#กังวลใจ
Explore tagged Tumblr posts
Photo
#รีวิวตัวเอง ในปี #2022 ที่ผ่านมา เป็นปีที่อะไรๆ ก็คือความ #ไม่แน่นอน หลายๆ อย่างก็เหมือนจะเริ่ม #เข้าที่เข้าทาง แต่ในอีกหลายๆ อย่างก็เริ่มน่า #กังวลใจ ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต ไป #ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เป็นพอ แล้วรอผล อยากจะ #ขอบคุณตัวเอง ในปีที่ผ่านมา แต่ก็มานึกได้ว่า ยังไม่ได้ทำห่าอะไรเลย นี่หว่า... ขอบคุณ #มิตรสหาย ดีๆ ผู้คนรอบตัวที่ผ่านเข้ามา ขอบคุณ #กัลยาณมิตร ทั้งหลาย ที่รายล้อม ขอบคุณ เพื่อน พี่น้อง และคนข้างกาย ถึง บางคน ที่ผ่านเข้ามาเป็น #TOXIC ชีวิต ก็ทำให้คิดได้ว่า #โลกไม่สวยค่ะหญิง #สู้ดิวะ!! เราบังคับให้คนทั้งโลกชอบเราไม่ได้ ถ้าไม่ชอบเรา จริงๆ ก็ #เรื่องของมึง ค่ะ!! สัญญาว่าปีหน้าจะ #ใจดี ให้น้อยลง จัดการทุกปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต อย่าง #ซื่อสัตย์ และ #ตรงไปตรงมา ทุกคำ #นินทาลับหลัง ที่ผ่านเข้ามา ถ้าไม่กล้าพูดต่อหน้า ก็ไม่เป็นไร เดี่ยวจะเดินเข้าไป ถามเองตรงๆ คงไม่เป็นไร #ลูกผู้ชาย #กล้าพูด #กล้ารับ เป็นปีที่ได้เป็นทั้ง #ผู้รับ และ #ผู้ให้ ได้ #เป็นกำลังใจ และ #ให้กำลังใจ #โควิด ยังไม่ติด แต่สุขภาพจิตพังนิดหน่อย หมดเงินกับการป้องกันตัวเอง และครอบครัวไปมากพอสมควร เหนื่อยกับ #ภาระ แต่ #ภูมิใจ นะที่ทำได้ ขอให้ปี 2023 อย่าใจร้ายกับเรานัก อยากให้รางวัลตัวเอง แต่ยังไม่รู้อะไร ตั้งใจจะลด #น้ำอัดลม ดื่ม #น้ำเปล่า เยอะๆ มองหาช่องทางต่อยอดให้ชีวิตจริงๆ จังๆ #สวัสดีปีใหม่ #HappyNewYear #2023 https://www.instagram.com/p/Cm1DCLTPqEc/?igshid=NGJjMDIxMWI=
#รีวิวตัวเอง#2022#ไม่แน่นอน#เข้าที่เข้าทาง#กังวลใจ#ทำวันนี้ให้ดีที่สุด#ขอบคุณตัวเอง#มิตรสหาย#กัลยาณมิตร#toxic#โลกไม่สวยค่ะหญิง#สู้ดิวะ#เรื่องของมึง#ใจดี#ซื่อสัตย์#ตรงไปตรงมา#นินทาลับหลัง#ลูกผู้ชาย#กล้าพูด#กล้ารับ#ผู้รับ#ผู้ให้#เป็นกำลังใจ#ให้กำลังใจ#โควิด#ภาระ#ภูมิใจ#น้ำอัดลม#น้ำเปล่า#สวัสดีปีใหม่
0 notes
Text
11 เหตุผลที่หย่า ดีกว่า การทนอยู่กับชีวิตคู่ที่ไม่ทำให้เรามีความสุข
11 เหตุผลที่หย่า ดีกว่า การทนอยู่กับชีวิตคู่ที่ไม่ทำให้เรามีความสุข
การตัดสินใจที่จะหย่า และจบชีวิตคู่ของเรา (แน่นอนไม่มีใคร อยากแต่งงานแล้วจบลงด้วยการหย่า) อาจสร้างความกลัว และวิตกกังวลใจต่อตัวเราเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น ความกลัวต่อชีวิตในอนาคตที่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความกังวลต่อความรู้สึกของลูก และ ความคิดของลูก หรือ แม้แต่ความกลัวกับการที่จะต้องอยู่คนเดียวตลอดไป
ความกลัวที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องแปลกเลยแต่อย่างไร แต่แทนที่เราจะโฟกัสในสิ่งที่ "อาจ" จะเกิดขึ้น ซึ่งมาจากความคิดลบ อันที่จริงแล้ว การหย่า ก็นำมาซึ่งสิ่งดีๆ มากมาย ซึ่งวันนี้ แพรจะขอยกตัวเอง ข้อดี 11 ข้อของการตัดสินใจหย่า ดังต่อไปนี้
1. การทนอยู่ เพราะความคุ้นเคย เหมือนอยู่ใน comfort zone แต่การหย่า จะนำมาซึ่งชีวิตใหม่ที่จะทำให้เรามีความสุข
หลายๆ คนทนอยู่กับชีวิตแต่งงานที่ไม่��ีความสุข เพียงเพราะพวกเขารู้สึกคุ้นเคย ชิน แม้จะไม่มีความสุข แต่พวกเขาลืมคิดไปว่า การหย่า จะเป็นการสร้างความหวังครั้งใหม่ให้กับพวกเขา ความหวังที่จะเป็นคนที่พวกเขาอยากจะเป็นอย่างแท้จริง ความหวังในการมีชีวิตในแบบที่พวกเขาต้องการ และ ความหวังที่พวกเขาจะเจอคนที่ใช่ ความหวังทั้งหมดทั้งปวงนี้ จะเริ่มต้นได้ จากการหย่า และ การเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเรา
2. การเป็นพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว ก็ดีกว่า การปล่อยให้ลูกอยู่ในครอบครัวที่มีแต่ความขัดแย้ง
ลูกของเรา เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิต วิธีการสร้างความสัมพันธ์จากเรา ถ้าเรากำลังปกป้องชีวิตคู่ ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง การทำร้ายความรู้สึกกันและกัน เราก็กำลังเป็นตัวอย่างให้กับลูกในการมีความสัมพันธ์แบบนี้ในอนาคตอยู่
การที่ลูกเห็นเรา ร้องไห้ เห็นเราไม่มีความสุข สิ่งนี้ ก็จะสร้างความทุกข์ใจให้กับเขาเช่นกัน ไม่เพียงเท่านี้ การที่เราไม่มีความสุข ก็ยากที่จะส่งความสุขให้กับลูกได้เช่นกัน
3. การหย่า คือ การเลือก ที่จะมีชีวิตที่มีความสุข เพื่อที่จะเปิดโอกาสใหม่ๆ ที่ดีให้กับชีวิต
การหย่า แน่นอน ว่า นำมาซึ่งความเจ็บปวด เปรียบเสมือนกับการดึงพลาสเตอร์ยาออกจากแผล ซึ่งก่อนที่จะดึง เราจะรู้สึกกลัวเจ็บมาก และตอนดึง เราก็อาจจะรู้สึกเจ็บ แต่หลังจากนั้น แผลของเราก็จะหาย ชีวิตเราก็จะดีขึ้น คนดีๆ คนใหม่ๆ ก็จะมีโอกาสเข้ามาในชีวิตของเราด้วย
4. การหย่า ช่วยให้เราได้กลับมาโฟกัสที่ตัวเราเองเสียที
การเลิกรา จะทำให้เราได้มีเวลากลับมารัก และดูแลตัวเอง ได้มีโอกาสในการทำในสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ เสียที ถ้าเรามีลูก เราก็จะได้ดูแล และ รักลูกอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องคอยกังวลกับเรื่องอะไรอีกต่อไป ความรู้สึกสงบ และ มีความสุขอย่างแท้จริง จะเกิดขึ้นได้ เมื่อเรากล้าพอที่จะเดินออกมาจากความสัมพันธ์แย่ๆ
5. สิ่งที่เลวร้ายสำหรับลูกเรา ไม่ใช่การหย่า แต่การปล่อยให้เขาต้องทนอยู่ในครอบครัวที่มีแต่ความทุกข์ต่างหาก
บ่อยครั้งที่พ่อแม่ พยายามที่จะทนอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครมีความสุข เพียงเพราะกลัวว่าลูกจะมีบาดแผลในใจ มีปมด้อย แต่อันที่จริงแล้ว การที่เราปล่อยให้ลูกต้องเห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน อยู่ในบ้านที่ไร้ซึ่งความรัก ลูกเห็นเราไม่มีความสุข เต็มไปด้วยความเครียด สิ่งนี้ต่างหากที่จะสร้างบาดแผลในใจให้กับลูกของเรา
6. เราจะเรียนรู้การอยู่คนเดียวอย่างมีความสุขในที่สุด
บางครั้งการอยู่คนเดียว ก็ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องเหงาเสมอไป แต่การอยู่คนเดียวอาจเปิดโอกาสให้เราสามารถสร้างความสุขได้ด้วยจากตัวเราเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งภายนอก และ���มื่อไรก็ตามที่เราอยู่ได้ มีความสุขได้ด้วยตัวเราเอง ความสัมพันธ์ครั้งต่อไปของเราก็จะเป็นความสัมพันธ์ที่จะสร้างความสุขให้กับชีวิตเรามากขึ้น และสนับสนุนชีวิตเราไปข้างหน้าอีกด้วย
7. การหย่า นำมาซึ่งการเติบโต
บางครั้งเรามีสิ่งที่เราอยากจะทำ เราอยากจะเติบโตไปในทิศทางที่เราต้องการ แต่ชีวิตคู่ของเราไม่เอื้ออำนวย การตัดสินใจหย่า เป็นก้าวแรกของการเลือกใช้ชีวิตที่เป็นของเราอย่างแท้จริง
8. การเป็นแม่ที่มีความสุข ก็จะทำให้ลูกมีความสุขด้วย
การที่เรามีความสุข เราก็จะเลี้ยงลูกของเราให้เป็นเด็กที่มีความสุข ลูกของเราสัมผัสได้ว่าแม่มีความสุข ในทางกลับกัน ถ้าเรามีความเครียด กังวลใจ และมีความทุกข์ สิ่งนี้ก็จะแสดงออกได้เช่นเดียวกัน ไม่เพียงเท่านี้ อารมณ์ด้านลบของเราอาจส่งผลต่อลูก ด้วยการกระทำ เช่น เราหงุดหงิดใส่ลูก เราโมโหลูก เป็นต้น
9. การหย่า และจบเรื่องที่คาราคาซังเสียที ช่วยให้เราเอาเวลาและพลังงานเราไปใช้ในสิ่งที่สำคัญกับชีวิตของเรามากขึ้น
ลองนึกย้อนดูว่า เรานอนไม่หลับ คิดถึงแต่เรื่องที่ทำให้เราทุกข์ใจกังวลใจ ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เราเสียเวลาไปกับการทะเลาะเรื่องเดิมๆ ที่ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตใครดีขึ้น และเสียเวลากับการมีอารมณ์ทางด้านลบ ที่ทำลายความคิดสร้างสรรค์ของเรา ในการทำสิ่งดีๆ ในชีวิตของเราไปมากมายแค่ไหน
เพียงแค่เราคิดได้ ตัดสินใจ และสุดท้าย เอาเวลาและพลังงานนั้น ไปใส่ให้กับสิ่งที่เราตั้งไว้เป็นเป้าหมาย สิ่งที่สำคัญกับชีวิตของเราจริงๆ ชีวิตของเราจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ หนึ่งปีเท่านั้น เราก็จะเห็นผลได้แล้ว
10. เราคู่ควรกับการมีความสัมพันธ์ที่ดี คู่ควรกับการให้เกียรติ และ เป็นที่รัก
การเลือกที่จะหย่า เพราะเราเห็นคุณค่าของตัวเอง คือ การแสดงความรักของตัวเองในรูปแบบหนึ่ง (จงจำไว้ว่า พ่อกับแม่รักเรามาก เราจะไม่ยอมให้ความรัก และการดูแลทะนุถนอมของเขาต้องถูกทำลายเพราะคนไม่ดีเพียงคนเดียว) การเห็นคุณค่าของตัวเอง คือ การตระหนักว่า ตัวเราสมควรที่จะได้รับความรัก การดูแลเอาใจใส่ การให้เกียรติ เหมือนกับการที่เราทำให้อีกฝ่าย
11. การหย่า เราอาจสูญเสียชีวิตคู่ แต่เราได้ความสุขในชีวิตของเรากลับคืนมา
ชีวิตของคนเรามันสั้น สั้นเกินกว่าจะมาทนอยู่ในชีวิตคู่ที่ไม่ใช่ ไม่ได้สร้างความเจริญก้าวหน้า และความสุขให้กับเรา
Reason for divorce
ที่มา :: https://www.betteryoubypair.com/post/11-reasons-divorce-is-better , https://prinkotakoon.blogspot.com/2024/10/reason-for-divorce.html
2 notes
·
View notes
Text
ฝันเห็นแมงป่อง
ฝันเห็นแมงป่องตัวใหญ่ สีดำ
ทำนายฝันว่า : ช่วงนี้มีเกณฑ์ว่าจะต้องเจอเรื่องเครียดอยู่บ่อยครั้งวันหาเวลาว่างพักผ่อนให้ตัวเองบ้าง มีเกณฑ์ว่าจะมีคนอายุน้อยกว่าเข้ามาทำให้หนักใจ กังวลใจ หรือตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คนโสดมีเกณฑ์ว่าจะได้คู่ที่อยู่ห่างไกลบ้านหรือมีเกณฑ์ว่าจะเป็นชาวต่างชาติ ส่วนคนที่มีคู่อยู่แล้วจะมีเรื่องให้ถกเถียงกันบ้าง คนรักของท่านมีเกณฑ์ว่าจะประสบอุบัติเหตุบางอย่างที่ทำให้บาดเจ็บได้ควรระวังเรื่องการเดินทาง
เลขเด็ด นำโชค : 14 25 32 604 613 684
อ่าน ฝันเห็นแมงป่อง
1 note
·
View note
Text
บางทีก็อยากถามว่า ที่มีชีวิตอยุ่ตอนนี้ อยู่เพื่ออะไร
ทำไมต้องทนทรมานกว่าคนอื่นขนาดนี้
��ุกคนมีเรื่องเศร้าของตัวเอง เราเข้าใจ แต่การที่เราเป็นโรค bpd มันทำให้มุมมองการเห็นอะไร หรือคิดอะไร รุนแรงมากกว่าคนอื่นหลายพันเท่า
นอกจากพยายามจะหายแล้ว การที่ต้องมาโดนคนที่เราผูกตัวเองไว้โมโหแรงใส่แบบนี้ เราจะไหวหรอ แล้วเราจะกล้าเดินออกมาเองไหม หรือเราจะโดนเททิ้งก่อนจะทำใจได้ สับสนวุ่นวาย กังวลใจ unstable มากเกินจะรับไหว
วิธีแก้มีแต่ทานยาฉุกเฉินไปก่อน อัดเข้าไปตามโดสที่หมออนุญาต และอาจจะต้องทำ 3 sensories: butterfly, sound, look at one confort point
0 notes
Photo
บริการทาง เว็บไซต์ของยูฟ่าเบท ซึ่งแน่นอนว่ามันสามารถตอบโจทย์ ความต้องการ ได้เป็นอย่างดี
ให้กับผู้เล่น ในการเล่นพนันออนไลน์ ได้อย่างแน่นอน ในการเล่นประเภท ของการเลือกวางเดิมพัน ที่มีตัวเลือกการวางเดิมพัน ที่หลากหลาย อีกทั้งได้รับความแปลกใหม่ การเปิดกว้าง ให้กับตนเอง ซึ่งแน่นอน ว่าคุณไม่ต้องกังวล เรื่องการพนันเลย ว่าจะถูกโกง สำหรับการพนัน นั้นมีใบรับรอง มีให้ท่านสามารถดูการแข่งขัน ตามแหล่งต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ถือได้ว่า คุณจะได้ความเร้าใจ อย่างดี กับการพนันของบ่อนนั้น คุณก็ต้องเสี���ยง กับการติดโรค และได้รับความรุนแรง เกี่ยวกับการถกเถียงกัน ซึ่งแน่นอนว่า อาจจะทำ ร้ายร่างกายกัน ในการตัดสินผลแพ้ชนะ ซึ่งแน่นอนว่า ในเว็บพนันยูฟ่าเบท นั้นการตัดสินผลแพ้ชนะ เป็นไปอย่างเป็นธรรม ให้กับสมาชิก ทุกอย่างแน่นอน ที่ได้รับความเป็นธรรม กับการเดิมพัน ที่คุณสามารถ เห็นภาพการถ่ายทอดสด และอย่างชัดเจน การตัดสิน ที่เป็นธรรม อย่างแน่นอ�� และกฎกติกา มีเอาไว้อย่างชัดเจนใ นการเล่นพนันออนไลน์ ซึ่งคุณนั้น สามารถเข้า ถึงความต้องกา รในการเล่นพนัน ได้ง่าย ๆ เลย ทำให้การเล่นพนัน และครั้งคุณไม่ต้อง กังวลใจ ในการเล่นพนันออนไลน์ กับเว็บพนันยูฟ่าเบท ขั้นตอนการเล่นพนั นที่จะช่วยให้ คุณเข้าร่วมสนุก เน้นการทำกำไรไ ด้อย่างง่าย ๆ และมีความโปร่งใส ชัดเจน มากที่สุด กับการใช้เว็บพนันยูฟ่าเบท ก็ทางเลือกง่าย ๆ ที่คุณสามารถใช้ผ่าน โทรศัพท์มือถือ ในการใช้งาน ก็แสนง่าย เรียกได้ว่าคุณสามารถ ใช้งานได้อย่าง ทุกที่ทุกเวลาจริง ๆ ที่จะช่วยให้คุณ สามารถเลือกเดิมพัน ในแต่ละครั้งได้อย่าง คล่องตัว ในการร่วมสนุก กับการเล่นพนันออนไลน์ ได้อย่างมากมาย และดีมาก กับการที่ร่วมสนุก กับการพนันไก่ชนซึ่งแน่นอนว่า สร้างรายได้ ให้กับสมาชิก และสามารถตอบโจทย์ ความต้องการ ในการเลือกวางเดิมพัน ในกีฬาประเภทนี้ ได้เป็นอย่างดี
ข่าวกีฬาออนไลน์ ข่าวสด รู้ทันข่าว ติดตามได้เพิ่มเติมที คาสิโนออนไลน์ ฟรีเงิน2020
0 notes
Photo
สมัครสมาชิก กับทางเว็บเรา ยูฟ่าเบท กับความหลากหลาย
เกมสล็อต (Slot) ออนไลน์ ในปัจจุบัน นั้นสำหรับ การเล่น และกำลัง ให้ความ นิยมอย่าง แพร่หลาย ซึ่งนักเล่น สามารถเข้า ถึงเกม Slot (สล็อตออนไลน์) ได้อย่าง ง่ายดาย ซึ่งมีผู้ใ ห้บริการ หลาย webdite ด้วยกันซึ่งทาง เว็บคาสิโนยูฟ่าเบท ก็เป็นผู้ ให้บริการ หนึ่งที่ ได้รับความ ไว้วางใจ ได้จากเหล่า นักเดิมพัน ในแนวหน้า มากมาย ซึ่งมา พร้อมกับ ระบบรักษา ความปลอดภัย ที่เข้มงวด เพื่อความสบาย ใจของท่าน และหมดปัญหา กังวลใจ ในการร่วม สนุกของ ผู้ลงทุน ยูฟ่าเบท ที่นี่คือ เกมSlot (สล็อต) ที่ให้มาก กว่าคำว่า กำไรหรือ จะรายได้ ซึ่งท่านสามารถ สมัครสมาชิก UFABET ได้อย่างดาย ทำได้ง่ายผ่าน website หรือจะช่อง ทางการ ติดต่อผ่าน
Line
Facebook Messager
Call center
ระบบของ UFABET จะทำให้ ท่านเพลิดเพลิน และสร้าง ความสนุก สนานรวม ไปถึง สามารถ ผ่อนคลาย ความเครียดที่ สะสมจาก การทำงาน หรือการ ทำกิจกรรม อื่นๆให้แก่ นักเล่นเดิมพัน ได้อย่างดีที่สุด ไม่ว่า คุณจะเคย เล่น Slot (สล็อตออนไลน์) จากที่ไหนมา มากน้อยแค่ไหน แต่เมื่อสมัครสมาชิก UFABET เพียงไม่กี่ชั้นตอน ก็สามารถร่วมสนุก กับเกม Slot (สล็อตออนไลน์) ได้ทันที
0 notes
Text
Review DBT613 Life design project
"จบไปจะทำงานอะไร?" คำถามที่มีความซับซ้อนมากที่สุดในสามโลก เพราะเรากำลังพูดถึงอนาคตที่เราไม่อาจเห็นภาพได้ชัดเจนเท่าไหร่นัก
หลายคนเวลาเจอคำถามนี้ก็เลือกที่จะหยิบตัวเลือกที่พ่อๆ���ม่ๆพอจะรู้จักมาตอบโดยที่จริงๆแล้วก็ไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก ว่างานนี้ทำอะไรหรือเป็นอะไร และกลุ่มที่แย่ที่สุด ซึ่งเราก็เป็นคนกลุ่มนั้น คือกลุ่มคนที่เคยกวาดสายตาไปหาคนรอบตัว หรืออาชีพที่มีคนพูดถึง แต่ไม่มีอาชีพไหนที่เราอยากทำเลย คนกลุ่มนั้นจึงได้แต่มองหาต่อไป จนได้มีโอกาสเรียนปริญญาโทที่โครงการการจัดการการออกแบบ (DBTM program) แล้วไปเจอวิชา DBT613 Life design ซึ่งตัวอาจารย์ก็เคลมเองว่า วิชานี้เกิดมาเพื่อช่วยเหลือคนที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ.. แบบพวกคุณ
โดยเนื้อหาส่วนใหญ่จะเอามาจากหนังสือ design your life :: How to Build a Well-lived, Joyful Life ของ Bill Burnett และ Dave Evans ที��เราเคยอ่าน
http://designingyour.life/the-book/ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ เขาจะมีวิธีการ"ออกแบบชีวิต"บอกให้เป็นขั้นๆเลย แต่ตอนนั้นอ่านไม่จบ เลยไม่ได้ทำสิ่งที่เขาบอกในนั้น
การได้มาเรียนในคลาสนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ลองทำ ลองเล่นอะไรๆแบบที่เขาแนะนำในหนังสือ โดยในหนังสือเริ่มจากเหตุผลง่ายๆก็คือ ผู้เขียนเป็นครูสอนการออกแบบ และพบนักเรียนมากมายที่เจอปัญหาในชีวิตการทำงาน บางคนไม่ได้ทำงานตามที่ฝัน และไม่รู้จะเปลี่ยนงานยังไงในวัย 30 กว่าๆ หรือบางคนได้ทำงานที่ตัวเองเคยคิดว่าชอบ แต่ความจริงแล้ว เขาชอบแค่บางส่วนของงาน ไม่ได้ชอบทำตัวงานทั้งหมด เช่น เขาชอบทำอาหาร ก็เลยไปเปิดร้านอาหาร แต่พบว่าตัวเองไม่ได้ชอบขายอาหารด้วย ทำบัญชีด้วย และไม่ได้ชอบการทำธุรกิจ นี่คือแรงบันดาลใจให้ผู้เขียนเริ่มเขียน เริ่มบอกเล่าถึงวิธีการ หรือเครื่องมือการออกแบบบางอย่างที่ช่วยให้เราได้"ค่อยๆสร้างแนวทางชีวิตของตัวเอง"ที่ใช้คำว่าสร้างเพราะแนวทางที่เราวาดฝันไว้อาจจะไม่���ีอยู่จริง แต่เราต้องสร้างมันขึ้นมาเอง
กลับเข้ามาสู่ห้องเรียนในวิชา Life design อย่างแรกที่วิชานี้บอกเราก็คือ เนื่องจากแนวคิดในการใช้ชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นการออกแบบชีวิตของแต่ละคนจึงแตกต่างกันออกไป อาจารย์จึงบอกว่าไม่ต้องเชื่อแนวทางนี้ทั้งหมดก็ได้แต่ให้ลองทำดูแล้วคุณอาจจะเจออะไรที่นำไปปรับใช้กับชีวิตคุณได้
ในวันแรกอาจารย์ให้เริ่มจากจุดที่เราอยู่ในปัจจุบันโดยไม่สนใจว่าแต่ละจะมีอดีต มีพื้นเพยังไง ครอบครัวคาดหวังยังไง โดยจะมีกิจกรรม ให้ลองวิเคราะห์สถาณการณ์ใ��ชีวิตตัวเองในปัจจุบันว่าเป็นยังไงบ้างในด้านต่างๆ โดยการให้คะแนนตั้งแต่ 0-100 คะแนน
ซึ่งมีทั้งด้านสุขภาพ(Health): สุขภาพกายและสุขภาพจิต ตอนนี้เป็นอย่างไร ได้ดูแลตัวเองในด้านนี้มากแค่ไหน และพอใจกับมันรึยัง จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ให้คะแนนเท่าไหร่?,
ด้านการทำงาน(Work): มีความสุขกับการทำงานมั้ย ได้รายได้หรือผลตอบแทนตามที่ตั้งใจไว้มั้ย หรือกำลังเรียนอยู่ แล้วทำงานโปรเจคต่างๆได้ดีมั้ย จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ให้คะแนนเท่าไหร่? ,
ด้านการได้เล่น(Play): มีงานอดิเรกมั้ย ได้ทำสิ่งอื่นๆที่นอกจากเรียน หรือทำงานอย่างเพียงพอมั้ย จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ให้คะแนนเท่าไหร่? ,
และด้านความรัก(Love): รู้สึกเป็นที่รักมั้ย มีความสุขในทุกๆความสัมพันธ์รึยัง? จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ให้คะแนนเท่าไหร่?
[ประเมินชีวิตตัวเองตอนนี้ในด้านต่างๆ]
พอได้วิเคราะห์ตัวเองกันบ้างแล้ว เพื่อนๆในคลาสส่วนใหญ่ก็จะเขินๆหน่อย เพราะการบอกว่าชีวิตของตัวเองมีปัญหาจนขนาดต้องมาเขียนๆ มันเป็นเรื่องที่ยากเหมือนกัน เพราะเราชอบชิวๆกับชีวิต พอเจออะไรเข้ามาก็อาจจะไม่ได้คิดอะไรมากเป็นประเด็นจนถึงขนาดต้องเขียนออกมา แต่คราวนี้อาจารย์ให้ลองคิดเป็นว่าชีวิตเราจะเป็นอะไรได้มากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มั้ย? ดีได้มากขึ้นอีกมั้ยในอนาคต? แล้วช่องว่างระหว่างอนาคตที่คิดไว้กับตอนนี้มันต่างกันเยอะมั้ย? ถ้าอนาคตเต็ม 100 คะแนน ตอนนี้ปัจจุบันอยู่ที่เท่าไหร่ ก็เขียนให้คะแนนไป จากการลองทำพบว่า ถ้าเป็นโจทย์แบบนี้รู้สึกว่าเขียนง่ายขึ้น เพราะไม่ได้มองว่าชีวิตเรามีปัญหาอะไร(ซึ่งคนจะมองว่าเป็น��ำถามในแง่ลบ ไม่อยากตอบ) แต่ให้มองว่าชีวิตจะดีได้มากขึ้นกว่านี้อีกมั้ย พอเขียนเสร็จแล้วก็จะมาเลือกว่าเราสนใจจะปรับปรุงด้านไหนของชีวิตก่อน เราเลือกงาน และเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆก็เลือกงาน เพราะเป็นโจทย์ที่ท้าทายที่สุด และเหมาะกับช่วงเวลานี้ที่สุดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจากการเป็นนักศึกษา ไปสู่การเป็นคนทำงาน
อาจารย์บอกว่าพอรู้แล้วว่า เราอยู่ที่ไหน ก็ต้องกำหนดปลายทางว่าเราจะไปที่ไหน ซึ่งหลายๆคนรวมถึงเราจะมาตายเอาตรงนี้ เพราะเราก็ไม่แน่ใจในอนาคตแบบแน่ชัดว่าจะเป็นอะไร จะทำอะไร ก็เลยทำให้ล้มเลิกการตั้งเป้าหมายให้ตัวเองไปด้วย แต่ในคลาสก็แก้ปัญหาด้วยการเขียนเป้าหมายแบบกว้างๆโดยใช้ชื่อว่า Work view และ Life view ซึ่งเป็น มุมมองต่อชีวิต และต่อการทำงานในอุดมคติว่า งาน หรือชีวิตที่เราอยากทำควรเป็นแบบไหน จะมีหรือไม่มีอะไรบ้างแบบกว้างๆและไม่ต้องยึดจากความจริงทั้งหมด ให้ยึดจากตัวเราเป็นหลัก ในขั้นตอนนี้จึงไม่เรียกว่าเป็นการกำหนดเป้าหมายแต่เป็นการสร้างเข็มทิศของตัวเอง ที่ไว้คอยนำทางในเชิงว่า “ปลายทางอยู่ที่ไหนไม่รู้ละ แต่ว่าเรามาถูกทางแล้ว”
[เขียนสะท้อนตัวเองในเรื่อง Work view และ Life view ] แต่ถ้าไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าจะทำอะไร ไม่มีเป้าหมายไม่มีแผนการณ์ก็ทำอะไรกับอนาคตไม่ได้น่ะสิ ก่อนที่ทุกคนจะรู้สึกไม่แน่ใจกับวิชานี้ไปมากกว่านี้ว่าจะช่วยเขาได้จริงๆรึป่าว อาจารย์ก็ได้บอกว่า “เด๋วพวกคุณจะได้เขียน 5 years plan ในอีกสองถึงสามสัปดาห์ต่อมาแน่ วางใจได้ผมจะให้คุณเขียนแผนการณ์แน่นอน แต่ก่อนอื่น ผมรู้ว่าคุณรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองน้อยมาก”
ซึ่งอันนี้ทุกคนก็ยอมรับว่า เขารู้แค่ตัวเองชอบอะไรไม่ชอบอะไรแต่ไม่รู้ว่าตัวเองถนัดอะไร ซึ่งวิธีการที่ให้ได้มาซึ่งการรู้จักตัวเองในระดับลึกคือ การให้การบ้าน ให้ทุกคนไปจดบันทึกตัวเอง และไปทำแบบทดสอบหาว่าคนแบบเราถูกผลักดันด้วยอะไร
เนื่องจากอาจารย์คนนี้ ชื่นชอบเกมส์ ในแง่ที่มันทำให้คนติดเกมส์ หลงใหลไปกับมัน อาจารย์จึงให้แบบทดสอบที่สังเกตพฤติกรรมการเล่นเกมส์ของเรา เพื่อนำมาแปลงผลว่าเรามีแรงผลักดันอะไรบ้างในการทำหรือไม่ทำ��ิ่งใด
อันนี้เป็นแบบทดสอบ
https://gamified.uk/UserTypeTest2016/user-type-test.php#.W0szydIzbIU
และ อันนี้เป็นบทวิเคราะห์
https://gamified.uk/user-types/
นอกจากทำแบบทดสอบแล้ว อาจารย์ให้เราทุกคนไปจดบันทึกตัวเอง แต่ถ้าเป็นแบบไดอารี่ไปเลย ก็คงอาจจะไม่ได้อะไรมากขึ้น อาจารย์เลยแนะนำให้ประเมินกิจกรรมที่ตัวเองทำในแต่ละวันด้วย ความหมายคือเมื่อเราทำอะไรบางอย่างให้เราประเมินความรู้สึก ความนึกคิดของตัวเองด้วยว่าเราคิดยังไงกับมัน
[การวัดผลกิจกรรมที่ทำในแต่ละวันด้วย Engagement gauge และ Energy gauge]
โดยมีหลักการประเมินอยู่สองอย่างง่ายๆคือ Engagement และ Energy โดย Engagement คือความรู้สึกมีสมาธิ สนอกสนใจเรื่องใดเรื่องนึง ซึ่งจุดสูงสุดของภาวะนี้คือการลืมวัน ลืมเวลาไปเลย หรือที่เรียกกันว่า Flow ส่วนอีกตัวคือ Energy สิ่งที่ทำอยู่นี้หลังจากทำเสร็จแล้ว มันให้พลังเรามั้ย ให้เรามีแรงไปทำอย่างอื่นต่อมั้ย ตัว Energy เป็นตัวความรู้สึกล้วนๆ ว่าเราทำเสร็จรู้สึกเบื่อ เหนื่อย หมดแรงอะไรแบบนี้มั้ย ซึ่งไม่ได้จำกัดในกรณีแค่เล่นกีฬาแล้วเหนื่อยอย่างเดียวนะ แต่เป็นการคุยกับคนแล้วเหนื่อย หรือแก้ปัญหางานแล้วหมดไฟทำงานเป็นวัน เรื่องแบบนี้คือเรื่อง energy ทั้งหมดเลย พอสั่งการบ้าน ได้งานแล้ว เรากับคลาสนี้ก็จะมาเจอกันอีกทีในอีก 3-4 สัปดาห์ข้างหน้า... เพื่อให้เวลาให้เราและเพื่อนๆในวิชาได้ลองไปสำรวจตัวเองก่อน..............
...
..
.
3 สัปดาห์ผ่านไป ไวเหมือน 3 บรรทัด ทุกคนกลับมาในคลาสด้วยหน้างงๆ คุยกันในกลุ่มเพื่อน แล้วตั้งคำถามว่า แล้วแบบยังไง? ฉันชอบเล่นเกมส์แต่ไม่มีคนจ้างฉันเล่นเกมส์นิ อีกคนชอบเป็นพิธีกร เป็นคนตัดต่อวีดีโอ แต่ก็ไม่เก่งพอที่จะไปทำงาน บางคนที่รู้จักตัวเองมาระดับนึงแล้ว ก็จะไม่ค่อยแปลกใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นซักเท่าไหร่
[การจดบันทึกในช่วง 3-4 สัปดาห์] ส่วนเรา จากการที่ไปลองเขียนบันทึกเพื่อสำรวจตัวเองมา ถึงแม้เราจะรู้จักตัวเองมาบ้าง แต่มันก็ทำให้เห็นอะไรมากขึ้น ทั้งในแง่กิจกรรมที่เราชอบ กิจกรรมที่เราทำได้ดี และกิจกรรมที่เราไม่รู้ว่าตอนเราทำ เรามีสมาธิกับมัน หลงไหลไปกับมันมากขนาดนี้ ในช่วงสัปดาห์ที่จ��บันทึกนั้น ก็ได้มีโอกาสลองทำกิจกรรมใหม่ๆเข้ามาด้วย มันก็เลยทำให้ได้เห็นหลายๆมุมของตัวเอง พอทำบันทึกแบบนี้แล้ว ผลข้างเคียงคือ มีสมาธิมากขึ้น(จากการสังเกตตัวเองเพื่อบันทึก)
หลังจากที่ได้รู้จักตัวเองแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการยำๆสิ่งที่ตัวเองเป็น สิ่งที่ตัวเองมีออกมาสร้างเป็นอาชีพใหม่โดยให้ลองคิดไอเดีย Job description ของตัวเองออกมา จากสิ่งที่เราเป็น แบบที่ไม่ต้องยึดหลักความเป็นจริงมาก โดยใช้หลักการ Ideation วิธีการทำคือหยิบกระดาษใหญ่ๆมาหนึ่งใบ แล้วเขียนคำที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราเป็นจากกิจกรรมที่เคยได้ทำก่อนหน้านี้ แล้วพยายามคิดคำที่เกี่ยวข้องหรือใกล้เคียงแตกออกมาจาก คำตรงนั้นในลักษณะ Mind map เขียนให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำให้ ทำอย่างนี้ 3 วง แล้วเอาคำข้างนอกสุดที่เตะตาเรา 3 คำรวมกันมาเป็น keyword ในอาชีพของเรา ข้อแนะนำคือคิดโดยไม่ต้องยึดหลักความเป็นจริง จะแปลกจะพิสดารยังไงก็ได้
ซึ่งเราก็ได้ลองทำกิจกรรมนี้แล้ว ปรากฏว่าได้เป็นอาชีพ นักเล่าข่าวร้าย เพราะข่าวร้ายมันเล่ายาก จะพูดก็ลำบากใจ เราจะเป็นคนช่วยบอก ช่วยเล่าข่าวร้ายให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด สร้างความหดหู่เศร้าหมองน้อยที่สุดเป็นต้น การทำกิจกรรมนี้ทำให้เพื่อนๆหลายคนได้แชร์อาชีพแปลกๆของตัวเองกันเช่น Story designer ,Collector เป็นต้น
หลังจากทุกคนเริ่มมองโลกในแง่บวกเกี่ยวกับความสามารถ ความชอบของตัวเอง ว่าจริงๆแล้วก็ยังพอจะไปทำอะไรได้อยู่บ้าง อาจารย์ก็พลิกมู้ด แล้วบอกให้เรามาเขียนแผนการณ์ 5 ปีของตัวเองกัน
และช่วงต่อไปนี่ล่ะที่จะเป็นของจริงของวิชานี้ โดยกติกาของการเขียนแผนการณ์ 5 ปีของวิชานี้คือ คุณจะหยิบอาชีพที่คุณคิดขึ้นมาเมื่อกิจกรรมที่แล้วก็ได้ หรืออาชีพที่คุณสนใจอยู่แล้วมาใส่แผนการณ์ 5 ปี ของคุณ โดยเราเรียกมันว่า Odyssey plan เป็นการเขียนสิ่งที่เราวางแผนวาดฝันไว้ในอนาคตในอีก 5 ปีข้างหน้า(โดยจะเน้นไปที่การทำงาน)
การเขียนแผนแบบนี้ทำให้เราไม่เพ้อฝัน และพยายามคิดว่าจะทำปัจจุบันยังไงเพื่อไปถึงอนาคตแบบที่วาดไว้ โดยอาจารย์ไม่ได้ให้เราเขียนแค่ 1 แผนการณ์แต่ให้เขียนถึง 3 แผน!! โดยแต่ละแผนการณ์ต้องเป็นแผน A (Plan A) ทั้งหมด หมายความว่าแผนที่ 2 และ 3 จะไม่ใช่แผนสำรอง แต่เป็นแผนดีๆเหมือนกันแบบที่สมมติว่าเรามีสามชีวิต เราก็จะมีอนาคต 3 แบบที่ไม่เหมือนกัน และแต่ละแผนก็ดีที่สุดในแบบของมันเอง จุดนี้เป็นแก่นของวิชานี้เลยก็ว่าได้ ที่ไม่ยอมให้เรามีคำตอบที่ดีที่สุดคำตอบเดียว และนี่ก็ไม่��ช่การกระจายความเสี่ยงแบบที่ถ้าไม่ได้ A แล้วจึง B แต่เน้นให้เราสำรวจความเป็นไปได้ของชีวิตเราในอีก 5 ปีข้างหน้าของเราทั้งหมด และในตอนทำกิจกรรมนี้จำได้ว่าเป็นช่วงที่ต้องให้เวลากับตัวเองมากในการคิดแผนที่ 2 และแผนที่ 3 อาจารย์แนะนำเพิ่มเติมว่า สมม���ิว่าถ้าคุณอยากทำงานธนาคาร แต่ปีต่อมา ธนาคารล้มละลาย คนไม่ได้ใช้เงินสด และไม่ได้ฝากเงินอีกต่อไป อาชีพการทำงานธนาคารหายไปจากโลก ถึงตอนนั้นคุณจะทำอะไร? หรือถ้าคุณได้พรวิเศษที่จะทำให้คุณทำอะไรก็ทำสำเร็จ คุณอยากทำอะไร
[แผ่นสำหรับเขียน Odyssey plan ]
พอเขียนแผนการณ์ 5 ปี ออกมา 3 แผนแล้ว เราก็จะมาวิเคราะห์แผนการณ์ที่ตัวเองเขียนด้วยหัวข้อดังนี้ เราชอบแผนนี้มากแค่ไหน(Like it)
เรามีพื้นฐานหรือ ความสามารถพอที่จะทำแผนนี้ให้เป็นจริงมากน้อยแค่ไหน(Resource)
เรามั่นใจกับแผนนี้มากแค่ไหน(Confidence)
และแผนนี้มันสัมพันธ์กับเข็มทิศของเรามากแค่ไหน(Coherence)
พอประเมินแล้วเราก็จะมาเขียนคำถามที่เราไม่แน่ใจ กังวลใจ หรืออยากได้คำตอบเพื่อจะตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าจะไปต่อกับเส้นทางนี้หรือไม่ไปต่อ คำถามพวกนั้นมีอะไรบ้าง ซึ่งมาสังเกตสิ่งที่ตัวเองก็จะพบว่ามันเป็นความกังวล กังวลว่าพอไปทำงานจริงๆแล้วจะไม่เหมือนภาพในหัวที่เราคิดว่าอาชีพนี้มันจะดียังงั้น ดียังงี้
หลังจากที่เราเริ่มรู้จักตัวเอง และขมวดประเด็นต่างๆที่เกี่ยวกับตัวเรามาสร้างเป็นแผนการณ์ 5 ปีจำนวน 3 แผนแล้ว และมีการประเมินสถานการณ์เบื้องต้นต่างๆแล้ว ต่อไปจะเป็นกิจกรรมยาวๆ 3 เดือนเลย
3 เดือนที่เราจะลองไปทำแผนการณ์เหล่านั้นกัน!!
แต่เด๋วก่อนๆนี่มันแผน 5 ปีไม่ใช่แผน 3 เดือน ต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่ๆ เพราะปกติแนวทางการตั้งเป้าหมายชีวิตคือกำหนดเป้าหมายว่า 3-5 ปีข้างหน้าว่าเราอยากเป็นอะไร(5 Years plan) แล้วค่อยกำหนดแผนปฏิบัติการ(Action plan) ในปีที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม และมีการวัดผลเรื่อยๆ นี่เป็นวิธีปกติ แต่ทำไมอาจารย์ถึงให้เวลาแค่ 3 เดือนในการลงมือทำล่ะ?? แถมมีถึง 3 แผน
ซึ่งคำตอบก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราประหลาดใจเหมือนกัน อาจารย์บอกว่าคอนเซ็บของวิชา Life design นี้ เขามีความเชื่อว่า เราคาดการณ์อนาคตไม่ได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้น���ผนการณ์ที่เราเขียนขึ้นมา จะไม่มีทางเหมือนที่คิดไว้ 100% และถ้าเกิดทำตามแผนไป 3 ปีแล้วพบว่าไม่ใช่ล่ะ? จะทำยังไง? วิธีที่ทำได้คือทดสอบแผนการณ์ซึ่งในภาษาการออกแบบเรียกว่า Prototype หลังจากเรามีแผนการณ์แล้ว เราต้องคิดวิธีการทดสอบ คำถามสามคำถาม ที่เป็นพวกความกังวล ความไม่แน่ใจ หรือคำถามที่อยากได้คำตอบเพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น
"เราไม่รู้มีทางรู้หรอกว่างานที่เราทำจะชอบมั้ยจนกว่าจะได้ไปลองทำ" แล้วก็มีเพื่อนในห้องแย้งขึ้นมาว่า อาจารย์ผมอยากเป็นนักบินอวกาศ แล้วผมจะลองเป็นลองทำได้ยังไง? อาจารย์ก็แนะนำว่าเราสามารถทดสอบแผนการณ์ได้หลายแบบ ทั้งเข้าไปลงมือทำเลย การไปฝึกงาน หรือวิธีที่ง่ายที่สุดคือ คุยกับคนที่เก่งๆในสาขาวิชานั้น คุยเพื่อให้รู้จักตัวอาชีพเขา วิธีการทำงาน รวมถึงวิถีชีวิตด้วย อาจารย์บอกว่า มีหลายคนที่ได้ทำงานที่ชอบไม่นาน เพราะเขาไม่ได้ชอบวิถีชีวิตแบบที่งานนั้นบังคับให้เป็น เช่น การเป็นฟรีแลนซ์ คุณอาจจะทำงานไม่เป็นเวลานะ คุณรับได้มั้ย คุณอาจจะต้องทำงานข้ามวันเลยนะ คุณรับได้มั้ยเป็นต้น
มีคนถามว่าจะหาคนเหล่านั้นจากไหน? อาจารย์ก็ตอบว่าให้ใช้วิธีให้คนอื่นแนะนำให้เราไปรู้จักกับอีกคน(referral) หรือเราจะตัดแค่ส่วนๆหนึ่งของหน้าที่ในงานนั้นมาลองทำก็ได้ ตัวอย่างเช่น เพื่อนอยากเปิดร้านขายเค้ก นอกจากจะไปถามเจ้าของธุรกิจร้านเค้ก ให้ลองถามตัวเองดีๆ ส่วนที่เป็นแก่นของอาชีพนั้นคืออะไร ที่ทำให้อาชีพนั้นมีคุณค่า เช่นแก่นของธุรกิจร้านเค้ก คือการขายเค้กเป็นหลัก ให้เราพอได้แก่นมา ที่เล็กพอที่เราจะลองทำอะไรกับมันได้ อย่างในตัวอย่างนี้คืออยากเปิดร้านขายเค้ก ก็อาจจะลองทำเค้กไปฝากร้านขายก่อน หรือขายเพื่อนก่อนโดยที่ยังไม่มีหน้าร้าน เท่านี้ก็ทำให้เราพอรู้ และได้ข้อมูลมามากพอแล้วที่จะบอกได้ว่าแผนการณ์ในอนาคต ของเราใช่เราหรือไม่
ซึ่งการทำในแต่ละครั้ง ให้เอาความรู้สึก ความรู้ ประสบการณ์ที่ได้มาปรับปรุงแผนการณ์ของเราให้เข้าใกล้ความจริงมากยิ่งขึ้นๆ หรือเหมาะกับตัวเรามากขึ้น ซึ่งอาจารย์บอกว่าทำใจหน่อยนะ คุณอาจจะต้องผิดหวังกับแผนของคุณ และคุณจะต้องเจอคนมากมาย แต่ทั้งหมดก็เพื่อให้คุณไม่ต้องไปเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ใช่ในชีวิตของคุณ..
สุดท้ายก่อนที่จะแยกย้ายกันไปลุย"สนามจริง" อาจารย์ได้เล่าอะไรให้ฟังอย่างหนึ่ง "เอาจริงๆแล้วงานดีๆที่คุณตามหาไม่ได้อยู่ในอินเตอร์เน็ต ไม่ได้อยู่รอบตัวคุณ แต่มาจากคนที่คุณรู้จักมากกว่า งานบางอย่าง���ขาไม่ประกาศหาคนตามที่ทั่วๆไป แต่เขาหาจากการให้คนแนะนำต่อๆกันมา ซึ่งในสังคมไทยอาจจะมองว่าเส้นสาย แต่การทำแบบนี้ก็เพราะมันเป็นการคัดคนได้ในระดับหนึ่งจากคนที่มีอยู่มากมาย ก็คนที่เก่ง คนที่มีความสามารถมักมารวมตัวกัน และรู้จักกัน แต่คุณดันไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในกลุ่มนั้นก็เท่านั้นเอง" เรื่องนี้อาจารย์ก็ท้าพวกเราไปเหมือนกัน เชื่อมั้ย จะมีคนบางคนได้งานที่ตัวเองสนใจจากการทำกิจกรรมแบบนี้
ในเวลา 3 เดือนจะเป็นเวลาที่เราได้เจอความจริงในโลกความจริง
เราเขียนแผนการณ์ 5 ปีของเรา โดยแผนแรก เราอยากทำธุรกิจ เราอยากเปิดบริษัทของตัวเอง
สำหรับแผนนี้ เราชอบ 80% เรามีฐานกับเรื่องนี้ 70% เรามั่นใจกับแผนนี้ 80% แต่แผนนี้ไม่ค่อยเกี่ยวข้องเข็มทิศที่เราเขียนไว้แบบเป้ะๆ 50%
สำหรับแผนการณ์นี้ สิ่งที่เรากังวล���จ หรือคำถามที่เราอยากหาคำตอบก็คือ เรื่องเกี่ยวกับวิถีชีวิตนี่ล่ะ เราได้ยินว่าคนทำธุรกิจเครียดมาก นอนไม่ค่อยหลับ คิดๆๆตลอดเวลา และเป็นหนี้หัวโต เราอยากรู้ว่าจริงมั้ย? และจะจัดการความเสี่ยงพวกนี้ยังไง ไม่ให้กระทบชีวิตด้านอื่นๆ และเรื่องที่เราจะเหมาะมั้ย เราจะเบื่อรึป่าว เราได้ยินว่าคนทำธุรกิจต้องไหวพริบดี คุยเก่ง แต่นั่นไม่ใช่เราเท่าไหร่เลยนะ เราต้องเป็นคนแบบนั้นจริงๆหรอ หรือมีวิธีปิดข้อด้อยเหล่านี้มั้ย แค่นี้ละ ที่เรารู้แล้วจะตอบได้ว่า นี่คือสิ่งที่เราอยากเป็นรึป่าว
แผนการณ์อีกอันนึงคือ เราคิดจากว่าถ้าเราไม่ได้ทำธุรกิจแล้ว ตลาดหุ้นและระบบทุนนิยมล่มสลาย เราไม่สามารถใช้ความสามารถกอบโกยเงินจากตลาดได้เราจะทำอะไร? เราก็คิดแบบที่ไม่เคยมีความคิดนี้มาก่อนจริงๆ
คือเราอยากเป็นนักวางแผนนโยบายประเทศ! ความคิดนี้หายไปจากเรามานานมาก เพราะเรารู้สึกว่าการทำงานภาคสังคมทำได้แค่เยียวยาสังคม แต่ยังไงมันก็จะไม่เปลี่ยนสังคม ภาคเอกชนเท่านั้นที่จะมีพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ถ้าไม่มีธุรกิจ เราจะมาสายการเมืองเลยนี่ล่ะ! ซึ่งแผนนี้
เราชอบแผนนี้นะ บ้าพลังดี 85% เรามีฐานกับเรื่้องนี้น้อยมากๆ แทบไม่รู้เรื่���งเลย กระบวนการทางการเมือง การวางแผนนโยบายที่เคยสอนในวิชา สปช.และหน้าที่พลเมืองก็ลืมไปหมดแล้ว 40% เรามั่นใจกับแผนนี้ประมาณ 40% คือไม่ค่อยแน่ใจในหลายๆเรื่องเช่น ต้องมีเส้นสายมั้ย ต้องเป็นคนพูดเก่งรึป่าว ซึ่งแผนนี้ใกล้เคียงกับเข็มทิศของเรานะ 70%
สำหรับเรื่องนี้เรามีความกังวลใจหลายอย่างเลย คือการทำงานด้านการเมืองด้านนโยบาย เข้าใจว่าเราต้องทำงานร่วมกับภาครัฐที่ใครๆก็พูดว่ามันไม่ประสิทธิภาพ มันล่าช้า มีการฉ้อโกงกันเยอะ เราจำเป็นต้องทำงานกับภาครัฐมั้ย หรือมีวิธีอื่นที่เราได้ทำงานนี้โดยไม่ต้องทำงานกับภาครัฐโดยตรง แล้วฉันต้องเตรียมตัว วางแผนอะไรยังไงบ้าง ต้องเรียนอะไรเพิ่มมั้ย หรือต้องมีเส้นสายแบบที่ใครๆก็พูดรึป่าว
ซึ่งในวิชานี้เราลักไก่ ไม่ได้เขียนสามแผน เขียนและทำแค่สองแผน เพราะไม่มีเวลา 55 ในแผนแรก ที่เราอยากเป็นนักธุรกิจ เราเริ่มจากการไป สังเกต และทำงานเป็นลูกมือพ่อที่รีสอร์ท ไปดูสิ่งที่ไม่เคยดู ถามสิ่งที่ไม่เคยถาม เราได้เห็นกิจวัตรของคนทำที่พักต้องเจอคือ มีตำรวจแวะมาเยื่ยมบ่อยๆ มีลูกค้าบ่นในอินเตอร์เน็ต หรือการดูแลบริหารจัดการคนงาน ซึ่งการไปดูครั้งนี้ไม่ได้ช่วยให้เราตอบคำถามได้มากนัก แต่ทำให้เราได้ทบทวนตัวเองว่าคำว่านักธุรกิจมันกว้างมากเลยนะ มีนักธุรกิจหลายแบบมากทั้งซื้อมา ขายไป ทำสินค้าขาย หรือขายบริการ มันกว้างมากกก
เราเลยทำให้คำนี้มันเล็กลงและเจาะจงมากขึ้น โดยสิ่งที่น่าจะตรงกับเรามากขึ้นอีกนิด คือเราสนใจอยากจะเปิดบริษัท Consultant เราจึงได้นัดคุยกับพี่คนนึงที่ได้ยินว่าเขาเพิ่งจบไป 2 ปีแต่เปิดบริษัท Consult เป็นของตัวเองแล้ว เราจึงทัก facebook ไปหาเขา บอกเขาว่าเราสนใจธุรกิจด้านนี้ ช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยได้มั้ย ก็เลยได้คุยกันถึงเนื้องาน วิธีการทำงาน และช่วงแรกๆที่เปิดบริษัท มีช่วงนึงเขาเล่าว่า "จริงๆแล้วคนชอบพูดว่าคนที่จะเป็นที่ปรึกษา ต้องดูมีอายุ ดูน่าเชื่อถือ ซึ่งเด็กๆอย่างเราก็สามารถทำให้น่าเชื่อถือได้โดยการเปลี่ยนการแต่งตัว ตัดผม และ ตอนให้คำปรึกษาก็ไม่ต้องเป็นคนพูดเก่งก็ได้ แค่ฟังให้เป็น ถามให้ถูกจุดก็พอ" การได้คุยกับพี่เขา ช่วยตอบคำถามให้เราได้บางข้อแล้ว
ต่อมาพี่เขาก็แนะนำให้ลองไปโครงการอบรมผู้ประกอบการที่นึง ที่น่าจะช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องวิธีการจัดการความเสี่ยงในธุรกิจได้ดีขึ้น เราสมัครโครงการอบรมไป และไป��ข้าร่วมเป็นเวลาสามวันที่สอนแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง Lean start up เป็นแนวคิดและกระบวนในการทดสอบไอเดียทางธุรกิจเพื่อลดความเสี่ยง และเป็นการปรับปรุงพัฒนาสินค้าอย่างรวดเร็วโดยการสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบ(build) วัดผลตอบรับ(measure) และเอาผลมาปรับทิศทางธุรกิจ ปรับปรุงสินค้า(Learn) ซึ่งในโครงการจะได้ลองทดสอบไอเดียทางธุรกิจจริงๆ วัดผลและปรับปรุงตัวไอเดียจริงๆ นอกจากนี้ในงาน มีกลุ่มคนหลากหลายที่สนใจธุรกิจ เราได้คุยกับพี่คนนึงที่เขาทำ start up เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เราถามเขาว่าพี่จัดการความเสี่ยงในธุรกิจยังไงไม่ให้กระทบด้านอื่นในชีวิต เขาก็บอกว่า เขาเอาด้านต่างๆในชีวิตมาลงกับธุรกิจด้วยทั้งการหาที่พักใกล้ที่ทำงาน ปรับตัวให้คล่องตัวต่อการมาทำงาน นอนเร็วขึ้น หยุดเล่นเกมส์ เท่านี้ชีวิตด้านอื่นก็ไม่กระทบแล้ว ฟังแล้วดูเหมือนตอบไม่ตรงคำถามแต่ความหมายของพี่เขาก็คือ น่าจะเป็นว่าให้ปรับวิถีชีวิตให้เข้ากับงาน ฉะนั้นเลือกงานดีๆ ซึ่งพี่คนนี้น่าสนใจมากที่ในทีมธุรกิจมีคนเก่งๆที่อายุมากกว่าเขาหลายคน เขาไปเจอคนแบบนี้ได้ยังไง ชวนเขามาร่วมงานยังไง พี่เขาก็ตอบว่าก็เจอมาจากงานอีเว้น งานอบรมแบบนี้ล่ะ ที่คนสนใจเรื่องธุรกิจมาอยู่รวมตัวกัน มาสัมนา ในงานเราได้เจอกับพี่อีกคนนึง เขารับ consult ธุรกิจอยู่เหมือนกัน เขาบอกว่าธุรกิจ consult นี่คือธุรกิจขายอากาศ เราช่วยแนะนำสิ่งที่เขาไม่มีความถนัดหรือความเชี่ยวชาญ และบางทีเราอาจจะต้องไปทำให้เขาด้วย คือแทบจะเป็นการจับมือทำเลยทีเดียว พอจบโครงการอบรม พอดีว่าอาจารย์ในคณะเรารู้จัก พี่ที่ทำบริษัท IT consultant พอดี ซึ่งตอนที่ได้คุยกันแรกๆเราก็ประทับใจ ในความคิดทางธุรกิจ ของเขา ทำให้เรามีคำถามในแผนการณ์นี้เพิ่มเข้ามาอีก มีหลักการหรือ ประสบการณ์ทางธุรกิจแบบไหนมั้ยที่เรายังไม่รู้อีก ซึ่งพอได้จังหวะเราจึงขอโอกาสเข้าไปฝึกงานกับพี่เขา ซึ่งเป็นที่ปัจจุบันที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้เอง
และ
ต่อมาเป็นการเริ่มแผนการณ์ที่เรากังวลที่สุดซึ่งเริ่มเวลาใกล้ๆกับแผนการณ์แรก เราเริ่มจากไปลงคอร์สเรียนเรื่องการเมือง การปกครองของมหาวิทยาลัย เพื่อศึกษาโครงสร้าง และกระบวนการทำงานวางแผนนโยบาย ซึ่งพอมีความตั้งใจชัดๆแบบนี้เลยได้รู้อะไรหลายอย่างๆ เช่น
การจะเป็นนักวางแผนนโยบายมีลู่ทางในอาชีพได้สามแบบ
หนึ่งคือเข้าร่วมกับพรรคการ���มือง
สองเข้ากับหน่วยงานวิจัยนโยบายเช่น TDRI
หรือทางสุดท้ายคือไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้าเขาเห็นเราเก่งด้านไหน เด๋วเขาก็ทาบทามเอง!! แล้วเราก็ได้มีโอกาสไปพูดคุยกับพี่ที่ทำ NGO ซึ่งได้คุยกันก็ทำให้รู้ว่า NGO ไม่ได้มีแต่พวกด่าๆแล้วก็ประท้วงอย่างเดียว แต่มีคนที่ทำเรื่อง human development ด้วย โดยที่นี่ใช้บอร์ดเกมส์สอนเรื่องประชาธิปไตย สอนการสื่อสารอย่างสันติ ทำให้เรารู้ว่าเราสามารถตั้งองค์กรแบบนี้ที่มีส่วนคอยสนับสนุนการทำงานของภาครัฐก็ได้ ต่อมาความสนใจของเรานำพาให้เราไปรู้จักธุรกิจ start up ที่ทำงานกับภาครัฐโดยตรง(Gov tech) โดยเราได้ไปคุยกับพี่คนนึงที่ทำธุรกิจแนวนี้พอดี เราได้ฟังปัญหาการทำงานร่วมกับภาครัฐ ได้รู้เกี่ยวกับสัญญาการทำงานที่เรียกว่า TOR ที่ทำให้การทำงานของเขาเป็นไปด้วยความยากลำบาก รวมถึงสิ่งที่เป็นปัญหาของคนที่อยากจะมาทำตรงนี้ที่ต้องตีโจทย์ให้แตกและคิดให้ออกคือ จะหาเงินมาจุนเจือธุรกิจยังไง ตอนนี้บริษัทของพี่เขา ยังคงต้องหาแหล่งเงินทุนอยู่ นอกจากนี้ เราได้คุยกับอาจารย์ที่ทำวิจัยเพื่อจัดทำแผนนโยบายให้ภาครัฐ เขาก็บอกว่าต้องยอมรับนะว่า สิ่งที่เกิดขึ้นยังคงเป็น Top down อยู่คือ ทางรัฐอยากได้อะไร เขาก็จะบอกมา แล้วให้ภาคเอกชนมาประมูลกันเพื่อเลือกว่าใครสมควรจะได้งาน
หลังจากที่พบว่าแผนการณ์ที่อยากเป็นนักวางแผนนโยบายช่างยากเย็นนัก แต่เราก็ยังคงพูดคุยกับคนในวงการต่อไปแม้จะเลย สาม เดือนมาแล้ว โดยเราจะไปคุยกับพี่ที่เคยทำงานพรรคการเมืองอยู่ เผื่อจะได้อะไรที่มาปรับแผนการณ์ของเราได้และเข้าใจอะไรมากขึ้น
[บันทึกช่วงเวลาสามเดือนที่ได้ออกไปคุยกับคนต่างๆในแวดวงอาชีพ]
ครบสามเดือนแล้ว! เราจดสิ่งที่ได้เรียนรู้ไว้ในสมุด และได้มีโอกาสทบทวนตัวเองถึงข้อคิดที่ได้มา สิ่งนึงที่เรารู้สึกเลยก็คือทัศนคติของคนรอบตัวเรามีผลต่อชีวิตเรามากกก โดยเฉพาะเรื่องอาชีพ หรือการทำงานนี่ละ อย่างเช่น เราก็คิดตามที่เคยได้ยินมาว่า คนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ จะได้เป็นนายตัวเอง เลือกเวลาเข้าทำงานได้ ได้ทำสิ่งที่ชอบ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่! นั่นมันคนรวย ไม่ใช่เจ้าของธุรกิจ เรามักเอาสองคำนี้มาเป็นความหมายเดียวกันเสมอๆ หรือถ้าอยากช่วยคน ก็ต้องเรียน... สิ หรือทำอาชีพ... สิ ซึ่งพอได้ออกมาเจอโลกความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นยังงั้น มันมีทางเลือกเยอะกว่านั้นอีกมาก แต่ประ���ด็นสำคัญไม่ใช่ว่าทางเลือกเยอะกว่า แต่เป็นสิ่งที่คนอื่นเขาพูดๆกัน บางทีอาจจะไม่เป็นจริงเลยในคนที่เขาทำสายงานนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นสิ่งนึงที่เตือนใจเราอยู่เสมอสำหรับการเรียนวิชานี้ก็คือ
"Keep update your software"
เพราะโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว โอกาสใหม่ๆก็เข้ามา ดังนั้นอย่ายึดติดอยู่กับความคิดความเชื่อเดิม ออกไปเผชิญโลกแห่งความเป็นจริง และทดสอบแผนการณ์ของเรากันเถอะ!!
0 notes
Text
“ฮิสทีเรีย” ไม่ใช่โรคบ้าผู้ชาย แต่มันคือ “นิมโฟมาเนีย”
ในสังคมไทย ตัวละครไหน หรือคนรู้จักคนไหนที่มีอาการ “บ้าผู้ชาย” หรือมีความต้องการทางเพศสูง มักถูกเรียกว่าเป็นโรค “ฮิสทีเรีย” แต่แท้ที่จริงแล้วโรคฮิสทีเรียไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับอาการต้องการทางเพศแต่อย่างใด
ฮิสทีเรีย คืออะไร ?
โรคฮิสทีเรีย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
โรคประสาทฮิสทีเรีย - Conversion Reaction คืออาการเครียด กังวลใจ หรือมีความคิดขัดแย้งภายในใจอย่างรุนแรง โดยจากความรู้สึกสามารถส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในระบบการเคลื่อนไหว และรับรู้ เช่น มีอาการอัมพาต ชาตามแขนชา - Dissociative Type คืออาการสูญเสียความทรงจำในเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรงจนจิตใจไม่อยากรับรู้เรื่องราวเหล่านั้น
บุคลิกภาพแบบฮิสทีเรีย ผู้ป่วยที่มีบุคลิกภาพแบบฮิสทีเรีย จะมีลักษณะแสดงออกทางอารมณ์ และท่าทางมากเกินกว่าปกติ เพื่อดึงดูดความสนใจจากคนอื่น เป็นอาการขาดความรัก ความอบอุ่นในวัยเด็ก และมักมีอาการแสดงออกคล้ายเด็กด้วย
ดังนั้นจะพบว่า ไม่มีอาการใดที่เกี่ยวข้องกับการมีความต้องการทางเพศสูงแต่อย่างใด เพราะอันที่จริงแล้วโรคนั้นคือ “นิมโฟมาเนีย”
นิมโฟมาเนีย คืออะไร?
โรคนิมโฟมาเนีย เป็นอาการทางจิตที่ส่งผลให้ผู้ป่วยไร้ความสามารถในการระงับอารมณ์ความต้องการทางเพศของตัวเองได้ ต้องการมีเพศสัมพันธ์หลายครั้ง รวมทั้งอยากช่วย��ัวเองหลายครั้งใน 1 วัน และมีความต้องการทางเพศอย่างมากจนไม่สามารถควบคุมสติของตัวเองได้ จึงทำให้ไม่สามารถไตร่ตรองคิดถึงคนที่จะมีเพศสัมพันธ์ด้วย รวมถึงผลกระทบที่จะตามมาในภายหลังได้
นอกจากความต้องการทางเพศที่ส่งผลถึงจิตใจแล้ว ยังแสดงอาการผ่านร่างกายอีกด้วย โดยจะพบขนาดมดลูกขยายตัว ช่องคลอดหลั่งสารหล่อลื่นมากผิดปกติ และคลิตอริสที่ขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งเป็นอาการที่บ่งบอกถึงความต้องการทางเพศ
ผู้หญิงที่เป็นโรคนิมโฟมาเนีย จะมีความเสี่ยงต่อการติดโรคทางเพศสัมพันธ์สูงกว่าคนทั่วไป คุณภาพชีวิตโดยรวมอาจแย่ลง เพราะหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องนี้จนไม่เป็นอันทำอะไร จน���ำไปสู่ภาวะซึมเศร้า และเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายในภายหลังได้เช่นกัน
นิมโฟมาเนีย ผู้ชายก็เป็นได้ ?
อาการความต้องการทางเพศสูงผิดปกติ สามารถเกิดขึ้นได้กับเพศชายเช่นกัน แต่จะมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สไตเรียซิส” (Satyriasis)
สาเหตุของโรคนิมโฟมาเนีย
สาเหตุของโรคนิมโฟมาเนีย มาจากกายภาพ และทางจิตใจ
สาเหตุจากกายภาพ เป็นความผิดปกติของกลีบสมองในส่วนขมับ (ซึ่งพบได้น้อยมาก) นอกจากนี้ยังอาจมีสาเหตุจากอาการข้างเคียงของการใช้ยาอันตรายบางชนิด เช่น แอมเฟตามีน และยาเสพติดชนิดอื่น ๆ
สาเหตุจากจิตใจ เกิดจากความผิดปกติทางอารมณ์ที่���ีความต้องการทางเพศมากเกินไป อารมณ์ไม่คงที่ สภาวะซึมเศร้าที่ทำให้สารเคมีในสมองเปลี่ยนไป หรือการได้เห็นคนร่วมรักกันตั้งแต่เด็ก
วิธีรักษาโรคฮิสทีเรีย และนิมโฟมาเนีย
เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดขึ้นกับสุขภาพจิต จึงจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากจิตแพทย์อย่างใกล้ชิด อาจได้รับยาในบางรายขึ้นอยู่กับลักษณะ และความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้น ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของจิตแพทย์ รับประทานยา และไปตามที่แพทย์นัดอย่างต่อเนื่อง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และได้รับการดูแล ใส่ใจ และความเข้าใจจากคนรอบข้าง จะทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นได้
0 notes
Text
เมซอง แบร์เช่ ปารีส ขอแนะนำน้ำหอมสำหรับบ้าน 7 กลิ่นใหม่ล่าสุด
📌 เมซอง แบร์เช่ ปารีส ขอแนะนำน้ำหอมสำหรับบ้าน 7 กลิ่นใหม่ล่าสุด
เมซอง แบร์เช่ ปารีส ขอแนะนำน้ำหอมสำหรับบ้าน 7 กลิ่นใหม่ล่าสุด เมซอง แบร์เช่ ปารีส (Maison Berger Paris) ผู้นำแห่งนวัตกรรมเครื่องหอมชั้นสูงสำหรับบ้านระดับโลก ชวนสร้างสุนทรียภาพแห่งความหอมภายในบ้านด้วยน้ำหอมสำหรับบ้านชนิดเติมตะเกียง 7 กลิ่นใหม่ พร้อมให้คุณเลือกตามความชอบใน 4 กลุ่มความหอม ได้แก่น้ำหอมกลิ่นใหม่ในกลุ่มดอกไม้ (The Floral) • Cherry Blossom ให้คุณได้สัมผัสมนต์เสน่ห์ความหอมละมุนของราชินีดอกไม้แห่งญี่ปุ่นอย่างดอกซากุระ ผสมผสานกับกลิ่นหอมธรรมชาติของชาเขียว แบล็คเคอแรนท์ สาหร่ายสีเขียว เลม่อน ไม้จันทน์หอม และผงอำพัน ที่จะสร้างบรรยากาศความโรแมนติค แต่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่น พร้อมคุณสมบัติในการผ่อนคลายและช่วยปลอบประโลมจิตใจ • Linen Blossom เคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นหอมอ่อนโยนของดอกลินินที่บานสะพรั่ง ผสมผสานกับดอกมะลิ และลิลลี่ภูเขา ตัดด้วยกลิ่นหอมจากใบไผ่ แอ๊ปเปิ้ล เมล่อน และมัสค์ ช่วยให้ความหอมหวานที่ลงตัวไม่เลี่ยนจนเกินไป พร้อมคุณสมบัติในการช่วยสร้างความสงบนิ่ง และดับอารมณ์ร้อนให้เย็นลงได้ • Bouquet Liberty เปิดประสบการณ์ความหอมหวานจากดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น วิสทีเรีย ลิลลี่ภูเขา และกุหลาบ ผสมผสานกับส่วนผสมที่ให้ความหอมแบบเย็นชื่นใจทั้ง ลูกแพร์ มะกรูด พิมเสน ไม้จันทน์หอม และโอ๊คมอส ที่ทำให้ได้ความหอม��ี่แปลกใหม่ไม่น่าเบื่อ พร้อมคุณสมบัติในการคลายความเครียด กังวลใจ และช่วยเสริมสร้างกำลังใจได้ดี น้ำหอมกลิ่นใหม่ในกลุ่มผลไม้ (The Fruit) • Extreme Orange สัมผัสความสดใสมีชีวิตชีวาของส่วนผสมหลักจากส้ม 2 สายพันธุ์ ได้แก่ ส้มซ่า และส้มฟลอริด้า ผสมผสานกับดอกฟรีเซีย กรีนโน้ต […] Via: เมซอง แบร์เช่ ปารีส ขอแนะนำน้ำหอมสำหรับบ้าน 7 กลิ่นใหม่ล่าสุด
>>
0 notes
Text
ภาษากายที่ควรสังเกตให้รู้ว่าน้องแมวไว้ใจเรา
เป็นที่รู้กันว่าโดยธรรมชาติแล้วน้องแมวนั้นเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างระแวง ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ ดังนั้นถ้าเราคอยหมั่นสังเกตว่าพฤติกรรมแมวแบบไหนที่แสดงออกมา เป็นการ��ื่อความหมายว่า ณ ตอนนั้นเค้ากำลังรู้สึกสบายใจ กังวลใจ กำลังอยู่ในอารมณ์แมวร่าเริง หรือเกิดความไว้วางใจเราได้หรือไม่ ก็จะช่วยให้เราคาดเดาและตอบสนองกับน้องแมวเพื่อสร้างความวางใจได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเพื่อนๆ จะสามารถจับจุดสังเกตที่สำคัญของร่างกายน้องแมวได้ ดังนี้ค่ะ
หางน้องแมว จุดสังเกตุแรกว่าเค้ามีความสุขหรือไม่
น้องแมวก็คล้ายกับสัตว์ประเภทอื่น ที่สามารถสื่อสารด้วยการเคลื่อนไหวของส่วนหางได้ค่ะ โดยเฉพาะเมื่อเวลาที่น้องแมวกำลังมีความสุข หรือเต็มเปี่ยมไปด้วยความไว้ใจเวลาที่อยู่ใกล้ๆ กับเรานั้น หางของน้องแมวจะมีลักษณะตั้งตรงแต่ปลายหางจะขดเป็นวงเล็กๆ น่ารัก หรืออย่างเวลาที่เค้าตกใจกลัว หางก็จะลดลงต่ำและไปซุกอยู่ที่ระหว่างขาหลังนั่นเอง ซึ่งเราสามารถสรุปพฤติกรรมแมวขยับหางเพื่อระบุอารมณ์ความรู้สึกของเค้าได้ง่ายๆ เพียงคนเลี้ยงแมวอย่างเราพฤติสังเกตได้ดังนี้ค่ะ
• หางม้วนห้อยลง แต่ส่วนปลายหางม้วนชี้ขึ้น แสดงว่าน้องแมวกำลังรู้สึกสบายและผ่อนคลาย • หางตั้งขึ้น แต่ปลายหางเอียงไปข้างหน้าหรือข้างหลัง แปลว่าเค้ากำลังสนใจและมีความรู้สึกเป็นมิตร • หางอยู่นิ่งๆ แต่มีการกระตุกเป็นครั้งคราว นั่นแสดงว่าน้องแมวกำลังรู้สึกรำคาญหรือถูกรบกวนอยู่ • ถ้าหางสะบัดอย่างรุนแรงจากข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่ง ให้รีบออกห่างเพราะเค้ากำลังโกรธนะคะ • หางเหยียดตรงชี้ขึ้น พร้อมกับขนที่หางลุกชัน แสดงว่าน้องแมวกำลังเตรียมตัวเข้าพร้อมต่อสู้บางอย่าง • ถ้าหางลดตัวลงต่ำมาก หรือหลบหางไปซุกอยู่ระหว่างขาหลัง อาจจะแสดงว่าแมวกำลังยอมแพ้หรือกลัวนั่นเองค่ะ
ดวงตาน้องแมว จุดสังเกตุที่สะท้อนอารมณ์เค้าได้ดี
เพราะดวงตาก็คือหน้าต่างของหัวใจ ดังนั้นอีกหนึ่งวิธีที่เราจะจับสังเกตได้ว่าเค้ากำลังมอบความไว้ใจ รวมถึงแสดงท่าทีที่บ่งบอกว่าเค้ามีความสุขได้ง่ายๆ ก็คือการสังเกตพฤติกรรมแมวผ่านการจ้องตาของเค้าได้ตามนี้เลยค่ะ
• เวลาที่เราจ้องน้องแมว แล้วเค้าก็จ้องกลับมาแบบตาประสานสายตาของเรา เป็นการบ่งบอกกลายๆ ว่าเค้าไว้ใจและรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับเรา • หากระหว่างการจ้องตากับน้องแมว แล้วเค้าค่อยๆ กระพริบตาช้าๆ ใส่เรา นั่นอาจจะหมายความว่าน้องแมวกำลังมีความรักและบ่งบอกว่าเค้ารู้สึกสบายใจกับเราหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้นะคะ • ข้อความระวังก็คือ การจ้องตาไปที่น้องแมวตรงๆ แบบแข็งทื่อโดยที่ไม่กระพริบตาเลย อาจจะถูกน้องแมวตีความได้ว่านั่นเป็นท่าทางของการรุกราน ซึ่งทำให้น้องแมวรู้สึกไม่สบายใจได้
0 notes
Photo
💕 โปรสุดฮิต ที่พลาดแล้วคุณจะเสียใจ 💕 1.Ulthera hifu fat 200shots 2,990.- 2.Hifu fat 1,000shots 9,999,- 3.Botox 200U. 8,900.- 4.Hifu fat + Babi lone 8,500.- 💁♀️ จะปัญหาเล็ก เหลือแค่เก็บกรอบหน้า หรือจะปัญหาหนักหน่วง กังวลใจ ต้องการความเป๊ะระดับไหน ก็เลือกโปร แล้วทักจองคิวได้เลยนะคะ 😊 ❌หมดเขต10มก62❌ สอบถาม นัดปรึกษาหมอฟรีค่ะ 👇🏻 ———————————————————— 🏥 ฟารีดาคลินิก (15:00-20:30น) สุขุมวิท • ลาดพร้าว • ปิ่นเกล้า ✆0879374131 | Line @fareedaclinic https://line.me/R/ti/p/%40fareedaclinic 🌎 www.fareedaclinic.co ———————————————————— #ฟารีดาคลินิก #ฟารีดาคลินิกพันทิป #ฟารีดาคลินิกสุขุมวิท13 #ฟารีดาคลินิกปิ่นเกล้า #ฟารีดาคลินิกลาดพร้าว #ฮูเจล #ร้อยไหม #HIFU #neuronox #juvederm #Hugel #allergan #belotero #fareedaclinic #prp #botox #filler #mesofat #เมโสแฟต #ฟารีดาคลินิกหมอเนย #botulax https://www.instagram.com/p/BsFtzJIn-5s/?utm_source=ig_tumblr_share&igshid=12jocqn3sw8q1
#ฟารีดาคลินิก#ฟารีดาคลินิกพันทิป#ฟารีดาคลินิกสุขุมวิท13#ฟารีดาคลินิกปิ่นเกล้า#ฟารีดาคลินิกลาดพร้าว#ฮูเจล#ร้อยไหม#hifu#neuronox#juvederm#hugel#allergan#belotero#fareedaclinic#prp#botox#filler#mesofat#เมโสแฟต#ฟารีดาคลินิกหมอเนย#botulax
0 notes
Photo
วางแผนว่าจะแต่งรูปในสไตล์เน็ตไอดอลแบบกล้ามบวมสุด อ่ะโด่...หันไปมองตู้ด้านหลัง 'ตู้เบี้ยวมาก' เลยแต่งรูปได้แค่นี้เอง ร้องไห้แป๊บ...เดี๋ยวตู้เบี้ยวเยอะแล้วคนจับได้อ่ะ กังวลใจ จนไม่เป็นอันทำงาน oh! Retouching is my life!!! (อ่าว...ที่ผ่านมา หนูปลอมสินะลูกกกกก) Underwear: @renomathailand Sportswear: @hm 499 baht #ตู้เบี้ยวน้อย (at Fitness First Central Grand Rama 9)
0 notes