขต Wallis และทะเลสาบเจนีวา
ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุครุ่งเรืองของอาณาจักรโรมันในประมาณ 58 ปีก่อนคริสตกาล ชนเผ่าโรมันภายใต้การนำของ จูเลีส ซีซาร์ (Julius Caesar) ได้เข้าโจมตีและยึดดินแดนของชนเผ่า Helvetii และดินแดนส่วนอื่นๆ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน ช่วงนี้เองที่ได้เริ่มที่การก่อสร้างถนนหนทางและระบบผังเมืองขึ้นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ขึ้นเป็นครั้งแรก เช่น ในบริเวณเมือง Basel, Chur, Geneve, Zurich ในปัจจุบัน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมือง Avenches
ในช่วงปลายของยุคสมัยโรมัน ประมาณปีคริตศตวรรษที่ 4 ถึง 6 ศาสนาคริสต์ได้เผยแผ่เข้ามาในเขตประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทำให้ได้มีการตั้งตำแหน่ง Bishop ขึ้นตามเมืองต่างๆ และเชื่อกันว่าอาณาจักรโรมันก็ล่มสลายลงในช่วงนี้เอง
หลังจากที่อาณาจักรโรมันค่อยๆเริ่มเสื่อมลง พวกชาวเยอรมันเผ่าต่างๆ ก็อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเข้ามาในเขตนี้แทน โดยชนเผ่า Burgundian เข้ามายึดครองบริเวณทางแถบ Jura ทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ บริเวณแม่น้ำ Rhðne และทะเลสาบเจนีวา ส่วนพวก Alamannic ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำไรน์ (Rhein) ส่วนการเผยแผ่ศาสนาก็ยังคงมีอยู่เรื่อยๆ โดยพระนักสอนศาสนาเข้ามามีบทบาทสำคัญในเขตเมืองต่างๆ รวมทั้งยังมีการสร้างวัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมือง St. Gallen และ Zurich
เมื่อเริ่มเข้าสู่ยุคโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire ซึ่งอาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรของจักรรรดิชาร์ลมาญแห่งเยอรมันหรือเรียกว่าเป็นอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งชนชาติเยอรมัน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาณาจักรโรมันในสมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์แต่อย่างใด) ก็ได้มีการนำระบบกฏหมายต่างๆ เข้ามาใช้ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีการร่างสนธิสัญญา Verdun ขึ้นในปี ค.ศ. 834 โดยพื้นที่บริเวณตะวันตกของสวิตเซอร์แลนด์ (Burgundain) ตกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ Lothair ที่ 1 และทางด้านตะวันออก (Alamannic) อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ Louis the German
ในศตวรรษที่ 10 เมื่อระบบการปกครองแบบใช้กฏหมายเสื่อมลง พวกชนเผ่าแมกยาร์ (Magyar) ก็เข้ามาทำลายเมืองใหญ่ต่างๆ ของเผ่า Burgundian และ Alamannic แต่ต่อมาเมื่อกษัตริย์ Otto ที่ 1 ทำสงครามชนะพวกชนเผ่าแมกยาร์ในปี ค.ศ. 955 ก็มีการรวมพื้นที่บริเวณของ 2 ชนเผ่าเข้าด้วยกันเป็นส่วนหนึ่งของ Holy Roman Empire อีกครั้ง และยังได้มีการรวบรวมแคว้นต่างๆเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ อาณาจักรนี้ถูกปกครองโดยราชวงศ์ฮับสบวร์ก (Habsburg dynasty) ไปจนกระทั่งกษัตริย์ Rudolph ที่ 1 แห่งราชวงศ์ฮับสบวร์กสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 1291
ยุคของอดีตสมารัฐสวิส (Old Swiss Confederation)
ช่วงที่ถือได้ว่าเป็นช่วงของการก่อตั้งประเทศสวิตเซอร์แลด์หรือประเทศสมาพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์อย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1291 เมื่อมณฑล 3 มณฑลในเขตเทือกเขาแอลป์ คือ Uri, Schwyz และ Unterwalden ได้รวมตัวกันขึ้นเป���นอดีตสมาพันธรัฐสวิส (Old Swiss Conferderation หรือที่เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า Alte Eidgenossenschaft) ซึ่งการรวมกลุ่มนี้ไม่ได้เพื่อต้องการแยกออกเป็นประเทศ แต่เพียงเพื่อต้องการจะต่อต้านอำนาจของราชวงศ์ฮับส์บวร์ก ซึ่งการรวมกลุ่มครั้งนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากราชวงศ์ฮับส์บวร์กและมีการทำสงครามกันเรื่อยมา ในปี1315 กลุ่มของชาวบ้านที่เป็นทหารของสวิสในสมัยนั้นก็ทำสงครามชนะทหารของราชวงศ์ฮับส์บวร์กในสงคราม Morgaten หลังจากนั้นเมือง Zürich, Lucerne, Glarus, Zug และ Bern ก็ได้เข้าร่วมเป็นอดีตสมาพันธรัฐสวิส และได้มีการเรัยกชื่อกลุ่มการรวมตัวของมณฑล 8 มณฑลนี้ว่า Schwyz ภายหลังจากการรวมตัวนี้แล้ว ก็ยังคงมีการรวมตัวของมณฑลต่างๆ อยู่เรื่อยๆ จนเมื่อสิ้นสุดปี ค.ศ. 1513 ก็มีมณฑลเข้าร่วมทั้งหมด 13 มณฑล
ภายหลังจากที่มีการรวมตัวกันในปี 1513 แล้ว ก็ยังคงมีการทำสงครามกันภายในพื้นที่ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในปุจจับันอยู่เรื่อยๆ โดยส่วนใหญ่จะเป็นสงครมทางศาสนา แต่สงครามที่ยาวนานที่สุด คือ สงคราม 30 ปี (Thirty Years´War ค.ศ. 1618-1648) ซึ่งในช่วงแรกของสงครามนี้เป็นสงครามระหว่างศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิกกับโปรแตสแตนท์ แต่ต่อมาสงครามได้ขยายวงกว้างไปเป็นสงครามการขยายอำนาจภายในทวีปยุโรป สงคราม 30 ปีสิ้นสุดลงเมื่อมีการประกาศสันติภาพ Peace of Westphalia และสืบเนื่องมาจาก Peace of Westphalia นี้เอง ประเทศสมาพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์ประกาศแยกตัวออกจากอาณาจักริ์โรมันอันศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1648
ในยุคที่ราชวงศ์ของฝรั่งเศสเริ่มเข้ามามีบทบาทในประวัติศาสตร์ยุโรป กองทัพของนโปเลียน (Napolean Bonaparte) ก็เข้าครอบครองสวิตเซอร์แลนด์และสถาปนาเป็น Helvetic Republic ในปี ค.ศ. 1798 ทำให้ดินแดนของสวิตเซอร์แลนด์ถูกรวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส
ต่อมาในปี 1803 ภายใต้การปกครองของนโปเลียนได้มีการรวบรวมมณฑลต่างๆ ในสมาพันธรัฐสวิสอีกครั้งนอกจากนั้นยังได้สถาปนาเขต 6 เขต คือ ขึ้นเป็นมณฑลใหม่ ในปี 1815 ได้มีการสถาปนาสมาพันธรัฐสวิสขึ้นมาใหม่ ที่คองเกรสแห่งเวียนนา (Congress of Vienna) ขึ้น โดยมีการเพิ่มจำนวนมณฑลเข้าไปอีก 3 มณฑล ในคองเกรสนี้เองได้มีการลงนามให้ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่เป็นกลางทางการเมือง คือเป็นการประกาศว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะเป็นเส้นแบ่งเขตแดนไม่ให้มีการทำสงครามกันระหว่างฝรั่งเศส เยอรมัน และออสเตรีย และได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญในปี 1848 (Fereral Constitution) ซึ่งในรัฐธรรมนูญระบุให้เมือง Bern เป็นเมืองหลวงของสมาพันธรัฐ โดยมีภาษาที่ใช้เป็นภาษาราชการ 3 ภาษา คือ ภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส และภาษาอิตาลี
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้วางตัวเป็นกลางทางด้านการทหาร บทบาทสำคัญเพียงอย่างเดียวของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็คือการส่งสภากาชาดเข้ามาช่วยเหลือ เมื่อสงครามโลกผ่านพ้นไป กลิ่นอายแห่งสงครามกลับทำให้เศรษฐกิจของสวิตเซอร์แลนด์ตกต่ำลง และเริ่มฟื้นฟูขึ้นใหม่ในช่วงปี ค.ศ. 1930 ยุคนี้ยังเป็นยุคแห่งการถือกำเนิดของศิลปินชื่อดังอีกด้วย
ถึงแม้ว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะวางตัวเป็นกลางในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่สวิตเซอร์แลนด์กลับมีบทบาทสำคัญในทางด้านเศรษฐกิจ คือธนาคารของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้กลายเป็นสถานที่เพื่อใช้แลกเปลี่ยนเงินผิดกฏหมายของพวกเหล่านาซี
ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศหลายประเทศได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาติแต่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเปรียบเสมือนประเทศเจ้าบ้านกลับไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในสมัยแรก โดยองค์การสากลแห่งแรกที่สวิสเข้าร่วมเป็นสมาชิกภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 องค์การ UNESCO ซึ่งเข้าร่วมในปี 1948 ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ตัดสินใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติเมื่อปี ค.ศ. 2002 ต่อมาในปี 2005 ประชาชนชาวสวิตเซอร์แลนด์ได้ทำการลงประชามติเพื่อให้ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เข้าร่วมเป็นประเทศในสนธิสัญญา เชงเก้น (Schengen Treaty)
Hint: ตามข้อกำหนดในสนธิสัญญาเชงเก้น หรือ Schengen Treaty นักท่องเที่ยวที่มีวีซ่าแบบมัลติเพิลของประเทศใดประเทศหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่ม Schengen สามารถเดินทางเข้าออกประเทศอื่นๆ ในกลุ่ม Schengen ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าของประเทศนั้นๆ ปัจจุบันประเทศในกลุ่ม Schengen มีทั้งหมด 15 ประเทศ คือ ออสเตรีย, เบลเยี่ยม, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, ไอซ์แลนด์, อิตาลี, กรีซ, ลักเซมเบริ์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, โปรตุเกส, สเปน และ สวีเดน
 The Animated History of Switzerland
CR :: https://youtu.be/snFjkU85EqI
.
#switzerland #history #ประวัติประเทศสวิสเซอร์แลนด์
#ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ #สวิตเซอร์แลนด์
#วันชาติประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ทุกๆ วันที่ 1 สิงหาคมของทุกปี ถือเป็นวันชาติของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และในปี 2021จะเป็นปีครบรอบ 730 ปี ของ SWITZERLAND มีการจัดงานเฉลิมฉลองวันชาติสวิตเซอร์แลนด์อย่างยิ่งใหญ่ ทั่วทั้งประเทศมีการจัดงานเลี้ยง จุดพลุ และก่อกองไฟเฉลิมฉลองวันชาติที่เป็นกิจกรรมทำกันทุกปี
.
The first day of August each year is the National Day of Switzerland and in 2021 it will be the 730th anniversary of Switzerland. There will be grand celebration for this National Switzerland Day all over the country with gala banquet, fireworks and bonfires to commemorate the National Day as the activities practiced every year.
#เพลงชาติสวิสเซอร์แลนด์ #SchweizerPsalm #Switzerland #SwitzerlandNationalDay #1สิงหาคมวันชาติสวิตเซอร์แลนด์
#AllesGuteZumGeburtstag #วันชาติประเทศสวิสเซอร์แลนด์
#ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ #สวิตเซอร์แลนด์ #BeautifulSwitzerland
#ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ #สวิตเซอร์แลนด์ #DavosSwitzerland #DieSchweiz #SwissConfederation
ที่มา  ::     https://loveswitzerland.blogspot.com/2021/07/blog-post.html
2 notes · View notes
sanrio-kitty · 2 years
Link
0 notes
anastasiawarren1 · 3 years
Text
คาสิโน ที่จ่ายจริง มั่งมีด้วยไฮโล อเมริกาเกี่ยวเนื่องอะไรกับคาสิโน
คาสิโน ที่จ่ายจริง มั่งมีด้วยไฮโล อเมริกาเกี่ยวเนื่องอะไรกับคาสิโน
คาสิโน ที่จ่ายจริง ชนเผ่า ในไม่นนิโซตาเป็นเยี่ยมในชนเผ่าที่มั่งคั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกาด้วยคาสิโนที่ก้าวหน้าสองที่ บันทึกของศาลกล่าวว่าผู้สูงอายุแต่ละคนในเผ่ามีรายได้ 84,000 เหรียญต่อเดือนเพิ่มเป็นรายได้ส่วนตัวที่หล่อกว่าล้านเหรียญต่อปี ในปี 2012 ชนเผ่า
บริจาคเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อผลตอบแทนของชนเผ่าประจำถิ่นอเมริกันอื่นๆรวมทั้งรัฐบาล คาสิโน ที่จ่ายจริง ท้องถิ่นหกที่ ชีวิตของชนเผ่าดาโกต้าไม่ได้เจริญเสมออย่างไรก็ตาม พวกเขาเกิดเหตุยาจกไปสู่ความมั่งคั่งประวัติศาสตร์ชนเผ่าดาโกต้าทางสู่การสำเร็จของชนเผ่า เริ่มขึ้นเมื่อ 200 ปีก่อน แม้ว่าจะมีความรวยตอนนี้ แม้กระนั้นสมาชิกชนเผ่าในตอนสองศตวรรษที่ผ่านมาก็แลเห็นมากกว่าส่วนแบ่งของความซึมเศร้าความลำบากแล้วก็ความท้อใจ เรื่องราวเริ่มในปี 1805 ผู้ตั้งถิ่นฐาน SA Casino ชาวยุโรปแล้วก็ทหารสหรัฐเข้ารุกรานชนพื้นเมืองอเมริกันรวมทั้งอุตสาหะครอบครองดินแดนของตนเองยุค 1800 ทหารสหรัฐแทรกแซงก่อนปี 1805 ดาโกต้าอาศัยอยู่อย่างสงบเงียบแล้วก็พอเพียงในดินแดนไม่นนิโซตา ในปี 1805 ทหารสหรัฐสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่านี้เพื่อมุมานะถือครองดินแดน ในตอน 50 ปีข้างหน้าคนท้องถิ้นพากเพียรร่วมมือกันแม้ว่าจะไม่มีความสุขกับผู้ตั้งบ้านเกิดที่อยากได้เปลี่ยนที่ดินรวมทั้งวิถีชีวิตของพวกเขา1862: ดาโกตัสที่สงบสุขในที่สุดก็กลับมาต่อสู้ในปี 1862 ชนท้องที่ไม่สามารถรับมันได้อีกต่อไป พวกเขาใช้การต่อสู้ทางด้านกายภาพกับชาวอเมริกันเพื่อพยายามปกป้องดินแดนและจากนั้นก็วิถีชีวิตของพวกเขา รัฐบาลสหรัฐตอบโต้ความรุนแรงโดยการสั่งห้ามสมาชิกชนเผ่าออกมาจากไม่นนิโซตา
ส่วนใหญ่หนีไปเนบราสก้ารวมทั้งเซาท์ดาวัวตา แต่มีก็แค่ไม่กี่คนที่ยังคงอยู่ต่อไปการต่อสู้มากขึ้นเรื่อยๆสำหรับผู้ที่เข้าพักในตอนทศวรรษที่ 1890 รัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกายอมรับว่ามีดาโกต้าที่แข็งแกร่งในไม่นนิโซตา ที่ดินนิดเดียวถูกแบ่งส่วนให้กับชนเผ่า
แต่การดำรงอยู่ยังคงทุกข์ยากลำบาก ในอีก 100 ปีข้างหน้าดาโกต้า
ที่ไม่นนิโซตาอาศัยอยู่ในความยากจนและดิ้นรนเพื่อได้มาซึ่งสิ่งที่จำเป็นของพวกเขา1969 ได้รับการยอมจำนนรับจากรัฐบาลกลางว่าเป็นชนเผ่าในปี 1969 ในที่สุด ก็ได้รับการยินยอมพร้อมใจรับจากรัฐบาลตรงกลางสหรัฐว่าเป็นชนเผ่า
การผลักดันและสนับสนุนรวมถึงการระดมทุนจากรัฐบาลตรงกลางทำให้พวกเขามีเงินทุน คาสิโน รวมทุกเกมพนัน ในการพัฒนาองค์ประกอบเบื้องต้นด้านเศรษฐกิจแล้วหลังจากนั้นก็สังคม นี่เป็นจุดเริ่มต้นของ การปรับแก้แม้คนเป็นจำนวนมากมายยังคงดิ้นรนอยู่เวลานี้1980-1990 คาสิโนเปิด Prosperity Knocks ในตอนทศวรรษที่ 1980 ในที่สุดความเจริญรุ่งเรืองก็มาเคาะประตูร้านรวงชาโกปี ชนเผ่าได้เปิดLittle Six Bingo Palaceซึ่งเป็นความหมั่นเพียรครั้งแรกของพวกเขาในอุตสาหกรรมการพนัน ในปี 1992 คาสิโน Mystic Lake ได้เปิดประตูและปูทางสู่ความยั่งยืนและความมั่งมีของชนเผ่า ในปี 2550 Little Six Bingo Place เดิมได้แปลงเป็น Little Six Casino ซึ่งเป็นหน่อของ Mystic Lake Casino การบรรลุจุดประสงค์ของเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับช่วยในด้านสำหรับอำนวยความสะดวกกลุ่มนี้ทำให้ความเลื่องลือของการจอง Shakopee
กลายเป็นคาสิโนเมกกะที่รุ่งเรืองในเขตเซนต์พอล / ไม่นนีแอโพลิส2013 เผ่าคนมั่งมีในปี 2013 สมาชิกที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนของชนเผ่าเล็กๆในไม่นนิโซตาเป็นคนรวยโชคดีของพวกเขาในอีกหลายปีข้างหน้า
เรื่องราวของชาโกปีเป็นตัวอย่างที่สุดยอดว่าอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
การพนันสามารถกระตุ้นการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและอุดหนุนสุขภาพทางการเงินในพื้นที่ยากจนก่อนหน้านี้ได้อย่างไรความเอื้ออาทรของชาโกปีแม้ว่าจะมีอดีตสมัยที่วุ่นวายซึ่งเป็นจำนวนมากมีต้นเหตุที่เกิดจากการรบกวนของผู้อื่น
แม้กระนั้น Shakopee ยังคงเป็นชนเผ่าที่มีความเมตตากรุณาและจากนั้นก็มีจิตบุญกุศล ตั้งแต่ปีพ. ศ.จ. 2539 พวกเขาได้มอบเงินแก่ชนเผ่าอื่นๆที่มุ่งมาดปรารถนาความช่วยเหลือไปแล้วกว่า 500 ล้านดอลลาร์ ในปี 2012 มีการบริจาคเงินสมทบกว่า 15 ล้านดอลลาร์ให้กับเพื่อนร่วมเผ่า ยิ่งกว่านั้นชนเผ่ายังมอบเงินจำนวน 900,000 ดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือรัฐบาลท้องถิ่นที่ไม่ใช่ชนเผ่าอีก 6 ที่ พระคุณนี้บ่งถึงถึงการปลูกฝังลึกราคาชาโกปีของการใช้ทรัพยากรร่วมกันกับคนอื่นๆคาสิโน Mystic Lake Mystic Lake Casino เป็นสถานที่เล่นการพนันที่ใหญ่ที่สุดของ Shakopee มันตั้งอยู่ข้าง Mystic Lake ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่มนุษย์ทำขึ้นใน Prior Lake, Minn ถึงสถานที่ที่นี้จะเปิดให้บริการในปี 1992 แต่ก็ไม่ได้เริ่มให้บริการเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์จวบจนกระทั่งปี 2012
แต่ว่าคาสิโนก็ไปถึงเป้าหมายมหาศาลโดยเป็นหลักฐานจากความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ของ Shakopee Mystic Lake Hotel อยู่ชิดกับคาสิโนและมีห้องพัก 17 ชั้น นักพนันเพลินใจกับสล็อตตลอดเวลาแล้วหลังจากนั้นก็กางล็คแจ็คแล้วก็ห้องโถงบิงโก 500 คน
ผู้เข้าพักที่อยากได้พักจากการพนันสามารถมองการแสดงที่สถานที่จัดงาน 2,100 ที่นั่ง
ของ Mystic Lake ทุเลาที่สปาของโรงแรมหรือออกแรงในศูนย์ออกกำลังกาย มีร้านอาหารแปดที่ในสไตล์แล้วหลังจากนั้นก็ราคาที่แตกต่างเพื่อความสุขในการรับประทานอาหารของลูกค้า อพาร์เม้นท์รักษาเกียรติในด้านหอที่สะอาดรวมทั้งบริการที่ยอดเยี่ยมการแสดง Mystic Lake มีดนตรีรวมถึงการแสดงดนตรีขำขันที่ยั่วยวนใจผู้ชมทุกวัย ฟีเจอร์ที่เริ่มจะมีขึ้นที่โชว์รูมคาสิโน Mystic Lake ยกตัวอย่างเช่น
นักดนตรีในตำนาน Engelbert Humperdinck และจากนั้นก็ BB King วงร็อคคลาสสิกคนประเทศอื่นแล้วก็ Yes ดาราตลก Lisa Lampanelli แล้วก็นักร้องการ์ตูน “Weird Al” Yankovic มีการแสดงดนตรีฟรีทุกคืนวันเสาร์บนเวทีพรอมมานาดด้วยเหมือนกันคาสิโน Little Six เคยมีชื่อว่า Little Six Bingo Palace ได้รับการตั้งชื่อตามหัวหน้าคนแขกซึ่งเป็นหัวหน้าการจลาจลดาโกต้าในปี 2405 คาสิโนที่นี้ให้บริการสล็อตแล้วก็กางล็คแจ็คดัง Mystic Lake ในเครือเดียวกัน มีร้านอาหารเพียงที่เดียวที่เปิดให้บริการที่ Little Six และลูกค้าที่อยากได้ความบันเทิงจะถูกอ้างถึงตารางการแสดงดนตรี เกมชนเผ่าอื่นๆในไม่นนิโซตาชนเผ่าอเมริกันประจำถิ่นจัดการคาสิโนทั้งหมด 18 ที่ในไม่นนิโซตา คาสิโนกลุ่มนี้บริหารโดยชนเผ่าดาโกต้าโอจิบเว
รวมทั้งชิปเปวา ไม่นนิโซตาอินเดีย Gaming สมาพันธ์ MIGA ประมาณว่าการเล่นการพนันชนเผ่าได้สร้างกว่า 40,000 งานในเมืองกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยทุ่นค่าใช้จ่ายผลตอบแทนรัฐบาลตรงกลางและจากนั้นก็เมืองอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับคาสิโนอเมริกันประจำถิ่น
0 notes
soclaimon · 3 years
Text
เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยว! เยือนศีขรภูมิ ชมเมืองอารยธรรม 5 ชนเผ่า
เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยว! เยือนศีขรภูมิ ชมเมืองอารยธรรม 5 ชนเผ่า
#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า https://www.naewna.com/likesara/619559 วันพฤหัสบดี ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2564, 07.53 น. 2 ธันวาคม  2564 ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสุรินทร์ รายงานว่า การท่องเที่ยวจังหวัดสุรินทร์จัดงานแถลงข่าวเตรียมเปิดเมืองต้อนรับนักท่องเที่ยว ที่บริเวณหน้าปราสาทศีขรภูมิ อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน…
Tumblr media
View On WordPress
0 notes
abudhistworldview · 3 years
Video
youtube
ดิบ ฝน ชนเผ่า EP407 ขึ้นดอยชันเก็บของป่าตามฤดูทำอาหารเลี้ยงเพื่อนต่างชาต...
0 notes
lnwesport2021 · 3 years
Link
ส่องอาชีพ PristonTale ก่อนเล่นจริง เกมส์ต่อสู้แนว MMORPG
MMORPG แนวเกมส์ต่อสู้ของเกม PristonTale ซึ่งเป็นเรื่องราวการต่อสู้ของ 2 ชนเผ่า Morion เผ่าที่ยึดถือ และเชื่อมั่นในโลกของพลังวิญญาน และเวทย์มนต์
0 notes
ronabenz · 4 years
Photo
Tumblr media
#master #Lanna #traditional #tattoo อ.ลัดดา และ อ.ลัดแบะ ชนเผ่า กาปากะยอ #คิดถึง #ความทรงจำ #สวยงาม ขอขอบคุณ พี่อ็อตที่ถ่ายทอด ความรู้ อีกต่อหนึ่ง (ที่ Oddy Tattoo Lanna) https://www.instagram.com/p/CKxH_VtAquX/?igshid=1l63cegsktknb
0 notes