#ความไม่เที่ยง
Explore tagged Tumblr posts
Text
"ขันติ ที่ใดมีความอดทนที่นั้นย่อมงดงาม" วิสัชนาธรรม ครั้งที่ ๑๖๖ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต การพิจารณาปัญญาหลังจากออกจากสมาธิ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต @วัดญาณฯ ชลบุรี ประเทศไทย วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ ๙๙๙ หมู่ ๑๑ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง ชลบุรี ๒๐๑๕๐, โทร. ๐๘๑ ๕๘๖ ๐๑๘๘
30:08] กันอยู่เรื่อย ๆคุณบุญรัตน์ครับขอทราบว่าเมื่อออกจาก สมาธิแล้วให้พิจารณาปัญญาคือพิจารณาอย่าง ไรครับ
คือปัญญาให้เราพิจารณาสิ่งที่เรา เกี่ยวข้องด้วยเช่นทรัพย์สมบัติเข้าของ เงินทองถ้าเรายังมีความผูกพันอยู่กับกับ สิ่งใด
ให้พิจารณาสิ่งนั้นก่อนเราผูกพัน กับทรัพย์สมบัติลาภยุสรรเสริญแล้วก็ต้อง พิจารณาว่ามันเป็นตายรักมันเป็นของไม่
เที่ยงมันมีเจริญมีเสื่อมเราห้ามมันไม่ ได้เวลามันจะเสื่อมเวลามันจะจากเราไปนี้ 30:44 เราห้ามมันไม่ได้สอนให้ใจเตรียมตัวรกับ เหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้คือการพลัด พราจากกันนะจากของที่เรารักว่า
ของที่เรา รักมันเป็นไตรรักษณ์มันเป็นอนิจจังไม่ เที่ยบมันจะทำให้เรา��ุกข์ถ้าเราไปอยากให้ มันเที่ยงเวลาอยากจะให้
มันอยู่กับเราแล้ว เวลามันไม่อยู่กับเรามันก็จะทำให้เรา ทุกข์ได้ั้นต้องยอมนับเวลามันอยู่ก็อยู่ ไปเวลามันจะไปก็ปล่อย
มันไปห้ามมันไม่ได้ มันเป็น อนัตตานี่คือการพิจารณาตายรักกับสิ่งต่าง ๆที่เราวันวันหนึ่งอาจจะต้องมีการพัดท่า จาก
กันไปถ้าเรายังยึดยังติดยังรักยังหง ยังห่วงอยู่เราก็ต้องพิจารณาสิ่ง นั้นจสวขั้นแรกก็พิจารณาของนอบกายก่อนนอบ 31:32 ยศสรรเสริญแล้วพิจารณาคนที่ใกล้ที่เรารัก เราชอบสามีเราภรรยาเราบุตรธิดาของเราบิดา มารดาของเราเป็นต้นคนที่
เรารัดเราหวงเรา ห่วงอาจจะตายจากเราไปเมื่อไหร่ก็ได้จะ เป็นอะไรไปขึ้นมาก็ได้พิกลพิการขึ้นมาก็ ได้มันมีอะไร
เหตุการณ์ต่างๆที่อาจจะเกิด ขึ้นได้ที่เราจะต้องทำใจเวลาเกิดขึ้นมัน จะไม่เดือดร้อนถ้าเรารู้ก่อนว่าสิ่งนี้ เป็นเรื่อง
ธรรมดาที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับ ทุกคนกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเกี่ยวข้อง ด้วยพอเราปล่อยวางของภายนอกได้แล้วเราก็ มา
ปล่อยวางของที่ใกล้ตัวเราที่สุดก็คือ ร่างกายของเราเราก็ยังรักยังหวงร่างกาย อยู่เราก็พิจารณาว่ามันก็เป็นไตรนัก 32:19 เหมือนกันมันก็ต้องมีการเกิดมีการดับแล้ว ก็พิจารณาเวทนาความรู้สึกที่เกิดขึ้นจาก ร่างกายมันก็มีทั้งสุขมีทั้งทุกข์มีทั้ง
ไม่สุขไม่ทุกข์เราก็ไปควบคุมบังคับมันไม่ ได้เวลาร่างกายจะเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ ห้ามมันไม่ได้แต่เราสามารถสอนใจ
ไม่ให้ ทุกข์กับมันได้้วการยอมรับปล่อยวางอย่าไป อยากให้มันไม่เกิดเวลาเกิดก็ต้องยอมรับ อย่าไปอยากให้มันหาย
เมื่อมันยังไม่หาย เดี๋ยวมันก็หายเองมันเป็นอนิจจังไม่ช้าก็ เรือมันก็ต้อง หายหายเป็นือหายตายมันต้องหายอย่างใด อย่าง
ครับตายก็หายเหมือนกันนะครับใช่คือการ พิจารณาปัญญาในเรื่องต่างๆที่เรายังมี 33:08 ความทุกข์มีความกังวลอยู่ครับพิจารณาถ้า เราไม่กังวลไม่ทุกข์กับมันแล้วอะไรจะเกิด ขึ้นกับเขาก็เรายอมรับได้หมด
เพราะมันเป็น อนัตตามันไม่ได้เป็นเขาที่อยู่ภายใต้การ ควบคุมบังคับของใคร
#พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต#วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร#ชลบุรี#ความไม่เที่ยง#ปล่อยวาง#การพิจารณาปัญญาหลังจากสมาธิ
0 notes
Text
การเจริญสติในชีวิตประจำวัน :: หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช 24 พ.ย. 2567 วัดสวนสันติธรรม Summary
หลวงพ่อเทศนาธรรมะเน้นเรื่องการเจริญสติในชีวิตประจำวัน โดยยกตัวอย่างการอ่านจิตตนเองตามคำสอนของหลวงปู่ดุลย์ ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติ การฝึกสติไม่ใช่การกดข่มหรือเพ่งจิต แต่คือการรู้เท่าทันความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ ไม่ว่าสุข ทุกข์ กุศล อกุศล โดยยกตัวอย่างสถานการณ์ต่างๆ เช่น การถูกปาดหน้ารถ การเห็นผู้หญิงสวย การขายผักในตลาด เพื่อให้เข้าใจว่าการเจริญสติสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา หลวงพ่อเน้นว่าการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือการฝึกจิตให้รู้เท่าทันไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา พร้อมทั้งอธิบายถึงหลักธรรมต่างๆ เช่น อนุปุพพิกถา อริยสัจ 4 อริยมรรค 8 และวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง โดยเปรียบเทียบกับการปฏิบัติที่ผิด คือ กามสุขิกนุโยค และอัตตกิลมถานุโยค ท่านยังตอบคำถามเกี่ยวกับพระวินัยในสมัยพุทธกาล และอธิบายความสำคัญของการมีศีล 5 และการมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง สุดท้ายท่านให้พรแก่ผู้ฟังทุกคน
หลวงพ่อแนะนำการปฏิบัติธรรมแก่ลูกศิษย์หลายคน โดยแต่ละคนมีรูปแบบการปฏิบัติที่แตกต่างกัน เช่น เดินจงกรม นั่งสมาธิ สวดมนต์ ดูลมหายใจ และดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย หลวงพ่อเน้นย้ำเรื่องสติ การรู้ทันจิต ไม่บังคับ��ิต และการเจริญปัญญาควบคู่กับสมาธิ บางคนยังติดสมาธิ เพ่งมากไป หรือจงใจปฏิบัติจนจิตไม่เป็นธรรมชาติ หลวงพ่อแนะนำให้คลายออก ดูการทำงานของจิตใจ และใช้ร่างกายเป็นเครื่องอยู่ บางคนมีปัญหาเรื่องจิตออกนอก หลงนาน หรือสติไม่ต่อเนื่อง หลวงพ่อให้คำแนะนำในการปฏิบัติต่อ โดยให้เลือกกรรมฐานที่ถนัด และฝึกสติในชีวิตประจำวัน โดยรวมแล้วหลวงพ่อชี้แนะให้ทุกคนพัฒนาการปฏิบัติธรรมไปในแนวทางที่ถูกต้อง และไม่ยึดติดกับความสงบจากสมาธิเพียงอย่างเดียว แต่ให้เจริญปัญญาควบคู่กันไปด้วย
bullet
ธรรมะเป็นของร่มเย็น ควรสนใจศึกษาปฏิบัติอย่างจริงจัง เพราะเวลาชีวิตมีน้อย ครูบาอาจารย์ก็ร่อยหรอลงทุกที
การเจริญสติในชีวิตประจำวันเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติ หลวงปู่มั่นเคยสอนหลวงพ่อแม่ชีท่านไว้
การเจริญสติในชีวิตประจำวัน คือการอ่านจิตตนเอง ให้รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงทางใจเมื่ออายตนะกระทบอารมณ์
ไม่ใช่การเพ่งกดข่มจิตใจ แต่คือการรู้ไปตามที่ใจเป็น
การอ่านจิตตนเองไม่ยาก เพียงแต่เราไม่เคยชิน หากฝึกฝนจนชำนาญก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ธรรมะเกิดที่จิต มรรคผลก็เกิดที่จิต การรักษาจิต ดูแลจิต จะทำให้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง
ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ต้องตามดูไปเรื่อยๆ อย่าไปยึดติด ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ มีเพียงพระนิพพานเท่านั้นที่พ้นไป
หัวใจของการปฏิบัติคือการมีสติในชีวิตประจำวัน ต้องหมั่นฝึกหัดอ่านใจตนเอง
การทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป คือการรู้เห็นอารมณ์ต่างๆ ทางใจอย่างไม่เลือก ไม่ใช่การเพ่งจ้องหรือบังคับจิต
การภาวนาต้องอดทนให้ถูกทาง อย่าหลงตามกิเลส หรือทำตนเองให้ลำบาก
ธรรมะเป็นของสูง เป็นของร่มเย็น ไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาทะเลาะเบาะแว้งกัน
พระพุทธเจ้าในยุคก่อนๆ บางพระองค์ก็บัญญัติวินัย บางพระองค์ก็ไม่ได้บัญญัติ ขึ้นอยู่กับสภาพของคนในยุคนั้นๆ
พระโลสกะต้องเผชิญวิบากกรรม ต้องถือวินัยอย่างเคร่งครัด แตกต่างจากกรณีของหลวงตาพัน ซึ่งเป็นเรื่องที่โลกติเตียน
การจะพบพระศรีอริยะ ต้องมีศีล 5 เป็นอย่างน้อย ถือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
อนุปุพพิกถา คือธรรมเบื้องต้น ประกอบด้วย ทาน ศีล เนกขัมมะ สวรรค์ และโทษของกาม
พระพุทธเจ้าจะแสดงอนุปุพพิกถาก่อนแสดงอริยสัจ 4 เพื่อให้ผู้ฟังมีความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเสียก่อน
หัวใจของอริยมรรค 8 คือ สัมมาทิฏฐิ หากเห็นถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ก็จะได้ความปลอดภัย
��รรคผลไม่ใช่เรื่องไกล หากหมั่นเจริญสติในชีวิตประจำวัน
อย่าประมาทในการปฏิบัติ แม้เพียงช่องโหว่เล็กน้อย กิเลสก็สามารถแทรกเข้ามาได้
การให้ทานย่อมได้บุญ หากสงสัยว่าบุญอยู่ที่ไหน ให้อ่านพระไตรปิฎก
หลวงพ่อให้คำแนะนำลูกศิษย์ 8 คน เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม ดังนี้
เบอร์ 1: เน้นการเดินจงกรมเช้าเย็น แต่ยังเกร็งและจิตออกนอก หลวงพ่อแนะนำให้มีสติรู้ทันจิตที่ออกนอก และให้ฝึกหายใจธรรมดาเพื่อให้จิตเข้าฐาน
เบอร์ 2: เดินจงกรมวันละ 1 ชั่วโมงครึ่ง ยังหลงอยู่บ้าง แต่เห็นการเกิดดับ หลวงพ่อให้กำลังใจให้ทำต่อไป
เบอร์ 3: นั่งสมาธิทุกวัน 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง อยากพ้นทุกข์จนจิตทนไม่ไหว หลวงพ่อแนะนำให้รู้ทันจิตที่ไหลออกนอก เมื่อมีสติรู้สภาวะ จิตจะเข้าฐานเอง
เบอร์ 4: สวดมนต์ นั่งสมาธิ 15 นาที เดินจงกรม 30-45 นาที ใช้พุทโธเป็นเครื่องอยู่ ยังหลงอยู่บ้าง หลวงพ่อแนะนำให้ใช้กรรมฐานที่ถนัด ถ้าจิตอยู่ในอารมณ์เดียวอย่างต่อเนื่องโดยไม่บังคับ สมาธิก็จะเกิด
เบอร์ 5: เดินจงกรมและนั่งสมาธิวันละ 1-2 ชั่วโมง ชอบบังคับแทรกแซง เห็นว่าโลกไม่มีอะไรให้น่า ยึด หลวงพ่อชมว่าฝึกได้ดี แต่การเห็นว่าโลกไม่น่ายึดยังไม่จริง ยังแอบยึดอยู่ ต้องเรียนรู้จนเห็นทุกข์ถ่องแท้
เบอร์ 6: นั่งสมาธิวันละ 1 ชั่วโมง ใจอยู่กับลมหายใจ ชอบความสงบ หลวงพ่อบอกว่าสมาธิดีแล้ว แต่ต้องเจริญปัญญาด้วย การเจริญปัญญาจะไม่สงบเหมือนทำสมาธิ จิตจะทำงานคล้ายฟุ้งซ่านแต่มีสติกำกับ ให้เดินปัญญาในสมาธิ และรู้ทันจิตที่ไหลไปที่อารมณ์กรรมฐาน
เบอร์ 7: ดูการเคลื่อนไหว ชอบนั่งสมาธิแต่กลัวติด สติยังไม่ต่อเนื่อง หลวงพ่อบอกว่าการดูการเคลื่อนไหวที่ทำอยู่ถูกต้องแล้ว ให้ทำต่อไป
เบอร์ 8: สวดมนต์ครึ่งชั่วโมง นั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง ดูร่างกายหายใจ จิตเกิดความสว่าง จิตโกรธก็รู้ หลงก็รู้ อยากก็รู้ บางครั้งก็ลืมตัว หลวงพ่อบอกว่ายังชินกับการบังคับจิตให้นิ่ง อย่าพยายามทำให้นิ่ง ให้รู้ทันความแน่นที่เกิดจากการจงใจ ให้ทำสมาธิไป สงบหรือไม่สงบก็ทำไป เมื่อออกจากสมาธิให้พิจารณาร่างกายเป็นอสุภะ
#พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช#วัดสวนสันติธรรม#ปราโมทย์#ปาโมชฺโช#ชลบุรี#อำเภอศรีราชา#ท่านพระอาจารย์ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช#การเจริญสติในชีวิตประจำวัน#เดินจงกรม#นั่งสมาธิ#สวดมนต์#ดูลมหายใจ#ดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย
0 notes
Video
youtube
4 ประการที่พระพุทธเจ้าทำไม่ได้ แม้พระพุทธเจ้าจะทรงมีปัญญาและความเมตตายิ่งใหญ่ แต่ก็ยังมีสิ่งที่พระองค์ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากกฎของธรรมชาตินั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ต้องปฏิบัติตามกฎเหล่านี้ ต่อไปนี้เป็น 4 ประการที่พระพุทธเจ้าทำไม่ได้:1. ป้องกันไม่ให้ทุกสิ่งเป็นไปตามกรรมพระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องกฎแห่งกรรม ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลจากการกระทำในอดีต การกระทำของเราเป็นตัวกำหนดอนาคต แม้พระพุทธเจ้าจะมีพระเมตตาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลกรรมของผู้อื่นได้ เพราะทุกสิ่งต้องเป็นไปตามผลของกรรมที่เราสร้างไว้#กฎแห่งกรรม #กรรมและผลกรรม2. ทำให้ผู้มีชีวิตรอดพ้นจากความตายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมต้องดับไป ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ซึ่งเป็นธรรมดาของการเกิด การแก่ และการตาย พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ยอมรับธรรมชาติของการเกิดแก่เจ็บตาย แต่ไม่สามารถทำให้ใครหลีกหนีจากการตายได้#ความตาย #เกิดแก่เจ็บตาย3. ทำให้สิ่งที่ไม่เที่ยงกลายเป็นเที่ยงแท้ถาวรพระพุทธเจ้าทรงสอนว่าทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง หรือไม่เที่ยงแท้ ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา ไม่มีสิ่งใดที่คงอยู่ตลอดไป พระองค์จึงไม่สามารถทำให้สิ่งที่ไม่เที่ยงกลายเป็นเที่ยงได้#อนิจจัง #ความไม่เที่ยง4. ชี้นำให้ทุกคนเห็นธรรมได้ทันทีแม้พระพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมเพื่อชี้นำหนทางแห่งการหลุดพ้น แต่การเข้าใจธรรมเป็นกระบวนการส่วนบุคคล ต้องอาศัยการปฏิบัติและการพิจารณาด้วยตนเอง พระพุทธเจ้าไม่สามารถทำให้ทุกคนเห็นธรรมได้ทันที เพราะการตระหนักรู้ต้องมาจากภายในของแต่ละคน#การเห็นธรรม #การปฏิบัติข้อจำกัดเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงของโลกและสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงเข้าใจและยอมรับว่าธรรมชาติและกฎของจักรวาลนั้นมีอำนาจเหนือกว่า ซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
0 notes
Text
ลักษณะการแสดงธรรมของหลวงปู่
มีความคล่องแคล่ว ว่องไว ในการแสดงธรรมและตอบปัญหา โดยตอบปัญหาได้รวดเร็ว ตรงประเด็น มีการยกตัวอย่างเปรียบเทียบเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจอย่างชัดเจน ตอบปัญหาได้เร็วเช่นพอคนถามปัญหาจบหรือยังไม่ทันจบคำถามดี หล���งปู่ก็ตอบสวนออกไปได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้น กิริยา ท่าทาง น้ำเสียงที่แสดงธรรม เสียงดังฟังชัด ถึงคราวดุก็ดุ ถึงคราวอ่อ���โยนก็อ่อนโยน ถึงคราวโศกเศร้าก็แสดงท่าโศกเศร้าออกมา ถึงคราวรุนแรงก็รุนแรง
หรือถึงคราวแสดงอารมณ์โกรธ เพื่อให้ผู้ที่มีปัญหารู้แจ้งก็แสดงท่าทางออกมาอย่างรุนแรง เช่น ตอนแก้อารมณ์ให้พระสงฆ์ที่หลงผิดคิดว่าตัวเองบรรลุธรรมขั้นอริยะ หลวงปู่ถึงกับโยนบาตรกระเด็นออกไปจากตัวท่าน แต่พิจารณาแล้วก็เข้าใจว่า ถ้าหลวงปู่ไม่ทำรุนแรงขนาดนั้น พระสงฆ์องค์นั้นก็คงจะไม่เลิกหลงผิด
สาระธรรมคำสอน (บางส่วน)
เรื่องการทำบุญและโอนบุญทันทีที่ของหลุดมือให้สัตว์ในโลกทิพย์ หลวงปู่เป็นปฐมอาจารย์องค์แรกที่บุกเบิกสอนวิธีการแบบนี้ในยุดหลังปี 2500เรื่องการเบิกบุญจากสวรรค์มาจ่ายให้สัตว์ในโลกทิพย์ เรื่องเทวดาที่อยู่ใกล้มนุษย์นั้น เป็นผู้มารับใช้มนุษย์ ไม่ใช่มาเป็นเจ้านายมนุษย์ หลวงปู่เป็นปฐมอาจารย์ที่สอนเช่นนี้ เป็นการหักล้างความเชื่อดั้งเดิมของมนุษย์ที่ว่า เทวดาเป็นเจ้านายเหนือมนุษย์ แต่หลวงปู่สอนว่า เทวดาที่อยู่ใกล้มนุษย์เจ้ามารับจ้างทำงานเอาบุญจากมนุษย์ และคอยช่วยเหลือมนุษย์ทุกอย่าง เพราะเทวดาผู้ใหญ่บนสวรรค์สั่งการมาให้ทำเช่นนั้น ส่วนเทวดาบนสวรรค์ชั้นสูงนั้นเขาเป็นเหมือนเศรษฐี เขาไม่มารับจ้างมนุษย์หรอก แต่พวกเขาจะคอยช่วยเหลือพระอริยสงฆ์ หรือพระโพธิสัตว์ผู้มีบารมี ในการทำสิ่งต่างๆ พวกเขาจะได้บุญมากกว่าการมาช่วยเหลือมนุษย์ธรรมดาเรื่องการห้ามสวดมนต์ ถ้าไม่รู้จักใช้ เพราะบทสวดมนต์จะไปเบียดเบียนสัตว์ในโลกทิพย์ที่ยังมีภูมิต่ำ เช่น เปรต ผี ปีศาจ การสวดมนต์เป็นการสวดให้จำได้ แล้วนำไปปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ได้สวดเอาขลัง ไม่ได้สวดไว้ข่มขู่ บังคับ สัตว์ในโลกทิพย์ให้มาสนองตัณหาของผู้สวดเรื่องการห้ามพระสงฆ์ทำน้ำมนต์ เพราะน้ำมนต์เป็นเหมือนน้ำกรดที่จะไปทำร้ายเปรต ผี ปีศาจ ให้ได้รับอันตราย แล้วพวกเขาก็จะโกรธแค้นพระสงฆ์ และมนุษย์ผู้ใช้น้ำมนต์ไปรดราดไว้บริเวณต่างๆ อีกประการหนึ่ง ในพระพุทธศาสนามีบทสวดมนต์ให้แผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลาย คำว่าสัตว์ทั้งหลายน่าจะรวมทั้งสัตว์ในโลกมนุษย์ที่มองเห็นด้วยตาเนื้อ และสัตว์ในโลกทิพย์ที่มองเห็นด้วยตาทิพย์ ดังนั้นพระสงฆ์องค์ใดที่ยังทำน้ำมนต์อยู่ ก็ได้ชื่อว่า โกหกต่อพระพุทธเจ้า เพราะบวชแล้วไม่ทำตามคำสอนของพระพุทธองค์ แล้วจะยังจะมาสวดมนต์บทแผ่เมตตาทำไมอยู่อีก น้ำมนต์นั้นพวกเทวดาชอบ แต่พวกเปรต ผี ปีศาจ เขาไม่ชอบ จึงไม่ควรทำอีกต่อไปเรื่องวิมานของพระอรหันต์ที่มีอยู่สวรรค์ และพรหมจะหายหมด และบุญของพระอรหันต์ที่เคยสร้างไว้ จะมาตอบแทนท่านบนโลกมนุษย์อย่างรวดเร็ว เมื่อพระอรหันต์ต้องการโอนบุญให้สัตว์ในโลกทิพย์ ย่อมมีอานุภาพเกิดผลอย่างรวดเร็วเรื่องการดับไม่เหลือ แม้ภาวนาแล้วมองเห็นดวงจิตสว่างอยู่ก็ต้องทำลายดวงจิตให้สลายไป โดยการมองย้อนคืนเข้าหาผู้ที่ไปเห็นไปรู้สิ่งต่างๆนั้น จนดวงจิตนั้นสลายตัวไปหมด ไม่เหลืออะไร ไม่มีอะไรให้ยึดติด สภาวะนั้นก็ไม่มีชื่อเรียกว่าอะไรอีกแล้ว หมดคำพูดที่จะเรียกว่าเป็นอะไรเรื่องสัตว์ในโลกทิพย์มี ขันธ์ 4 (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) กายทิพย์ และจิต แต่ขณะที่มนุษย์ยังไม่ตายจะมีขันธ์ 5 (รูปกาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)เรื่องการพิจารณากายในกาย คือ การพิจารณากายส่วนหนึ่งในกายทั้งหมด เช่น พิจารณาผม ก็พิจารณาผมอย่างเดียว เป็นกายส่วนหนึ่งของกายทั้งหมด ไม่ใช่ไปกำหนดเพ่งกายทิพย์ เหมือนที่บางสำนักสอนกัน เพราะการเพ่งกายทิพย์ ไม่ใช่การพิจารณากายในกายเรื่องการพิจารณาเวทนาในเวทนา คือ การพิจารณาอารมณ์สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นในจิตในแต่ละขณะเวลา ให้รู้แจ้ง เพราะเวทนาทั้ง 3 นั้น ไม่ได้เกิดพร้อมกันในเวลาขณะเดียวกัน เกิดได้ทีละ 1 เวทนา
เรื่องการพิจารณาจิตในจิต คือ การพิจารณาจิตขณะใดขณะหนึ่ง เช่น ขณะจิตโกรธ หลวงปู่ให้คิดเรียกเอาความโกรธที่เคยเกิดกับผู้พิจารณาในอดีตมารวมกันที่ใจมากๆ เช่น คนนนั้นเคยด่าเรา คนโน้นเคยตีเรา คนโน้นโน้นเคยโกงเรา คนโน้นโน้นโน้นเคยทำร้ายเรา ให้เอาความโกรธมารวมกันที่จิตมากๆ แล้วพิจารณาดูว่าเป็นอย่างไร ถ้ารู้ชัดเห็นชัดในอาการของความโกรธ มันจะปล่อยวางเอง ไม่ย้อนกลับมาโกรธอีก ถ้าเห็นไม่ชัดรู้ไม่ชัด มันจะย้อนมาอีกเรื่องการพิจารณาธรรมในธรรม คือ การพิจารณาไตรลักษณ์ (ลักษณะความจริง 3 ประการ) ได้แก่ อนิจจัง (ความไม่เที่ยง) ทุกขัง(ความทนไม่ได้) อนัตตา (ความไม่มีตัวตน) เช่น หลวงปู่ยกตัวอย่างการพิจารณาเส้นผม หลวงปู่ให้พิจารณาเส้นผมตั้งแต่อดีตของตัวผู้พิจารณาว่าเป็นอย่างไร มีสีอะไร ตั้งอยู่ที่ไหน แล้วคำนวนไปในอนาคตว่า เส้นผมนี้จะเป็นอย่างไร มีสีอะไร ตั้งอยู่ที่ไหน แล้วคำนวนต่อว่า ถ้าผู้พิจารณาตายลง เส้นผมจะเป็นอย่างไร คิดคำนวนพิจารณาให้มันเห็นชัด รู้ชัด ก็จะเข้าใจ ถึงไตรลักษณ์ แล้วจะเกิดอาการเบื่อหน่ายในเส้นผม แล้วปล่อยวาง ไม่ยึดติดต่อไป ขอย้ำว่า ต้องพิจารณาเส้นผมบนหัวเราเอง ไม่ใช่บนหัวคนอื่น มันจึงจะเกิดความเบื่อหน่าย และปล่อยวางได้อย่างแท้จริง เพราะถ้าไปพิจารณาเส้นผมของคนอื่น เช่น นางแบบ นายแบบที่มีรูปร่างสวยๆ หล่อๆ มันก็ยากที่จะปล่อยวางได้ และมีโอกาสหลงยึดติดได้สูง
เรื่องสัตว์ในโลกทิพย์ต้องการบุญมาก บุญจะทำให้พวกเขาอยู่ได้สบาย ถ้าไม่มีบุญพวกเขาจะลำบากมาก มนุษย์ควรอุทิศบุญให้พวกเขามากๆ ทั้งพวกที่เป็นญาติและพวกนายเวร เมื่อพวกเขามีพลังบุญมาก เขาจะสามารถช่วยเหลือมนุษย์ที่โอนบุญไปให้เขาได้มีความสุขความเจริญเรื่องการขาดศีล จะทำให้เจริญ���าวนาไม่ขึ้น ไม่เกิดผล ผู้ภาวนาที่เป็นฆราวาสต้องมีศีลบริสุทธิ์อย่างน้อย 5 ข้อขึ้นไป ถ้าเป็นพระสงฆ์ก็ต้องรักษาศีล 227 ข้อ และต้องถือศีลบริสุทธิ์ไปตลอดชีวิตจึงจะภาวนาเกิดผล และถือศีลให้บริสุทธิ์อย่างต่อเนื่องนานหลายอสงไขยกัปป์ จึงจะเจริญภาวนาไปได้เร็ว สำหรับผู้เจริญภาวนาแล้ว ไม่เห็นมีปรากฏการณ์ทางจิตใดใดเกิดขึ้นเลย ก็ควรเคร่งครัดรักษาศีลให้มั่นคงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แล้วสังเกตผลการเจริญภาวนาต่อไปว่าจะดีขึ้นหรือไม่เรื่องเวลาในโลกทิพย์ยาวนานมากกว่าเวลาในโลกมนุษย์มาก เช่น สวรรค์ชั้นจาตุม 1 วัน เท่ากับ 50 ปีของโลกมนุษย์ นรกชั้นสัญชีวนรก 1 วันเท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์ ดังนั้นถ้าเสวยสุขบนสวรรค์ก็นานแสนนาน ถ้าเสวยบาปในนรกก็นานแสนนาน นานจนน่ากลัวมาก จนไม่อาจคำนวนได้ว่าจะได้กลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีกเมื่อไหร่เรื่องการทำกรรมฐาน ถ้าพิจารณาผม ก็ให้พิจารณาผมอย่างเดียวอย่างต่อเนื่อง ไปจนตลอดชีวิต ไม่ต้องย้ายไปพิจารณาอันอื่น จึงจะเรียกว่าทำกรรมฐาน แล้วจึงจะเกิดผลเร็ว ถ้าย้ายไปพิจารณาอย่างอื่นเรื่อยๆเช่น ขน เล็บ ฟัน หนัง ย้ายไปเรื่อย เปลี่ยนไปเรื่อยๆ กลายเป็นทำกรรมฐานย้าย จะไม่เกิดผลสำเร็จเพราะย้ายบ่อย
สาระธรรมคำสอน(ต่อ)
เรื่องการแสดงธ��รมแบบปุจฉา(ถาม) วิสัชณา(ตอบ) หลวงปู่จะตอบปัญหาผู้ถามทีละคน และเสร็จสิ้นเป็นคนๆไป จึงจะให้คนอื่นถามต่อไป ถ้าผู้ถามยังไม่เข้าใจ หลวงปู่จะมีอุปกรณ์ประกอบการสอน เช่น
หลอดไฟฟ้า แสดงการเกิดแสดงบุญที่ตัวคนทำบุญ 3 วินาทีก่อนว๊าบดับแว๊บไปสวรรค์ กระโถนแทนบาตรพระใช้อธิบายเรื่องการใส่บาตรพร้อมการโอนบุญแบบฉับพลันทันที หรือแทนก้อนโลกมนุษย์ ฉลากยาใช้อธิบายว่าเมื่ออ่านฉลากยาเจ้าใจแล้วก็กินยาเลย ไม่ต้องอ่านฉลากอีก เปรียบเหมือนกับการสวดมนต์ ถ้าเราจำได้แล้ว ก็นำปฏิบัติตามเลย ไม่ต้องมามัวสวดมนต์อีก ไฟฉายใช้ส่องให้เกิดแสงเป็นวงกลมบนพัด หลวงปู่สอนให้กำหนดย้อนคืนไปดูที่หลอดไฟฉายที่ส่องแสดงออกมา เปรียบหลอดไฟฉายเหมือนดวงจิตที่เป็นผู้รู้ผู้เห็นสิ่งต่างๆ ถ้าจะดับต้องดับที่จิตหรือหลอดไฟ ไม่ใช่ไปดับที่แสงวงกลม(ภาพนิมิตต่างๆที่เกิดกับผู้ภาวนา)ที่เห็นบนพัด ถ้าสังเกตให้ดี บางครั้งหลวงปู่จะตอบปัญหาแบบแก้อารมณ์ให้ผู้ถามด้วย เช่นมีผู้ถามว่า
ผู้ถาม:
"ผมเป็นคนโทสะจริต จะแก้อย่างไร หลวงปู่" หลวงปู่: "เราไม่เชื่อหรอก เธอโกรธวันละกี่ครั้ง" ผู้ถาม: " วันละ 2-3ครั้ง ครับ หลวงปู่: "โย้ววว.. คนโทสะจริต เขาโกรธวันละอย่างน้อย 100 ครั้ง โน่น ปัดโธ่ - เธอเข้าใจผิด แหม หาว่า โทสะจริต โกรธวันละ 2-3 ครั้ง "
เรื่องการคิดตะโกนดังๆในใจทำให้สามารถโอนส่งบุญไปได้ไกล ถ้าสัตว์ลึกลับอยู่ห่างไกล เช่น ผู้โอนบุญอยู่ประเทศไทย แต่ผู้รับบุญอยู่ที่ประเทศอเมริกา หลวงปู่สอนให้ผู้โอนบุญโดยการคิดตะโกนดังๆในใจ สัญญาณเสียงจะเกิดในโลกทิพย์ดังมาก พร้อมกับบุญก็จะตามสัญญาณเสียงนั้นไปถึงผู้รับบุญในโลกทิพย์อย่างรวดเร็วหลักธรรมะที่หลวงปู่ใช้อ้างอิงเพื่อให้คนที่มีปัญหาชีวิต ให้เร่งโอนบุญมากๆ วันละอย่างน้อย 3000 รอบ จึงจะเห็นผลเร็วสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม หลวงปู่สอนว่า ถ้าไม่แก้ไขโดยการโอนบุญไปให้นายเวรที่แค้นเรา เราก็ต้องยอมรับกรรมที่จะตามสนองอย่างแน่นอน เราจึงควรโอนบุญไปให้นายเวรมากๆ จนกว่าเขาจะพอใจ เขาก็จะยอมให้อภัยเรา กรรมก็จะกลายเป็นอโหสิกรรมไปทุกสิ่งเป็นอนิจจัง(ไม่เที่ยง) เมื่อทุกสิ่งไม่เที่ยง บาปที่เราเคยสร้างไว้กับนายเวร ก็ย่อมแก้ไขได้ ด้วยการโอนบุญไปให้เขาเช่นเดียวกับข้อที่ผ่านมาทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยความเพียร ถ้าเรามีความเพียรในการโอนบุญให้นายเวรวันละอย่างน้อย 3000 รอบขึ้นไป นายเวรย่อมยอมยกโทษให้แน่นอนเรื่องพลังหูแว่ว(หูทิพย์) ตาหลอน(ตาทิพย์) มือเรดาร์ (มือพลังจักรวาล) ตอนแรกที่ดูวีซีดีแสดงธรรมของหลวงปู่ ก็คิดว่าหลวงปู่คงจะแสดงธรรมพระสงฆ์ทั้วไป ที่มีการใช้คารมคมคาย เปรียบเทียบให้ผู้ฟังเพลิดเพลิน สนุกสนานไปชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น แต่มารู้ว่าหลวงปู่ไม่ใช่พระทอล์คโชว์และไม่ใช่พระธรรมดา เมื่อได้ ดูวีซีดีเรื่อง ช่วยผีปอบ เปรต ออกจากโยมอิ๋ว , ผี เจ้า บ้า ทรง 1 - 2 , ช่วยผีออกจากน้องหลิน ( ร่างกายของน้องหลิน มีอาการกระตุกมากเหมือนถูกไฟช็อต หลวงปู่บอกว่าผีเข้าร่างมนุษย์ ทำให้ระบบไฟฟ้าในร่างกายมนุษย์เสีย ) ถ้าเอาคนป่วยประเภทนี้ไปรักษาตามโรงพยาบาลย่อมไม่มีทางหายอย่างแน่นอน
------------------------------------------------------------------
เรื่องการทำบุญและโอนบุญทันที
#พระอาจารย์เกษม อาจิณฺณสีโล#ที่พักสงฆ์ป่าสามแยก#สาระธรรมคำสอน#การแสดงธรรม#เรื่องการทำบุญและโอนบุญทันที
0 notes
Text
เตรียมตัวตายกันได้แล้วทุกคน " ตอนใกล้จะตาย ” มันมีความรู้สึกอย่างไร ? จงอย่าพยายามไม่อยากตาย เพราะยังไง ๆ ก็ต้องตาย ใครรู้ตัวว่าจะต้องตายช่วยกันแชร์ต่อ ถ้าใครมั่นใจว่าไม่ตายก็ไม่ต้องแชร์
อาการของการ “ ตาย ” ที่มีผู้ได้ศึกษามาหรือเคยได้พูดคุยกับคนมีประสบการณ์ใกล้ตาย (near-death experience) นั้นเป็นเช่นไร คุณหัชชา ณ บางช้าง เคยค้นคว้าเรื่องนี้มาเขียนใน “ภาวะหลังตาย” และเล่าว่า “ กระบวนการตาย ” ในระยะต่าง ๆ นั้นมี 4 ขั้นตอนอย่างนี้
๑. ระยะแรก เป็นระยะที่ธาตุดิน เริ่มสลายตัว
กลายเป็นน้ำ ผู้ตายจะรู้สึกอ่อนระโหย
ไม่มีแรง การมองเห็นสิ่งต่าง ๆ เริ่มเสื่อม
มองอะไร ๆ ก็ไม่ชัด ทุกอย่างดูมัว ไปหมด
ทุกอย่างที่เห็น เหมือนมองไปกลางถนน
ขณะ��ดดจัดๆ ภาพต่างๆจะเต้นระยิบระยับ
เต็มไปหมด
๒. ระยะที่ ๒ ธาตุน้ำจะกลายเป็น ไฟ ช่วงนั้น
น้ำในร่างกายเริ่มแห้งลง จะรู้สึก ชา ๆ ตื้อ ๆ
เริ่มหมดความรู้สึก ไล่จากปลายเท้าขึ้นมา
ประสาทหูเริ่มไม่รับรู้คือ เริ่มไม่ได้ยินเสียง
อะไร มองไปทางไหนก็เห็นแต่ หมอกควัน
๓. ระยะที่ ๓ ธาตุไฟเปลี่ยนเป็น ลม
หูจะไม่ได้ยินอะไรอีกเลย เริ่มรู้สึกหนาว
จับใจ ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ หยุดหมด
ลมหายใจอ่อนลงเรื่อย ๆ
จมูกเริ่มไม่รับความรู้สึกเรื่องกลิ่น
๔. ระยะ ๔ ธาตุลมจะเปลี่ยนเป็นอากาศธาตุ
ตอนนี้ เจตสิกทุกอย่าง รวมทั้งการหายใจ
จะหยุดหมดพลังงานทั้งหลายที่เคย
ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายจะไหลกลับคืนไปสู่
ระบบประสาทส่วนกลางหมด ลิ้นแข็ง
ไม่รับรู้เรื่องรสชาดใดๆความรู้สึกสัมผัส
หมดไป ความรู้สึกอยากโน่น อยากนี่ต่าง ๆ
ที่เคยมีก็หมดไป มีความรู้สึกเหมือน
อยู่กับแสงเทียนที่กำลังลุกโพลงอยู่เท่านั้น
ท่านบอกว่าตอนนี้แหละที่แพทย์จะประกาศว่า
ผู้ป่วยในความดูแล “ ถึงแก่กรรม ” แล้ว ( clinical death )
นั่นก็คือจุดที่ “ เวทนา ” ทั้งหมดดับไป สมองและระบบไหลเวียนต่าง ๆ ของร่างกายหยุดทำงานหมด แปลว่ารูปและนาม หรือเบญจขันธ์ ตายไปแล้ว
ก็ต้องถกกันต่อไปว่า ถ้าเราเชื่อว่า วิญญาณยังอยู่ต่อเมื่อร่างกายสลายไป จะไป��ยู่ที่ไหนอย่างไรต่อไป
อ่านเจออีกแหล่งหนึ่งเรื่อง “ลักษณะการตาย” ตามแนวคิดแบบ “ เซน ” ที่คุณ “โชติช่วง นาดอน” เคยรวบรวมไว้ในหนังสือ “ จิตคือพุทธะ ” เมื่อนานมาแล้ว
ท่านบอกว่าคนเราตายได้สองลักษณะ คือ “ ตายอย่างปราศจากที่พึ่ง ” และ
“ ตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่ง ”
คนที่ตายย่างแรกนั้นเวลาใกล้จะสิ้นลม มีอารมณ์ผิดไปจากปกติ จิตใจกลัดกลุ้มยุ่งเหยิง เรียกว่า “ จิตวิการ” ซึ่งหมายถึงจิตเกิดความปวดร้าวทรมานเพราะยัง “ ยึดติด ” กับหลายๆเรื่อง
หรือที่ผมเรียกว่า “ไม่ยอมตายทั้ง ๆ ที่ต้องตาย” นั่นคือจิตใจยังติดข้องกับอุปาทาน ๔ ประการ คือ
๑. ติดอยู่กับทรัพย์สินเงินทอง
๒. ห่วงใยอาลัยในสิ่งที่เป็นรูป และ อรูป
โดยเห็นว่าเป็นของเที่ยง
๓. มีนิวรณ์ความวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน
มาห้ามจิตมิให้บรรลุความดี
๔. มีความดูแคลนเมินเฉยในคุณ��ระรัตนตรัย
เขาบอกว่าคนส่วนใหญ่ตายลักษณะอาการ
อย่างนี้ เรียกว่า “ ตายอย่างอนาถา “
ส่วนการตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่งนั้น
แปลว่า คนใกล้ตายมีสติอารมณ์ผ่องใส
ไม่หวั่นไหว และ ซาบซึ้งในวิธีของมรณกรรม และ ยึดหลัก ๔ ประการคือ
๑. มีอารมณ์เฉย ๆ
ซาบซึ้งถึงกฎธรรมดาแห่งความตาย
๒. ซาบซึ้งถึงสภาพการณ์สิ่งในโลกของ
ความไม่เที่ยง ไม่เป็นแก่นสาร
๓. รำลึกถึงกุศลกรรมที่ได้ผ่านมาในชีวิต
และ เกิดปิติปลาบปลื้ม
๔. ยึดมั่นเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
อยู่ตลอดเวลาจนสิ้นลมหายใจ
ด้วยเหตุนี้แหละ, ผมจึงเห็นว่าการ
“ ฝึกตายก่อนตาย ”ดั่งที่ท่านพุทธทาส หรือ.. หลวงพ่อ หลวงปู่ ครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะ..
หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี ท่านเคยสอนเรานั้น
เป็นเรื่องที่ประเสริฐสุดแล้ว
แต่คนส่วนใหญ่กลัวตาย แม้จะเอ่ยถึงคำว่า ตาย ก็ยังรับไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการ “แช่ง” ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครหนีความตายได้แม้แต่คนเดียว
การเรียนรู้ “ มรณาอุปายะ ” หรือ “ ฝึกตายก่อนตาย ” นั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ทำให้มันสนุกเสีย ให้มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นน่ายินดี ก็จะทำให้ความทุกข์ระหว่างมีชีวิตอยู่นั้น
ลดน้อยถอยลง และ เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไปก็ไม่ตกใจ ไม่ตื่นเต้น ไม่รันทด และ ทรมานเพราะ..
ความกลัว และ ความไม่ต้องการที่จะจากไป
ชาวพุทธที่ฝึกปฏิบัติธรรมในสาระจริง ๆ (ไม่ใช่แค่ทำบุญแล้วนึกว่าจะต้องไปสวรรค์
โดยไม่ต้องปฏิบัติธรรม) ก็จะเข้าใจว่า.. “ ขันธ์ทั้งห้า ” ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีความแน่นอน เปลี่ยนแปลง ทรุดโทรม และท้ายสุดก็แตกดับไป โดยระหว่างที่มรณกาลมาถึงนั้น ขันธ์ห้าก็ย่อมจะแปรปรวน จึงควรจะเตรียมตัว และ เตรียมใจไว้
เมื่อความตายมาถึง, เราก็จะได้ไม่ทุรนทุราย และตายอย่างมีสติ และ “ รู้เท่าทันความตาย ” ซึ่งเป็นสุดยอดของการมีชีวิตอยู่นั่นเอง….
...หมั่นเจริญสติ ภาวนา ให้มาก ๆ ถึงเวลาตายสบายนักแล !!!
ท่านคมสรณ์ ข่าวสารงานพระธรรมทูตอินเดีย
นำมาฝากเตือนสติกันรวมทั้งตนเองด้วย
หมายเหตุ : ถ้าใครมั่นใจว่าไม่ตายไม่ต้องแชร์
*******************
“จิตสุดท้ายก่อนตาย”
โดย .. นพ.สรศักดิ์ ศุภผล
รพ.รามาผู้ส่งบทความดีๆนี้
“จิตหลังความตาย 20 นาทีแรก”
ก็มีความสำคัญในการเปลี่ยนภพด้วย
“การศึกษาทางประสาทสรีรวิทยา
นักวิทยา���าสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
พบว่าหนูที่ตายใหม่ๆ หัวใจหยุดทำงาน
เลือดหยุดไปเลี้ยงสมอง
แต่คลื่นสมองยังคงอยู่ในภาวะ
“ตื่นตัวขั้นสูง”
บ่งบอกถึงการมีสติสัมปชัญญะ
ของคนเมื่อหัวใจหยุดเต้น
ดังนั้น .. ทางการแพทย์บอกว่า
“ตาย” .. แต่สมองยังทำงานอยู่
เป็น “การสร้างภาพจากสังขารจิต 20 นาที”
ว่าจะไปภพภูมิใด
ดังนั้น .. จึงควร “เหนี่ยวนำ
ไม่ให้นิมิตมาหลอกหลอน 20 นาที
หลังหัวใจหยุดเต้น
(กรรม กรรมนิมิต คตินิมิต)
การเข้าสู่ความมืด(ภวังคจิต)
บังสุกุล คำศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละศาสนา
จะปลุกจิตให้ตื่นหรือถอนออกมาเอง
แปลว่า .. ต่อให้ก่อนตาย
ญาติและคนไข้ได้เตรียมตัว
เหนี่ยวนำจิตเป็นอย่างดี จนตายไปแล้ว
(ก็คือหัวใจหยุดทำงาน)
สมองก็ยังเหนี่ยวนำสิ่งที่ทำก่อนตายอยู่
เช่น .. ถ้ากำลังสวดมนต์ภาวนา
ตายไปแล้วจิตและสมองก็ยังหมกมุ่น
อยู่กับการสวดมนต์ภาวนา
ดวงจิตก็ย่อมเปลี่ยนภพภูมิไปที่ดี
แต่หากสมมติว่า .. ก่อนตายเตรียมตัวดีมาก
แต่เมื่อตายไปแล้ว
ญาติๆ ร้องไห้ระงมเสียงดังลั่น
หรือ ลูกหลานทะเลาะแย่งสมบัติ
ด้วยเสียงแซ่งแซ่ บรรยากาศเหล่านั้น
ก็จะเหนี่ยวนำให้สมองครุ่นคิดตรงนั้น
และก็นำพาดวงจิตไปสู่ภพภูมิไม่ดีได้นั่นเอง
ดังนั้น .. สิ่งที่ควรทำหลังความตาย 20 นาทีแรก คือ .. "สวดมนต์"
เมื่อรู้ว่ามีคนตาย ก็หยิบขวดน้ำมนต์เย็นๆ
ในตู้เย็นติดมือไป และ หยดน้ำมนต์ที่ตาที่สาม (จักระ 6) ตรงหน้าผากหว่างคิ้ว
เพื่อให้ความเย็นของน้ำไปส่งสัญญาณ
ให้สมองที่ตรงกลางข้างในซึ่งยังทำงานอยู่
ได้ตื่นตัวฟังเสียงสวดมนต์หรือบังสุกุล
แต่ถ้าใครไม่มีน้ำมนต์ ก็ให้ใช้น้ำเย็นธรรมดาก็ได้
สรุป
บรรยากาศในการเตรียมตัวก่อนตาย
และหลังความตาย 20 นาที
จะต้องปราศจากเสียงร้องไห้เศร้าโศก
การทะเลาะเบาะแว้ง
หรือ .. การพูดเรื่องไม่สบายใจ
เพื่อให้คนตายได้เปลี่ยนภพภูมิที่ดีขึ้น
แต่ทั้งนี้ .. ตอนที่มีชีวิตอยู่
ก็ต้องทำความดี ละความชั่ว
ขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสด้วย
จะได้พร้อมเปลี่ยนภพภูมิได้ ทุกที่ ทุกเวลา
จิตใครเศร้าหมองก็สั่งจิตให้คลาย
ความเศร้าหมอง ให้อภัยปล่อยวาง
คิดซะว่า .. กฎหมายเอาผิดไม่ได้
แต่ก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้น
ปล่อยให้เป็นหน้าที่กฏแห่งกรรม
เราไม่ต้องไปเอาคืนแก้แค้น
เอาเวลามาทำจิตให้ผ่องใสเข้าสู่ความว่างดีกว่า
ผู้ใด เผยแผ่ ผู้นั้น ได้สะสมบุญ ��ารมี
1 note
·
View note
Text
ภาพที่เห็นว่ามีตัวตน
ภาพที่เห็นว่ามีตัวตน ความจริง พระตถาคตสอนว่า มันเป็นอนิจจตา (ความไม่เที่ยง) เป็นอนัตตา(ความไม่มีตัวตน) แล้วเหตุใดชาวพุทธส่วนใหญ่ จึงไม่ค่อยเข้าใจ และปล่อยวางตัวตนไม่ค่อยได้ ?
เรารู้ว่า เราเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธะ เป็นพุทธบริษัท เราเคยตั้งข้อสังเกตุไม่ ว่า ...... พระศาสดาของเราเชื่อในลัทธิบูชาน้ำ ลัทธิบูชาไฟ ตามความเชื่อที่มีมาแต่ก่อนตรัสรู้จริงหรือไม่ ???...
....และหากพระองค์เชื่อลัทธิเหล่านั้นจริง พระองค์จะแสวงหาทางพ้นทุกข์ไปเพื่ออะไรกัน ???
ความจริง ๔ ประการ(อริยสัจ ๔) จากการค้นพบหรือตรัสรู้ด้วยพระองค์เองนั้น จะข้ามผ่านการบูชาน้ำ บูชาไฟ ...ข้ามผ่านการสวดมนต์ขอพรไม่ได้หรือ ??... ในเมื่อพระองค์เป็นครูผู้จำแนกธรรมสั่งสอนมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย...แล้วพระองค์จะสอนให้สาวก(ผู้ฟัง, ผู้เดินตาม)สวดมนต์ขอพรจากเทวดาได้อย่างไร ? ในเมื่อเทวดาและมนุษย์ต่างก็ต้องฟังธรรมจากพระองค์เหมือนกัน...!
คำว่า "มนต์, มันตะ, มันตา" เป็นของพราหมณ์ สอดแทรกมาเป็นสวดมนต์ในพิธีกรรม...แทนคำว่า "สัชฌายะ" เช่น "สัชฌายะปฏิจจสมุปบาท" เป็นต้น
ในมนต์พิธีจึงมีสวดนั้น สวดนี่เต็มไปหมด มีทั้งสวดอ้อนวอนเทวดาชั้นกามภพ พิณธุผ้า ทำน้ำมนต์ ลุกลามไปถึงการดูฤกษ์ยาม บวงสวง ฯลฯ ..ซึ่งเป็นสิ่งที่แต่งขึ้นใหม่ กลายเป็นสิ่งที่ไปปกปิดคำสอนของพระศาสดาเอาไว้โดยปริยาย
ยกตัวอย่าง...การสัชฌายะบทปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นบทที่พระองค์สรุปภาวะธรรมของทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับไม่เหลือแห่งทุกข์.....#มีวัดไหนบ้างไหม ?? ที่เอาบท ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญยิ่งนี้ มาใช้ มาสัชฌายะในพิธีกรรมอันเป็นมงคลของชาวพุทธ ด้วยเพร��ะมีศรัทธาในการ��รัสรู้ของพระศาสดาของตนเป็นเหตุให้ปักใจลงมั่นไม่หวั่นไหวบ้าง...?
ถึงเวลาหรือยัง...! ชาวพุทธ ถึงเวลาหรือยัง ? เวลาแห่งการปลดเปลื้องสิ่งปกคลุมแก่นธรรมของพระศาสดาของตนออกไปให้หมด ช่วยกันทำมิให้เหลืออยู่ เพราะชาวพุทธได้ตกอยู่ หลงอยู่ในเดรัจฉานวิชา นาน..นานมาก..มากจนถอนตัวไม่ขึ้น เพราะเข้าใจไปเองว่า นั้น..เป็นวัฒนธรรม เป็นประเพณีของชาวพุทธ...
คำแต่งใหม่ ได้สอดแทรก ปกคลุมแก่นธรรมของพระศาสดา มีมานานแล้ว...เป็นความจริง การยึดมั่นในคำแต่งใหม่ว่าจริง การไม่กล้าหาญที่จะปลดเปลื้องสิ่งปกคลุมออกไป..ก็เพราะยึดกันว่า "มันเป็นของจริงไปแล้ว" เพราะความไม่รู้ !
การปลดเปลื้องสิ่งปกคลุมแก่นธรรมของพระศาสดาออกไป ต้องอาศัยศรัทธาที่ถูกต้อง ตรงจริง คือ "ศรัทธาในการตรัสรู้ของพระตถาคต" อย่างปักใจลงมั่น ไม่หวั่นไหว เชื่อฟัง เรียนรู้แต่คำสอนของพระองค์แต่ส่วนเดียว....ร้อยละ ๓๐ ในพระไตรปิฎก เป็นคำสอนของพระศาสดา ที่สืบทอดกันมา ในแนวภาษาคลองธรรมเฉพาะ ซึ่งแตกต่างจากคำแต่งใหม่ให้พิสูจน์ได้ชัดเจนอยู่แล้ว...ดังนั้น หากชาวพุทธศรัทธาตถาคตจริง ก็ไม่อยากที่จะตัดสินใจปลดเปลื้องสิ่งปกคลุุมแก่นธรรมของพระองค์ออกไป และเข้าให้ถึงคำสั่งสอนของพระองค์โดยตรง...เป็นพุทธผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา อันเป็นเหตุแห่งความปรารถนาของชาวพุทธทุกคน..!
0 notes
Text
บอลโลก 2030: FA ของสหราชอาณาจักรแล้วก็สาธารณรัฐไอร์แลนด์ทอดทิ้งการเสนอราคา 2030 เพื่อเน้นไปที่ยูโร 2028
สัมพันธ์บอลอังกฤษและก็สาธารณรัฐไอร์แลนด์ตกลงที่จะไม่ประมูลบอลโลกปี 2030 พวกเขาจะเน้นไปที่การประมูลด้วยกันเพื่อเป็นเจ้าภาพยูโร 2028 แทน การตัดสินใจเกิดขึ้นภายหลังจากรัฐบาลสหราชอาณาจักรทุ่มเงิน 2.8 ล้านปอนด์เพื่อเรียนความน่าจะเป็นไปได้สำหรับการประมูล จูเลียน ไนท์ ประธานคณะกรรมการด้านดิจิทัล วัฒนธรรม สื่อรวมทั้งการกีฬา (DCMS) ได้กล่าวที่ผ่านมาว่าการชิงชัยบอลโลกที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็น"โครงงานโต๊ะแต่งตัวขนาดยักษ์รวมทั้งราคาแพงแพง" การเล่าเรียนความน่าจะเป็นไปได้รวมทั้งการวิเคราะห์ผลพวงทางด้านเศรษฐกิจ ภูมิทัศน์ของบอลทางด้านการเมือง แล้วก็รายจ่ายที่เป็นได้สำหรับในการเป็นเจ้าภาพจัดแจงแข่งระดับโลกที่สำคัญ ข้างหลังการวิจัยนี้ สัมพันธ์บอลที่สาธารณรัฐไอร์แลนด์ อังกฤษ ไอร์แลนด์เหนือ เวลส์ แล้วก็สกอตแลนด์ จะเน้นย้ำที่การประมูลอย่างเป็นทางการเพื่อเป็นเจ้าภาพยูโร 2028 คำแถลงพูดว่า: "การเป็นเจ้าภาพ Uefa Euro ได้ผลทดแทนจากการลงทุนที่คล้ายกันโดยการประลองในยุโรปมีต้นทุนการจัดส่งที่ต่ำกว่ามากมายแล้วก็ประสิทธิภาพของผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นเร็วขึ้นติดตามข่าวเกี่ยวกับกีฬา ได้ทางเว็บไซต์ ufa191 “มันจะเป็นเกียรติรวมทั้งเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เป็นเจ้าภาพยูโร 2028 โดยรวมและก็ได้ต้อนรับชาวตะวันตกทั้งปวง “มันจะเป็นจังหวะที่สุดยอดเช่นเดียวกันที่จะบอกให้เห็นถึงผลพวงที่จริงจริงของการจัดการแข่งบอลสุดยอดด้วยการขับเขยื้อนความเคลื่อนไหวในเชิงบวกรวมทั้งทิ้งมรดกที่ยืนนานในชุมชนของพวกเรา” รัฐบาลอังกฤษเคยกล่าวไว้ก่อนหน้าที่ผ่านมาว่าจะลงทุน550 ล้านปอนด์สำหรับบอลระดับรากต้นหญ้า แม้การประมูลปี 2030 ประสบผลสำเร็จโดยนายกฯบอริส จอห์นสัน หวังที่จะ "แปลงชีวิตด้วยมรดกเพื่อกับการแข่งขันชิงชัยกีฬาโอลิมปิกปี 2012" อังกฤษล้มเหลวด้วยการประมูล โดยมีอดีตกาลกัปตัน เดวิด เบ็คหมูแฮม พระราชโอรสวิลเลียม และก็สมัยก่อนนายกฯ เดวิด คาเมรอน เป็นเจ้าภาพบอลโลกปี 2018 ซึ่งจัดที่รัสเซีย
ไอร์แลนด์เหนือตั้งใจที่จะเป็นเจ้าภาพเกมถ้าเกิดเสนอราคายูโรได้เสร็จ รัฐบาลสหราชอาณาจักรพูดว่าเกื้อหนุนการตัดสินใจของสัมพันธ์บอลทั้งยัง 5 ที่รวมทั้งเสริมว่ายังคงจะ “ขะมักเขม้นที่จะนำบอลโลกไปยังสหราชอาณาจักรแล้วก็ไอร์แลนด์เมื่อถึงเวลา” มาร์ค บูลลิงหมูแฮม ประธานข้าราชการบริหารของ เอฟเอ ที่อังกฤษ กล่าวว่าการเสนอราคาทั้งคู่เป็นจังหวะที่ "เยี่ยมยอด" แต่ว่าบอกว่าภายหลังจากประเมิน "ความรู้ความเข้าใจสำหรับในการชนะ" แล้ว ได้มีการตกลงใจร่วมการประมูลยูโร 2028 เขาเสริมว่ายังมี "ความไม่เที่ยง" เกี่ยวกับการประลองบอลโลกในอนาคต - สมาคมสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างชาติผู้ดูแลโลกของบอลอยากได้จัดแจงแข่งทุกสองปี สตีเฟน วิลเลียมส์ ประธานเอฟเอที่เวลส์ยังกล่าวเพราะ ผลพวงของการประมูลที่บรรลุความสำเร็จสำหรับเวลส์จะ "ตีค่ามิได้" และก็จะทิ้ง "มรดกอันนาน" ไว้ ชมรมทั้งผองพูดว่าพวกเขาจะ "ร่วมมือกับรัฐบาล" ถัดไปในลำดับต่อไป
0 notes
Text
ak47bet com คาสิโน Kingston rev, เกม EBITDA ติดลบระหว่างกาลปี 2020
ak47bet com คาสิโน Kingston rev, เกม EBITDA ติดลบระหว่างกาลปี 2020
ak47bet com รายได้จากการเล่นเกมที่ Kingston Financial Group Ltd ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคาสิโนผ่านดาวเทียมสองที่ในมาเก๊าติดลบ 9.2 ล้านดอลลาร์ประเทศฮ่องกง (1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในตอนหกเดือนหมดวันที่ 30 ก.ย.รายได้ที่ปรับปรุงแก้ไขก่อนหักดอกภาษีค่าเสื่อมราคาและก็ค่าตัดขาย (EBITDA) ในกรุ๊ปเกมในเวลาเดียวกันติดลบถึง 72.3 ล้านเหรียญประเทศฮ่องกง ผลกำไรทั้งยังกรุ๊ปลดน้อยลง 64.5% ในตอน 6 เดือนถึง 30 ก.ย.เป็น 169.0 ล้านดอลลาร์ประเทศฮ่องกงจาก 477.6 ล้านดอลลาร์ประเทศฮ่องกงในขณะเดียวกันในปี 2562 ในจำนวนระหว่างกาลสำหรับปี 2019 รายได้จากการเล่นเกมเป็นบวกถึง 221.1 ล้านเหรียญประเทศฮ่องกงแล้วก็ EBITDA ที่ปรับแต่งแล้วสำหรับเพื่อการเล่นเกมเป็นบวก 57.9 ล้านเหรียญประเทศฮ่องกง บริษัท ตั้งข้อคิดเห็นสำหรับในการยื่นฟ้องต่อตลาดค้าหุ้นประเทศฮ่องกงเมื่อวันศุกร์ว่าการลดน้อยลงของรายได้จากการเล่นเกมรวมทั้งอพาร์เม้นท์ในตอนหกเดือนถึงวันที่ 30 ก.ย.ปีนี้เกิดขึ้นได้เนื่องมาจาก "ปริมาณแขกมาเก๊าที่ต่ำลงอย่างยิ่ง" ในตอน การระบาดใหญ่ของวัววิด 19. ในส่วนบริการด้านการเงินของธุรกิจยังมี“ ผลขาดทุนจากการมีค่าเพียงน้อยนิดที่มากขึ้นจากความรุ่งโรจน์ให้กับลูกค้าสำหรับการหาเงินลงทุนโดยมีหลักประกัน” บริษัท กล่าว กลุ่มนี้ปฏิบัติการคาสิโน Casa Real (ในรูปภาพ) บนแหลมมาเก๊ารวมทั้งคาสิโน Grandview บน Taipa ทั้งคู่กรณีโดยใช้สิทธิ์สำหรับการเล่นเกมของ SJM Holdings Ltd ค่าการค้าขายโดยรวมของกรุ๊ปในตอนระหว่างกาลน้อยลง 26.5% เมื่อเปรียบเทียบเป็นทุกปีเหลือเพียงแค่ 1.01 พันล้านเหรียญประเทศฮ่องกงจาก 1.37 พันล้านเหรียญประเทศฮ่องกง แนวโน้มของภาคการเล่นเกมคาสิโนมีทิศทางที่จะ "ดียิ่งขึ้น" สำหรับปี 2021 ภายหลังจากการหยุดชะงักที่เกี่ยวโยงกับการระบาดใหญ่ในปีนี้หากว่ากำไรจะมีอัตราที่ต่างกันในส่วนต่างๆของโลกก็ตามรายงานฉบับใหม่จาก Fitch Ratings Inc . “ ตลาดเกมที่พึ่งพิงพาการเยี่ยมเยือนดูในพื้นที่เยอะขึ้นจะยังคงฟื้นได้เร็วขึ้น” เอกสารกำหนดเพิ่มว่าผลพวงอะไรก็ตามของการปิดคาสิโนแบบเปิด - ปิดสาเหตุจากการเพิ่มขึ้นอย่างเร็วของการได้รับเชื้อ Covid-19 ในพื้นที่มีลักษณะท่าทางที่จะ“ ไม่ร้ายแรงในปี 2564” ความพร้อมเพรีย��ใช้งานของวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรควัววิด -19 จะ“ ช่วยทำให้ตลาดจุดหมายตัวอย่างเช่นประเทศสิงคโปร์รวมทั้งลาสเวกัสเริ่มฟื้นอย่างเป็นจริงเป็นจังมากยิ่งขึ้นในตอนช่วงหลังของปี 2564” ฟิทช์เรทติ้โลภล่าวในเอกสารวันพุธ สถาบันประเมินเครดิตยังตั้งข้อคิดเห็นว่าการลดทุนโดยผู้ให้บริการคาสิโนแปลว่า "ความกลุ้มใจเกี่ยวกับเชื้อไวรัสวัวโรท้องนา" ได้รับการ "ลบล้างด้วยงบดุลที่ดี" Fitch Ratings พูดว่ายังคงมุมมองแง่ลบสำหรับ "จักรวาลเกมที่ได้รับการจัดชั้น" โดยมากเนื่องจากว่า "ผลพวงที่ร้ายแรง" ของการระบาดใหญ่ต่อผู้ให้บริการคาสิโนและก็ "ความไม่เที่ยง" เกี่ยวกับ "วิถีการฟื้นฟูสภาพของภาคส่วน" Fitch Ratings เอ่ยถึงเขตอำนาจศาลในภูมิภาคทวีปเอเชียแปซิฟิค (APAC) ว่าสำหรับตลาดคาสิโนมาเก๊าถึงแม้เมืองนี้จะมีฟองอากาศการเดินทางที่ไม่มีการกักกันแทบจะเป็นสากลกับจีนแผ่นดินใหญ่ข้อ จำกัด สำหรับในการเดินทางระหว่างประเทศฮ่องกงรวมทั้งมาเก๊าที่ยังคงก้าวเดินต่อไปในขณะนี้เป็น “ ลมแรง” สถาบันบอกว่ามีการเดาว่ารายได้ต่อเดือนจะน้อยลง 50 เปอร์เซ็นต์ถึง 60 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบเคียงเป็นทุกปีในตอนครึ่งแรกของปี 2564 โดยมีการเติบโตอย่างเร็วในตอนช่วงหลัง "นำโดยกรุ๊ปลูกค้าระดับพรีเมียมเป็นหลัก" ฟิทช์เรทติ้งส์ตั้งข้อคิดเห็นว่า:“ ความสบายสำหรับการเดินทางไปประเทศฮ่องกงสุดท้ายแล้วก็ความพร้อมเพรียงของวัคซีนจะส่งเสริมข้อสมมติของพวกเราสำหรับผลของการดำเนินงานในครึ่งปีข้างหลังของปี 2564 ที่แกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2564” สถาบันการเงินตั้งข้อคิดเห็นว่าในตอนที่ใบอนุมัติการเล่นเกมหกใบในตอนนี้ของมาเก๊าจะหมดอายุในมิถานายน 2565 นาย Ho Iat Seng ผู้บริหารระดับสูงของเมืองมี“ ตัวเลือกการขยายเวลานับเป็นเวลาหลายปี” ที่เกี่ยวโยงกับสิทธิ์เดี๋ยวนี้ “ ฟิทช์ยังคงมั่นใจว่าขั้นตอนการประมูลคืนสัมปทานจะเป็นไปในทางปฏิบัติ” หน่วยงานจัดลำดับความน่าไว้ใจกล่าวโดยอ้างถึงการประกวดราคาสาธารณะใหม่ที่คาดว่าจะเกี่ยวเนื่องกับการหมดอายุของสิทธิ์การเล่นเกมในมาเก๊าในตอนนี้ มาเลเซียประเทศสิงคโปร์ประเทศญี่ปุ่นหวังว่า IR Fitch Ratings คาดว่ารายได้จากคาสิโนในมาเลเซียซึ่ง Genting Malaysia Bhd ปฏิบัติการซึ่งเป็นคอมเพล็กซ์เกมลิขสิทธิ์เฉพาะของประเทศเป็น Resorts World Genting ใกล้เมืองหลวงกัวลาลัมเปอร์เพื่อฟื้น“ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป” เป็น 75 เปอร์เซ็นต์ของระดับ 2019 ในปี 2564“ ได้รับความ���ห้การช่วยเหลือจากสถานที่เที่ยวใหม่ๆ” - รู้เรื่องว่าเป็นการอ้างอิงถึงสวนสนุกที่โล่งแจ้งที่ใหม่ที่รอมานาน - และก็ "ตลาดที่ใหญ่มากยิ่งกว่าและก็เน้นย้ำในประเทศ" ของประเทศเมื่อเทียบกับประเทศสิงคโปร์ที่อยู่ใกล้เคียง ประเทศสิงคโปร์มีการผูกขาดคาสิโน - ซึ่งเกี่ยวโยงกับ Resorts World Sentosa เป็นลำดับซึ่งปฏิบัติการโดย Genting Singapore Ltd; รวมทั้งมารีน่าเบย์แซนด์สซึ่งจัดการโดยหน่วยงานของลาสเวกัสแซนด์คอร์ปซึ่งตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งก่อนที่จะมีการระบาดใหญ่สามารถยั่วยวนใจลูกค้าจากต่างแดนได้เยอะมาก Fitch Ratings คาดว่ารายได้จากการเล่นเกมของประเทศสิงคโปร์ในปี 2021 จะแตะต้องระดับ“ เพียงแต่ 45 เปอร์เซ็นต์” ของปี 2019 คณะกรรมการจัดลำดับกล่าวเพิ่มว่า:“ พวกเราคาดว่าสิ่งนี้จะชะลอการพัฒนาของผู้ให้บริการทั้งคู่ราย รวม 9,9 พันล้านเหรียญประเทศสิงคโปร์ 6.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ให้คำมั่นข้อตกลงกับรัฐบาลประเทศสิงคโปร์ “ การเสี่ยงต่อการฟื้นฟู ak47bet com สภาพในทั้งคู่ประเทศมีสาเหตุจากการรับเชื้อบ่อยๆและก็การ จำกัด การเคลื่อนไหวซ้ำ” สถาบันจัดลำดับเครดิตกล่าวเสริม หัวหน้าการท่องเที่ยวของประเทศสิงคโปร์กล่าวเมื่อสิงหาคมว่า“ หลบหลีกมิได้” จะมีความช้าสำหรับเพื่อการขยายตัว
0 notes
Text
พนันบอล ล้มเจ้ามือ พนันบอลออนไลน์ 7 ข้อ ได้เงินแน่
พนันบอล ล้มเจ้ามือ พนันบอลออนไลน์ กล้วยๆเพียงแค่ 7 ข้อ กับพวกเรา บอกเลยว่า ถ้าเกิดใช้ประโยชน์ ได้เงินแน่ๆ ใช้ได้อีกทั้ง แทงบอลสเต็ป แล้วก็ บอลเต็ง พนันบอลออนไลน์ ได้หมด โดยเหตุนี้ก็อย่าช้าเลย มาดูกันขอรับ พนันบอล ล้มเจ้ามือ กล้วยๆเพียงแค่ 7 ข้อ กับ TS911 TSOK พนันบอล ล้มเจ้ามือ ให้ได้ ได้เงินกลับนั้น พนันบอลออนไลน์ สิ่งที่ข้อสำคัญ ถือได้ว่าตัวแปลสำคัญอีกส่วนหนึ่งส่วนใด เว้นแต่คู่บอลนั้นๆแล้ว ยังมีแนวทาง สูตรต่างๆเข้ามาช่วยด้วย การวางลงทุนก็เป็นหัวใจสำคัญเช่นเดียวกัน การมีวิธีการ การวางเป้าหมายพินิจพิจารณาก็มีส่วนสำคัญทั้งปวง ทั้งปวงที่ได้กล่าวมาคร่าวๆทั้งผอง มีส่วนสำคัญ เป็นองค์ประกอบทั้งผองที่จะทำให้คุณ ได้เงินดี สร้างรายได้ที่ดีจากการพนันบอล นั่นเองนะครับ โดยเหตุนี้เมื่อท่านต้องการเป็นนักลงทุนที่ไปถึงเป้าหมายจาก การพนันบอล อยากได้ผลกำไรดีๆก็มาดู 7 ข้อ พนันบอล ล้มเจ้ามือ กับพวกเราได้เ��ยขอรับ 1. วางเป้าไว้เลยว่า ถ้าหากเล่นได้เยอะแค่ไหนจะหยุด หรือ เล่นเสียเยอะแค่ไหนจะเพียงพอ กำหนดจุดมุ่งหมายแล้วก็ ทำให้กระจ่าง เพราะเหตุว่าถ้าเกิดท่าน มิได้ตั้งเป้าหมายไว้ แล้วทำมันให้เด่นชัด ความไม่เที่ยง ความละโมบ อาจทำให้ท่านเล่นกระทั่งเกินเหตุ แทงมากมาย ลงพนันมากจนเกินความจำเป็นได้นะครับ รวมทั้งอาจจะทำให้เสียมากกว่าได้ ก้ได้ขอรับ 2. ไม่สมควรตามทีมที่ท่านถูกใจ ท่านรักมากเกินความจำเป็น เพราะเหตุว่าบางคราวท่านอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีความไม่เท่าเทียมกันบ้าง จนกระทั่งทำให้คุณลืมมองข้อมูลทางสถิติ มิได้มองฟอร์มการเล่นของกลุ่มคู่ปรับนั้นๆก็ได้ จำต้องพินิจพิจารณา ศึกษาเล่าเรียนมองตามหลักเรื่องจริง ในตอนต่างๆนั้นครับผม 3. ถ้าหากท่านเลือกแทงหลายคู่ แนะว่าให้เลือกลงพนัน ด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆกัน ที่ใกล้เคียงกัน ด้วยเหตุว่าช่องทางที่กำลังจะได้เงิน จะมีมากยิ่งกว่า และก็หากเสียก็จะเจ็บไม่มากมายครับผม แล้วก็ขอแนะว่าไม่สมควรใช้แนวทางการแทงทบ หากทุนของท่านมีไม่มากพอครับผม 4. หากท่านไม่มีจุดหมายสำหรับในการแทง การลงพนันที่แจ่มแจ้ง ในวันนั้นๆคู่ต่างๆพวกเราแนะว่าไม่สมควรจะเล่นในวันนั้นๆครับผม ควรจะพัก ควรจะเว้นไปก่อน เนื่องจากว่าถ้าหากไม่งั้น บางครั้งก็อาจจะเป็นไปได้ไม่คุ้มเสีย ได้ครับผม 5. หากบอลในคู่นั้นๆมีกลุ่มที่เหนือชั้นกว่า เป็นกลุ่มใหญ่ๆที่เชื่อถือได้ อย่างเช่น มีฟอร์มดีในช่วงฤดูกาลนั้น ตอนนั้นๆทำผลงานได้ดิบได้ดีบ่อยมา แนะว่าให้ตามทีมนั้น แทงให้สุดนะครับ 6. ควรจะลงพนัน พนันบอลเว็บไซต์ที่ดี ที่ตามมาตรฐาน จะต้องเป็น เว็บไซต์พนันบอล ที่ไว้ใจได้ เป็นที่รู้จักมีคนเล่น ลูกค้ามากพอสมควรครับผม ซึ่งก็จะดีมากยิ่งกว่าเล่นผ่านกับโต๊ะบอล เนื่องจากทางในเว็บไซต์นั้น จะมีการเล่นซึ่งสามารถได้มากมายกว่า กว้างกว่า ครอบคลุมกว่ามากมายนะครับ ซึ่งก็จะมีการลงทุนที่เริ่มได้ด้วยทุนน้อยๆต่ำลงมากยิ่งกว่ามากมาย มีการแทง การรับที่สูงกว่าด้วย รวมทั้งยังมีในเรื่องของโปรโมชั่นดีๆต่างๆโบนัส เครดิตฟรี ต่างๆด้วย 7. ศึกษาค้นคว้าและก็ฝึกฝนทดลองเล่น ทดสอบพนันบอล เสมอๆอาจเริ่มต้นแต่ว่าน้อยๆก่อน เพื่อเป็นการทดลอง ทดสอบเรียนรู้ดูซิก็ได้ เล่นให้มากมายได้ก็จะดี เรียนรู้ทดสอบตามความชื่นชอบ ทักษะ เพื่อถือได้ว่าเป็นการฝึกฝนให้แก่ท่านสามารถพินิจพิจารณาบอล ดูคู่บอลได้แม่น ได้เฉียบคมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆครับผม ถ้าหากท่านต้องการเป็น นักลงทุนที่ดี นักพนันบอล คอพนันที่ดี มีการแทงที่เฉียบคม แล้วก็ได้เงินเร็ว ท่านจะต้อง��ีการเรียนรู้ก่อน พินิจพิจารณาข้อมูลก่อนที่จะมีการลงพนันบ้าง น่าจะทำให้เป็นนิสัย เป็นประจำอยู่เรื่อยและก็แนะว่าอย่าเล่นจนกระทั่งเกินกำลัง กระทั่งยากลำบากตรากตรำ จนถึงเหลือเกินครับ พนันบอล กับเว็บไซต์พวกเรา TS911official ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เว็บไซต์ของพวกเรามีให้เลือกเล่น พนันบอล ได้มากมายอีกทั้ง พนันบอลสเต็ป พนันบอลเต็ง บอลคนเดียว พนันบอลออนไลน์ พนันบอล ล้มเจ้ามือ กับพวกเราได้ตลอด เว็บไซต์เชื่อถือได้ เล่นได้เงินจริงบริการดี ดูแลดี ขอความเห็นตอบปัญหาได้ เชื่อถือได้ สำหรับวันนี้ ก็ขอจบไว้เพียงเท่านี้ ขอขอบพระคุณในการติดตาม วันนี้สวัสดีครับผม
0 notes
Photo
ธรรมะวันนี้ ปริศนาธรรม “สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนพาไป” 1. สี่คนหาม คือ ร่างกายของคน���ระกอบด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อคนตายหรือร่างกายแตกดับ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แตกดับ อันดับแรก ลมจะดับก่อน เมื่อลมดับ ไฟก็จะดับตามมา ดังจะเห็นว่าเมื่อสิ้นลมหายใจแล้วกายจะเย็น ต่อมาดินและน้ำก็จะดับตามเกิดการเน่าเหม็น พุพอง สลายลง 2. สามคนแห่ คือ อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง ความเป็นทุกข์ อนัตตา ความไม่มีตัวตน เมื่อเกิดมาแล้ว จะมี 3 สิ่งนี้มาด้วยทุกคน 2.1 มีเกิด มีแก่ มีเจ็บมีตาย หมุนเวียนเป็นสังสารวัฎ เรียกว่า อนิจจังไม่เที่่ยง 2.2 ทุกขัง ความเป็นทุกข์ของสิ่งทั้งปวง คือ ความทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ 2.3 ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วน มีเกิดขึ้น มีตั้งอยู่ และดับไป เรียกว่าอนัตตา 3. หนึ่งคนนั่งแคร่ คือ จิตของเรา นั่นเอง เมื่อเรามีชิวิตอยู่ จิต ตัวนี้จะอยู่กับเราซึมซับเอาบุญ เมื่อเราทำความดีหรือบุญกุศล ซึมซับเอาบาป เมื่อเราทำบาป อกุศล แต่เมื่อเราตายไป จิต นี้แหละ จะเป็นผู้ไปยังปรโลก พูดง่าย ๆ ว่าถึงร่างเราตายจิตไม่��าย จิตเป็นตัวเดินทาง 1.ไปที่ดีเรียกว่าสุขติ ถ้ามีบุญเช่นเกิดเป็นมนุษย์ในโลก เกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ เกิดเป็นพรหมในพรหมโลก 2.ไปที่ไม่ดี เรียกว่าทุขคติ เช่นเกิดเป็นสัตว์นรก ในนรก เกิดเป็นเปรตในโลก เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ในโลก เป็นต้น 4. สองคนพาไป คือ บุญและบาป สองสิ่งนี้ จะติดกับดวงจิตไปยามตาย คนทั่วไปเรียกว่าวิญญาณ อันที่จริงแล้ว คือจิต นั่นเองที่ไม่ตายไปพร้อมกับร่างกาย แต่ดวงจิต จะล่องลอยออกไปตามแรงของบุญหรือบาป ถ้าแรงบุญมากก็ไปที่สูง เรียกว่าสุขคติ(คติ แปลว่า ที่ไป) https://www.instagram.com/p/Brg-1uYlJSe/?utm_source=ig_tumblr_share&igshid=1btbvopv0sdwa
0 notes
Photo
“อานาปานสติสูตร”
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อม มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อม บำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้ ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ได้ ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ ๗ แล้ว ทำให้มาก แล้ว ย่อมบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ ฯ [๒๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใน ธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า เธอย่อมมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจ เข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลม ทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า สำเหนียก อยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ ปีติ หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจออก ว่าเราจัก เป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเรา จักระงับจิตสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักทำจิตให้ร่าเริง หายใจออก ว่าเราจักทำจิตให้ร่าเริง หายใจ เข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักตั้งจิตมั่น หายใจออก ว่าเราจักตั้งจิตมั่น หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเปลื้องจิต หายใจออก ว่าเราจักเปลื้องจิต หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจออก ว่าเราจักเป็น ผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณา ความคลายกำหนัด หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็น ผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความ สละคืนกิเลส หายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว อย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ [๒๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้วอย่างไร ทำ ให้มากแล้วอย่างไร จึงบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด เมื่อภิกษุหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้า ยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจ เข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวลมหายใจออก ลมหายใจเข้านี้ ว่าเป็นกายชนิดหนึ่ง ในพวกกาย เพราะฉะนั้���แล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ ปีติ หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเรา จักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจเข้า สำเหนียก อยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ จิตสังขาร หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการใส่ใจลมหายใจออก ลมหายใจเข้าเป็นอย่างดีนี้ ว่าเป็นเวทนาชนิดหนึ่ง ในพวกเวทนา เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนด รู้จิต หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจัก ทำจิตให้ร่าเริง หายใจออก ว่าเราจักทำจิตให้ร่าเริง หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักตั้งจิตมั่น หายใจออก ว่าเราจักตั้งจิตมั่น หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเปลื้องจิต หายใจออก ว่าเราจักเปลื้องจิต หายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าว อานาปานสติแก่ภิกษุผู้เผลอสติ ไม่รู้สึกตัวอยู่ เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า พิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณา ความไม่เที่ยง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด หายใจออก ว่าเราจัก เป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ ตามพิจารณาความดับกิเลส หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส หายใจ ออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส หายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ เธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสด้วย ปัญญาแล้ว ย่อมเป็นผู้วางเฉยได้ดี เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ชื่อว่าบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้ ฯ [๒๙๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงบำเพ็ญโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ในสมัยนั้น สติย่อมเป็นอันเธอผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว ไม่เผลอเรอ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด สติเป็นอันภิกษุเข้าไปตั้งไว้แล้วไม่เผลอเรอ ในสมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความ บริบูรณ์แก่ภิกษุ เธอเมื่อเป็นผู้มีสติอย่างนั้นอยู่ ย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความ พิจารณาธรรมนั้นได้ด้วยปัญญา ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุเป็นผู้มีสติอย่างนั้นอยู่ ย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา ในสมัยนั้น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ เธอ เมื่อค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรมด้วยปัญญาอยู่ ย่อมเป็นอันปรารภ ความเพียรไม่ย่อหย่อน ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณา ธรรมนั้นด้วยปัญญา ปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ในสมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ปีติ- *ปราศจากอามิสย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ปีติปราศจากอามิสเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภ ความเพียรแล้ว ในสมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญ และความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ภิกษุผู้มีใจเกิดปีติ ย่อมมีทั้งกายทั้งจิตระงับได้ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ทั้งกายทั้งจิตของภิกษุผู้มีใจเกิดปีติ ระงับได้ ในสมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า ย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญ และความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ภิกษุผู้มีกายระงับแล้ว มีความสุข ย่อมมีจิตตั้งมั่น ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกายระงับแล้ว มีความสุข ย่อมตั้งมั่น ในสมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความ เจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้วางเฉยจิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้น ได้เป็นอย่างดี ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุเป็นผู้วางเฉยจิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได้ เป็นอย่างดี ในสมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมถึง ความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มีความ- *เพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ในสมัยนั้น สติย่อมเป็นอันเธอผู้เข้าไปตั้งไว้แล้วไม่เผลอเรอ… ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ในสมัยนั้น สติย่อม เป็นอันเธอผู้เข้าไปตั้งไว้แล้วไม่เผลอเรอ… ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ในสมัยนั้น สติย่อม เป็นอันเธอผู้เข้าไปตั้งไว้แล้วไม่เผลอเรอ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด สติเป็นอันภิกษุเข้าไปตั้งไว้แล้ว ไม่เผลอเรอ ในสมัยนั้�� สติสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความ บริบูรณ์แก่ภิกษุ เธอเมื่อเป็นผู้มีสติอย่างนั้นอยู่ ย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความ พิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุเป็นผู้มีสติอย่างนั้นอยู่ ย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา ในสมัยนั้น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ เมื่อ เธอค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญาอยู่ ย่อมเป็นอัน ปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรม นั้นด้วยปัญญา ปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ในสมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ย่อม เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ปีติปราศจากอามิส ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ปีติปราศจากอามิสเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภ ความเพียรแล้ว ในสมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญ และความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ภิกษุผู้มีใจเกิดปีติ ย่อมมีทั้งกายทั้งจิตระงับได้ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ทั้งกายทั้งจิตของภิกษุผู้มีใจเกิดปีติ ระงับได้ ในสมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุ ชื่อว่าย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ย่อมถึง ความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ภิกษุผู้มีกายระงับแล้ว มีความสุข ย่อมมีจิต ตั้งมั่น ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกายระงับแล้ว มีความสุข ย่อมตั้งมั่น ในสมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความ เจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้วางเฉยจิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้น ได้เป็นอย่างดี ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุเป็นผู้วางเฉยจิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได้ เป็นอย่างดี ในสมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมถึง ความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ชื่อว่าบำเพ็ญโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ได้ ฯ [๒๙๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ ๗ แล้วอย่างไร ทำให้ มากแล้วอย่างไร จึงบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัย นิโรธ อันน้อมไปเพื่อความปลด���ล่อย ย่อมเจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ … ย่อม เจริญวิริยสัมโพชฌงค์ … ย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์ … ย่อมเจริญปัสสัทธิ สัมโพชฌงค์ … ย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ … ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อความปลดปล่อย ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ ๗ แล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ชื่อว่าบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ ฯ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ จบ อานาปานสติสูตร ที่ ๘ —————————————————–
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ บรรทัดที่ ๓๙๒๔ - ๔๑๘๑. หน้าที่ ๑๖๗ - ๑๗๗. http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=14&A=3924&Z=4181&pagebreak=0
0 notes
Text
ตาย
“ตอนใกล้ตาย” จะมีความรู้สึกอย่างไร? อาการของการ “ตาย” ที่คนอื่นได้ศึกษามา ��รือเคยได้พูดคุยกับคนมีประสบการณ์ใกล้ตาย (near-death experience)นั้นเป็นเช่นไร คุณหัชชา ณ บางช้าง เคยค้นคว้าเรื่องนี้มาเขียนใน “ภาวะหลังตาย” และเล่าว่า “กระบวนการตาย” ในระยะต่าง ๆนั้นเป็นเช่นไร ท่านบอกว่ามันมี 4 ขั้นตอนอย่างนี้:- ๑. ระยะแรก เป็นระยะที่ธาตุดินเริ่มสลายตัว กลายเป็นน้ำ ผู้ตายจะรู้สึกอ่อนระโหย ไม่มีแรง การมองเห็นต่าง ๆ เริ่มเสื่อม มองอะไร ๆ ก็ไม่ชัด ทุกอย่างดูมัว ไปหมด ทุกอย่างที่เห็น เหมือนมองไปกลางถนน ขณะแดดจัดๆภาพต่างๆจะเต้นระยิบระยับเต็มไปหมด ๒. ระยะที่น้ำจะกลายเป็นไฟ ช่วงนั้น น้ำในร่างกายเริ่มแห้งลง จะรู้สึก ชาๆตื้อๆ เริ่มหมดความรู้สึก ไล่จากปลายเท้าขึ้นมา ประสาทหูเริ่มไม่รับรู้ คือเริ่มไม่ได้ยินเสียง อะไร มองไปทางไหนก็เห็นแต่ควัน ๓. ระยะนี้ไฟเปลี่ยนเป็นลม หูจะไม่ได้ยินอะไรอีกเลย รู้สึกหนาว จับใจ ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ หยุดหมด ลมหายใจอ่อนลงเรื่อยๆ จมูกเริ่มไม่รับความรู้สึกเรื่องกลิ่น ๔. ระยะนี้ ธาตุลมจะเปลี่ยนเป็นอากาศธาตุ ตอนนี้ เจตสิกทุกอย่าง รวมทั้งการหายใจ จะหยุดหมดพลังงานทั้งหลายที่เคย ไหลเวียนอยู่ในร่างกายจะไหลกลับคืนไปสู่ระบบประสาทส่วนกลางหมด ลิ้นแข็ง ไม่รับรู้เรื่องรสชาติใดๆ ความรู้สึกสัมผัสหมดไป ความรู้สึกอยากโน่น อยากนี่ต่างๆที่เคยมีก็หมดไป มีความรู้สึกเหมือนอยู่กับแสงเทียนที่กำลังลุกโพลงอยู่เท่านั้น ท่านบอกว่าตอนนี้แหละ ที่บรรดาแพทย์จะประกาศว่า ผู้ป่วยในความดูแล “ถึงแก่กรรม”แล้ว (clinical death) นั่นก็คือจุดที่ “เวทนา” ทั้งหมดดับไป สมองและระบบไหลเวียนต่าง ๆ ของร่างกายหยุดทำงานหมด แปลว่ารูปและนาม หรือเบญจขันธ์ ตายไปแล้ว ก็ต้องถกกันต่อไปว่า ถ้าเราเชื่อว่า วิญญาณยังอยู่ ต่อเมื่อร่างกายสลายไป จะไปอยู่ที่ไหนอย่างไรต่อไป? อ่านเจออีกแหล่งหนึ่งเรื่อง “ลักษณะการตาย” ตามแนวคิดแบบ “เซน”ที่คุณ“โชติช่วง นาดอน” เคยรวบรวมไว้ในหนังสือ “จิตคือพุทธะ” เมื่อนานมาแล้ว ท่านบอกว่าคนเราตายได้สองลักษณะ คือ “ตายอย่างปราศจากที่พึ่ง” และ “ตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่ง” คนที่ตายย่างแรกนั้น เวลาใกล้จะสิ้นลม มีอารมณ์ผิดไปจากปกติ จิตใจกลัดกลุ้มยุ่งเหยิง เรียกว่า “จิตวิการ” ซึ่งหมายถึงจิตเกิดความปวดร้าวทรมานเพราะ ยัง “ยึดติด” กับหลายเรื่อง หรือที่ผมเรียกว่า “ไม่ยอมตาย"ทั้ง ๆ ที่ต้องตาย” นั่นคือจิตใจยังติดข้องกับอุปาทาน ๔ ประการคือ ๑. ติดอยู่กับทรัพย์สินเงินทอง ๒. ห่วงใยอาลัยในสิ่งที่เป็นรูป และอรูป โดยเห็นว่าเป็นของเที่ยง ๓. มีนิวรณ์ความวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน มาห้ามจิตมิให้บรรลุความดี ๔. มีความดูแคลนเมินเฉยในคุณพระรัตนตรัย เขาบอกว่าคนส่วนใ��ญ่ตายลักษณะอาการ อย่างนี้ เรียกว่าตายอย่างอนาถา ส่วนการตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่งนั้น แปลว่าคนใกล้ตายมีสติอารมณ์ผ่องใส ไม่หวั่นไหว และซาบซึ้งในวิธีของมรณกรรม และยึดหลัก ๔ ประการคือ ๑. มีอารมณ์เฉย ๆ ซาบซึ้งถึงกฎธรรมดาแห่งความตาย ๒. ซาบซึ้งถึงสภาพการณ์สิ่งในโลกของ ความไม่เที่ยง ไม่เป็นแก่นสาร ๓. รำลึกถึงกุศลกรรมที่ได้ผ่านมาในชีวิต และเกิดปิติปลาบปลื้ม ๔. ยึดมั่นเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่ตลอดเวลาจนสิ้นลมหายใจ ด้วยเหตุนี้แหละ จึงเห็นว่าการ“ฝึกตายก่อนตาย”ดั่งที่ท่านพุทธทาส หรือ.. หลวงพ่อ หลวงปู่ ครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะ.. หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี ท่านเคยสอนเรานั้น เป็นเรื่องที่ประเสริฐสุดแล้ว แต่คนส่วนใหญ่กลัวตาย แม้จะเอ่ยถึงคำว่าตายก็รับไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการ “แช่ง” ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครหนีความตายได้แม้แต่คนเดียว การเรียนรู้ “มรณาอุปายะ” หรือ “ฝึกตายก่อนตาย” นั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทำให้มันสนุกเสีย ให้มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นน่ายินดี ก็จะทำให้ความทุกข์ระหว่างมีชีวิตอยู่นั้น ลดน้อยถอยลง และเมื่อถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไป ก็ไม่ตกใจ ไมตื่นเต้น ไม่รันทด และทรมาน เพราะ...ความกลัว และความไม่ต้องการที่จะจากไป ชาวพุทธที่ฝึกปฏิบัติธรรมในสาระจริงๆ(ไม่ใช่แค่ทำบุญแล้วนึกว่าจะต้องไปสวรรค์ โดยไม่ต้องปฏิบัติธรรม) ก็จะเข้าใจว่า.. “ขันธ์ทั้งห้า” ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีความแน่นอน เปลี่ยนแปลงและทรุดโทรม และท้ายสุดก็แตกดับไป และระหว่างที่มรณกาลมาถึงนั้น ขันธ์ห้าก็ย่อมจะแปรปรวน จึงควรจะเตรียมตัวและเตรียมใจไว้ เมื่อความตายมาถึง, เราก็จะได้ไม่ทุรนทุราย และตายอย่างมีสติ และ“รู้เท่าทันความตาย” ซึ่งเป็นสุดยอดของการมีชีวิตอยู่นั่นเอง..!
0 notes