#Olympus OMD M10 MarkIII
Explore tagged Tumblr posts
Video
Coventosa - Nitecore TM10K por José Miguel Martínez Por Flickr: Entrada a la cueva de Conventosa, luz en contra con la nitecore TM10K más fotos con linternas nitecore: jmmpereda.wixsite.com/home/nitecore
Cueva #Coventosa salida con la gran artista del #Lightpainting @lagartija810 #Arredondo #Fotografíanocturna #fotógrafonocturno #Cantabrianocturna #Compartecantabria #Cantabriaturismo #NosvemosenCantabria #Cantabriainfinita
#Olympus M.Zuiko Digital ED 12 mm f2#Olympus#OMD#Olympus OM-D#Olympus OM-D E-M10 MarkIII#Olympus OMD M10 MarkIII#Olympus E-M10 MarkIII#OLYMPUS DIGITAL CAMERA#Olympus M.Zuiko Digital#2019#Abril 2019#Foto José Miguel Martínez#[email protected]#José Miguel M.P.#Contacto: [email protected]#Photography José Miguel#photography J.M.#wwww.josemiguelmartinez.es#Fotografía José Miguel Martínez Pereda#fotografianocturna.net#www.fotografianocturna.net#www.cantabrianocturna.com#LiveComposite#Olympus live composite#OlympusLiveComp#Fotografía Nocturna#Fotografía nocturna José Miguel Martínez#Cantabria#Fotografías de Cantabria#Cantabria en fotos
0 notes
Photo
Loving the sky in Paris 🇫🇷 #saaggo Taken with the #Olympus OMDE-M10 MarkIII (at Pont Alexandre III)
1 note
·
View note
Text
ไต้หวัน กับธรรมชาติสีฟ้า อะไรบางอย่างในทริปนี้ทำให้เรานึกถึงสวิตเซอร์แลนด์ ไม่รู้เพราะสีน้ำ ความเงียบ หรือภูเขายอดขาว จะต่างก็แค่ขาวด้วยเมฆไม่ใช่หิมะ
หลังจากที่ทริปก่อนไป ไต้หวันฝั่งตะวันตก มาแล้ว ครั้งนี้เลยเลือกเที่ยวแค่ฝั่งตะวันออกที่ติดกับแปซิฟิค ทั้งไปล่าโลมา คายัคในมหาสมุทร ดูดาวตกริมทะเล และเดินเล่นในหุบเขาหินอ่อนดูธารน้ำสีเทอร์ควอยซ์ โดยเอากล้องตัวใหม่ล่าสุดจาก Olympus ไปลองเล่นด้วย นั่นคือ OM-D E-M10 mark III
เที่ยวแบบเนิบๆ 6 วัน 5 คืน แต่เชื่อว่าทั้งหมดนี้สามารถจบได้ใน 3-4 วัน ที่ลากถึง 6 วันเพราะทริปนี้ออกจะผิดแผนซะหน่อย ที่วางไว้ว่าจะไปก็โดนไต้ฝุ่นเป่าเรียบ เดินทางช่วง ปลายสิงหาคม
1. coast of hualien : ล่าโลมา ตามหาวาฬ 2. qingshui cliff : คายัคในมหาสมุทร 3. qixingtan beach : ดูดาวตกริมทะเล 4. taroko national park : หุบเขาหินอ่อนและธารน้ำเทอร์ควอยซ์ 5. hualien night market : ตลาดของอร่อย 6. xiangshan mountain : ปีนเขาดูวิวไทเป
เดี๋ยวท้ายรีวิวมี
วิธีเดินทางไปทั้ง 6 สถานที่
olympus omd em10 markIII กล้องที่ใช้ถ่ายรูปในทริปนี้ เหมาะกับใคร ดีไม่ดียังไง?
ค่าเสียหายสำหรับทริปนี้
1. Coast of Hualien : ล่าโลมา ตามหาวาฬ
น่าจะถู��ใจคนที่รักเจ้าโลมาและวาฬ เวลาได้เห็นมันว่ายอย่างอิสระในมหาสมุทร ถึงแม้มองจากบนเรือจะเห็นครีบโลมาใหญ่กว่าปลากะพงจิ๊ดนึงก็ตาม หยวนๆค่ะ ไว้ไปซูมในคอมต่อเอง 55 ช่วงเวลาที่เหมาะกับการออกเรือไปตามล่าโลมาคือ มิถุนา-กันยา เนื่องจากเป็นช่วงที่ประชากรโลมาจะล้นหลามสุดๆ ส่วนวาฬต้องปล่อยไปตามดวง ค่าล่องเรือโลมาที่ไต้หวันค่อนข้างเป็นมิตร คนละไม่ถึงพันบาท ไม่โหดร้ายแบบที่นิวซีแลนด์อะไรเทือกนั้น เราเลือกไปดูโลมาตั้งแต่หกโมงเช้า เพราะคิดเอาเองว่า เช้าๆโลมาน่าจะยังคึกคักอยู่ เย็นๆกลัวมันเพลียไม่ยอมโดดโชว์ หลังจากนั่งดูสารคดีเรื่องโลมาและวาฬอยู่เกือบชั่วโมงก็ถึงเวลาลงเรือ เรือแล่นออกจากฝั่งไปนาน กวาดตาไปไกลๆก็จะเริ่มเห็นครีบแหลมอยู่ลิบๆ ถ้าไม่ได้นั่งอยู่บนเรือโลมา อาจคิดว่านั่นคือฝูงฉลามที่ว่ายโชว์ครีบ เจอหลายฝูงอยู่นะ แต่ไม่มีตัวไหนโดดโชว์หรือว่ายแข่งกับเรือเหมือนในหนังที่เค้าเปิดให้ดูเลย เรียกว่าไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองด้วยซ้ำ ไอ้ที่คิดว่าเช้าๆโลมาน่าจะคึกก็พิสูจน์ได้แล้วว่าคิดไปเองล้วนๆ เรือจะไม่เข้าไปใกล้พวกมันเกินไป เราซูมสุดพลังเลนส์คิท ครีบโลมาก็ยังไม่ได้ใหญ่ไปกว่าปลากะพงซักเท่าไหร่ ถ้ามีโอกาสอีกครั้งจะพกเทเลไปด้วยแน่นอน
2. Qingshui Cliff : คายัคในมหาสมุทร
14-42mm; 1/800 f/5.6 iso200
จริงๆการไปคายัคไม่ได้อยู่ในแผน มันเกิดจากการที่เราอยากไปดูวิวจากด้านบนของ qingshui cliff มาก มองลงไปจะเห็นน้ำทะเลสีฟ้าซัดเข้าหน้าผา สวยขนาดได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 8 สิ่งมหัศจรรย์ของไต้หวัน น่าเสียดายที่ไม่มีรถสาธารณะผ่าน ถ้าไม่เหมาแท๊กซี่ก็ต้องเดิน โหดทั้งคู่ ด้วยระยะทาง 14 กิโลเมตรที่แท๊กซี่จะเรียกราคา 700 – 1000 twd หรือจะเดินบนไฮเวย์ผ่านอุโมงค์มืดๆที่เจาะทะลุภูเขา
สุดท้ายไม่เลือกซักทาง.. ดูวิวจากด้านบนไม่ได้ งั้นก็ไปด้านล่างเลยดีกว่า!
เรายืนรอโคชคายัคตรงจุดที่เค้าส่งเมลภาษาจีนมาบอก หลังจากเอาข้อความนัดแนะไปใส่ google translate ก็ได้ความว่าต้องไปยืนรอที่หน้าร้านอาหาร “หลินแม่ปอกเปลือกพริกไทยสัญญาณ” รออยู่เป็นชั่วโมงจนเจ้าของร้านที่น่าจะเป็นมาม่าหลินเดินเข้ามาชวนคุย มาม่าถามว่าทำไมมาคนเดียวล่ะ คุณไม่มีเพื่อนหรอ 55555 แล้วมาม่าก็เดินไปหาแก๊งสาวๆที่อยู่แถวนั้น ไปคุยและชี้ๆมาทางเรา บอกให้แก๊งนั้นเข้ามาชวนเราคุยบ้าง มาเอาเราไปเป็นเพื่อนหน่อย 55555
14-42mm; 1/3200 f/3.5 iso 200
ที่แท้สาวๆจากฮ่องกงแก๊งนั้นก็คือผู้ร่วมทริปคายัคของเรา และมีโคชไกด์อีก 2 คน ที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ
14-42mm; 1/1600 f/3.5 iso200
บนชายหาดที่โล่งไร้นักท่องเที่ยวนี้เต็มไปด้วยหิน��้อนกลมๆ แต่ละก้อนมีลายริ้วขาวแปลกๆแทรกอยู่ สวยๆทั้งนั้น หาดค่อนข้างชั��� ยิ่งจุดที่ลาดลงน้ำยิ่งชันจนทำให้น้ำลึกตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินลง เราเลือกมาคายัคตอนบ่าย กะว่าแดดแรงๆน่าจะทำให้น้ำในมหาสมุทรเป็นสีน้ำเงินสวย ซึ่งก็เป็นจริงๆเวลาที่เรามองออกไปจากฝั่ง น้ำเป็นสีน้ำเงิน แต่มองย้อนกลับเข้าฝั่งกลับเห็นน้ำเป็นสีเทอร์ควอยซ์
14-42mm; 1/2500 f/3.5 iso200
ส่วนตัวชอบคายัคและแอบคิดว่าตัวเองก็พายไม่เลว โคชบอกระวังเปียกคืออะไร ? ไม่เปียกแน่นอน! แต่ระหว่างที่พายออกจากฝั่งก็เจอคลื่นสูงท่วมหัว เรือทั้งลำมุดเข้าไปในคลื่น ตู้มๆๆ กว่าจะออกไปไกลฝั่งได้ก็เปียกซ่ก 55 ต้องลองคายัคที่นี่แล้วจะรักกว่าเดิม สนุกกว่าการคายัคแบบตัวแห้งเยอะ
14-42mm; 1/640 f/5.5 iso200
พายได้ชั่วโมงกว่าๆ พวกเราก็ตัดสินใจที่จะหยุดพักลงเล่นน้ำ สระว่ายน้ำใสๆใหญ่ยักษ์รออยู่ใต้เรือเรานี่เอง เค้าเรียกแถบนี้ว่ามหาสมุทร ไม่ใช่ทะเล น้ำใสแต่ไม่เห็นปลาซักตัว เห็นแต่แมงกะพรุนตัวกลมๆเล็กๆลอยเคว้งอยู่
14-42mm; 1/2000 f/5.6 iso200
14-42mm; 1/2000 f/5.6 iso200
คลื่นลอนใหญ่ซัดคายัคให้โยกขึ้นลงตลอดเวลา มันทำให้สาวฮ่องกงที่พายคู่กับเราเมา เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินเมาคายัคเนี่ยแหละ เค้าบอกเค้าไม่ไหวแล้ว มาช่วยกันจ้วงกลับเข้าฝั่งกันเถอะ คายัคลำนี้เลยติดสปีดจ้วงกันเต็มที่ยทิ้งห่างทุกคนมาไกลจนไม่เห็นลำอื่นๆในฝูงอีกแล้ว คลื่นที่แรงส่งให้คายัคเราเกือบขึ้นผิดหาด กว่าจะรู้ตัวพายออกมาใหม่ สาวฮ่องกงที่นั่งอยู่หัวเรือก็ชะโงกหน้าออกไปอาเจียนอยู่หลายที แล้วคลื่นก็ซัดสิ่งนั้นกลับมาหาเราที่นั่งในตอนหลัง
3. Qixingtan Beach : ดูดาวตกริมทะเล
พยากรณ์บอกว่าคืนนี้ฟ้าใส เลยว่าจะออกไปดูดาวริมทะเลซะหน่อย การมาหาดตอนกลางวันไม่ยาก นั่งบัส 15 นาทีก็ถึง แต่บัสดันวิ่งถึงแค่ 5 โมงเย็น ทางเลือกของคนดูดาวที่โฮสเทลแนะนำเลยเหลือแค่ ปั่นจักรยาน ไม่ก็เดินไปกลับ 12 โล เราเชื่อว่าต้องมีวิธีง่ายกว่านั้นเลยลองกางแผนที่ดูใหม่ แล้วก็เห็นว่าทางเหนือของหาดอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเล็กๆ ไม่มีใครพูดถึงวิธีนี้ อาจเพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะไปตอนใต้ของหาดซึ่งอยู่ใกล้เมืองฮัวเหลียนมากกว่า ไม่มีใครไปไม่เป็นไร เราลองเองเลยละกัน
25mm; 1/60 f/5.6 autoiso 2000 — กล้องเคลมว่ามั่นใจเรื่องกันสั่นมาก auto iso จะกล้าดันให้ถึง 6400
5 นาทีรถไฟก็มาถึง beipu โชคดีเจอ obike จอดอยู่หน้าสถานี��ันนึงพอดี ดีใจมาก เรารีบสแกนบาร์โคดบนจักรยานแล้วปั่นยาวจนถึงหาด กว่าจะมาถึงหาดพระอาทิตย์ก็ตกพอดี ยิ่งมืดคนยิ่งเยอะ คนท้องถิ่นทั้งนั้นแหละ มาปิคนิคและมานั่งตกปลา
obike เป็นแอพให้เช่าจักรยานสาธารณะที่มีจอดอยู่ทั่วทุกที่ในเมือง hualien เดินไปทางไหนก็เห็นจักรยานเหลืองๆ เราอยากเริ่มปั่นจากจุดไหนก็ได้ แล้วอยากจอดคืนตรงไหนก็ได้เช่นกัน
เปิดแอพดูอีกทีก็เห็นว่าแถวนี้ไม่มีจักรยานคันอื่นเลยนอกจากของเรา ด้วยความที่กลัวว่าขากลับจะมีคนชิงจักรยานคันนี้ไป เลยตัดสินใจแบกมันขึ้นบันไดไปซ่อนบนจุดชมวิวด้วยซะเลย 5555 บ้าไปแล้ว แต่ถ้าให้เดินกลับมืดๆเปลี่ยวๆผ่านทุ่งนาและค่ายทหาร เราคงตกรถไฟเที่ยวสุดท้ายแน่ คืนนึงมีรถไฟรอบเดียวเอง
25mm; 60″ f/4.5 iso500
ชาวบ้านนั่งเรียงหน้ากระดานตกปลากันอยู่ ดูจุดเขียวๆจากปลายเบ็ดที่ปักเรียงกันไปบนหาดได้ ตกกันมืดๆนั่นแหละ อยากรู้เหมือนกันว่าปลาริมหาดแบบนี้จะตัวแค่ไหน
เนื่องจากตอนนี้กล้องใหม่มาก ยังไม่สามารถเอา raw file มาแต่งในคอมได้ ถ้าทำได้เมื่อไหร่คงจะดึงแสงดาวกันได้สนุกขึ้น
25mm; live composite 2″ f/1.8 iso800
คืนนี้ได้รูปดาวหมุนๆกับเค้าด้วย! เขียวๆบนฟ้าคือดาวที่ค่อยๆเคลื่อนที่ไปทีละนิด และถ้ามองดีๆจะเห็นเส้นบางๆที่ตัดไปตัดมาบนท้องฟ้า นั่นคือดาวตกค่ะ ส่วนเส้นส้มๆที่เหมือนเลเซอร์ เราก็สงสัยเหมือนกันว่าคืออะไร น่าจะเครื่องบิน?
live composite ทำให้ใครก็ถ่ายดาวหมุนได้ มันบังคับสปีดชัตเตอร์ไว้ที่ 2 วิสำหรับการเก็บบรรยากาศโดยรอบผ่านการกดชัตเตอร์ครั้งแรก หลังจากนั้นจะถ่ายทีละ 2 วิไปเรื่อยๆ เพื่อเก็บเฉพาะแสงใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ตำแหน่งดาวค่อยๆเคลื่อน เราทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีมั้ง เห็นดาวยาวพอแล้วก็กดหยุด
ความฉวัดเฉวียนของตัวเรืองแสงจากคันเบ็ดมักโผล่เข้าเฟรมมาพร้อมกับแสงวาบๆแบบนี้เสมอ ขอเรียกว่าเป็นแสงแห่งความสงสัยของคนตกปลา 55 คือเค้าเหมือนสงสัยกันว่าเรามาทำอะไรแล้วก็เดินมาดูเราใกล้ๆพร้อมกับไฟฉายบนหัว T T
25mm; live composite 2″ f/1.8 iso800
ถ่ายดาวเพลิน�� ดูนาฬิกาอีกที อ้าว อีก 20 นาทีรถไฟขบวนสุดท้ายจะออกแล้ว
เรารีบวิ่งขึ้นบันไดไปเอาจักรยานที่แอบไว้ แบกลงมาได้ซักพักก็เกิดความคิดบ้าบอว่าปั่นลงบันไดไปเลยดีกว่า เอาเร็วๆ 5555 สุดท้ายก็ตามคาด กลิ้งลงมาพร้อมจักรยาน กางเกงขาดและเลือดชุ่มเข่า แต่ต้องรีบไปต่อ ไม่มีเวลาให้สำรวจแผล จักรยานยางแบนๆแถมต้องปั่นขึ้นเนิน เมืองเงียบเหมือนทุกคนหลับกันหมด เจอแค่ทหารถือปืนอยู่บนรั้วค่ายและด่านตำรวจ ใจอยากจะเข้าไปขอความช่วยเหลือสุดๆ ส่งหนูที่สถานีที
สุดท้ายก็ถึงสถานีก่อนรถไฟออก 2 นาที!
4. Taroko National Park : หุบเขาหินอ่อนและธารน้ำเทอร์ควอยซ์
ภูมิประเทศที่แปลกตาของที่นี่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกเมื่อ 4 ล้านปีก่อน เล่าแบบนี้นี่ย้อนไปถึงกำเนิดประเทศไต้หวันเลยดีกว่า
14-42mm; 1/250 f/5.6 iso100
มันเริ่มจากแผ่นยูเรเชียและแผ่นฟิลิปปินส์ที่อยู่ใต้น้ำเคลื่อนเข้าชนกันจนค่อยๆโก่งตัวขึ้นพ้นพื้นน้ำ และสูงขึ้นเรื่อยๆเกิดเป็นเกาะไต้หวัน และยังสูงขึ้นเป็นเทือกเขาทอดยาวตลอดทั้งประเทศ ด้วยความร้อนใต้เปลือกโลก แรงดัน แรงบีบอัด และอะไรหลายๆอย่างก็ได้เปลี่ยนชั้นหินปูนให้กลายเป็นหินอ่อน! ที่นี่มียอดเขาที่สูงทะลุ 3,000 เมตรอยู่หลายยอด มันยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆด้วยนะ เฉลี่ยปีละ 0.5 เซน อีกส่วนที่ทำให้ทาโรโกะแปลกตาคือการกัดเซาะจากแม่น้ำ liwu
ทาโรโกะมีความหลากหลายทางธรรมชาติสูงมาก 1 ใน 3 ของพืชพรรณในไต้หวันสามารถพบได้ที่ทาโรโกะ เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในไต้หวัน ครึ่งนึงของพวกมันสามารถพบได้ที่นี่
14-42mm; 1/1600 f/5.6 iso640
แดดร้อนเปรี้ยงๆ เริ่มเที่ยว shakadang ดีกว่า เห็นรูปน้ำสีฟ้า cyan แจ๋นๆมานาน อยากรู้ว่าจริงๆมันเป็นสีนั้นมั้ย ช่วงกิโลเมตรแรกก็จะได้เห็นจุดที่น้ำสีสวยสุดแล้ว ของจริงน้ำสีเทอร์ควอยซ์นี่เอง
14-42mm; 1/500 f/5.6 iso100
เทอร์ควอยซ์บนหินอ่อน เราไม่ได้ปรับสีหรือเพิ่มความสดเลย สีสันของมันน่าจะขึ้นกับแดดและเวลาด้วย
14-42mm; 1/50 f/5.6 iso100 — อันนี้แบบ auto white balance โหมดสี natural ธรรมดาๆ
แต่สำหรับรูปล่างนี้ใช้ art filter ตัวใหม่ที่ชื่อ beach bypass น่าจะเป็นฟิลเตอร์ตัวแรกที่เราชอบและอยากใช้จริง ภาพมันดูหล่อเข้ากับหน้าตากล้องดี
14-42mm; bleach bypass : 1/100 f/5.6 iso200 — art filter ตัวใหม่ สีฟอกๆ คอนทราสจัด แต่สีไม่แจ๋น
หลุดออกมาจาก shakadang แล้�� เราเลือกเดินลอดอุโมงค์รถวิ่งเพื่อไปต่อเทรลสั้นๆ อีกเทรลนึง ชื่อ xiaozhuilu trail น้ำที่เราเห็นจาก shakadang ก็น่าจะไหลแผ่ๆมาตรงนี้
14-42mm; bleach bypass II : 1/800 f/6.3 iso200 — art filter ตัวใหม่อีกตัว ซีดๆ ตุ่นๆ
จริงๆยังมีอีกที่นึงในทาโรโกะที่เราอยากไปมาก zhuilu old trail เส้นทางนี้ทั้งสูงและสวย น่าเทรคมาก แต่ต้องขอ permit จากทางอุทยานและสถานีตำรวจล่วงหน้า วันนึงให้เข้าได้แค่ไม่กี่คน และสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติควรมีไกด์พาขึ้น เราจองไกด์แบบ shared tour ไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ก็ต้องล่มเพราะสุดท้ายไกด์เมลมาบอกว่าสมาชิกในทีมมีน้อยไป อย่าเรียกว่าน้อยดีกว่า มีแค่เราคนเดียว 55 ในเมื่อไปไม่ได้ งั้นนั่งรถไฟกลับเลยดีกว่า
14-42mm; 1/125 f/5.6 iso200
5. Hualien Night Market : ตลาดของอร่อย
17mm; 1/60 f/2.2 autoiso 1000
ข้าวโพดปิ้งเจ้าดัง รอคิวประมาณชั่วโมงกว่าๆ ระหว่างนั้นพนักงานก็เอาข้าวโพดดิบๆมาให้แทะเล่นพลางๆ หวาน กรอบ ไม่เหม็นเขียวเลย เราติดใจเจ้านี่มากกว่าข้าวโพดปิ้งที่ซื้อมาซะอีก แล้วแบบดิบไม่มีขายด้วยนะ เอามาให้ชิมให้อยากเล่นๆ อยู่ๆคุณลุงที่เห็นในโปสเตอร์ข้าวโพดก็เดินมาคุยด้วย ถามว่าเรามาจากไหน พอรู้ว่ามาจากไทย ก็บอกว่าเดี๋ยวให้ข้าวโพดปิ้งเพิ่มไม้นึง ต้อนรับที่มาเที่ยวเมือง hualien 🙂
เมืองนี้คนน่ารัก ก่อนหน้านี้ตอนนั่งรถไฟจากไทเปมาลงฮัวเหลียน คุณลุงที่นั่งข้างๆก็ชวนเราคุย เค้าบอกเค้าเป็นศาสตรจารย์สอนวิทยาศาสตร์อยู่ที่จีน ช่วงนี้ปิดเทอมเลยจะกลับไปเยี่ยมบ้านที่ฮัวเหลียน ระหว่างคุยก็มีการหยิบตลับเกมกดที่คล้องสายไว้กับหูเข็มขัดขึ้นมาเล่นเป็นระยะ ถ้าลุงไม่เล่าว่าเป็นศาสตราจารย์จะไม่เชื่อเลย! ก่อนจากกัน คุณศาตราจารย์นักเล่นเกมก็เดินไปหยิบหมี่ซั่วอบแห้งจากในกระเป๋ามาให้เรา 1 ห่อ บอกเป็นของขวัญ ต้อนรับที่เรามาเที่ยวเมือง hualien มีอะไรให้ช่วยเฟซบุคมาหาได้เลยนะ แล้วก็เดินสะพายเป้ลงรถไฟหายไปเลย 🙂
กลับมาที่ตลาด จริงๆคืนนี้ไม่ได้มาตระเวนกินคนเดียว ระหว่างที่เดินจากโฮสเทลไปตลาด คนที่พักอยู่โฮสเทลเดียวกันก็ขี่จักรยานมาเจอเราเข้าพอดี เค้าจอดจักรยานมาเดินเป็นเพื่อนและอาสาเป็นไกด์พากิน เรารีบตกลงด้วยความเต็มใจ เค้าบอกนั่งรถไฟมาที่นี่ตั้ง 5 ชั่วโมงเพราะอยากมาหาอะไรกินที่นี่ โห ถ้าขนาดนี้มันต้องอร่อยแบบไม่ธรรมดาล่ะสิ เราถาม ‘ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เค���มา’ อ่าว 5555
17mm; 1/60 f/2.2 autoiso 320
แต่เพื่อนใหม่ที่เดินเล่นด้วยกัน 5 ชั่วโมงแบบไม่รู้จักชื่อก็ทำการบ้านมาดี รีเสิชมาละว่าเจ้าไหนเด็ด ส่วนเราก็ใช้วิธีบ้านๆมาคอยสนับสนุนเค้า นั่นคือเลือกร้านที่คนต่อแถวยาวๆ ร้านแรกที่เราสั่งมาแบ่งกันคือเต้าหู้เฟรนช์ฟรายราด honey mustard กินกับผักดองกรอบๆที่โปะมาด้านบน อร่อยมาก กินไปกินมาก็บอกเพื่อนใหม่ว่าเหม็นกลิ่น stinky tofu ที่ไต้หวันมากเลย ได้กลิ่นอยู่ทุกที่เลยเนาะ เค้าขำ แล้วหันบอกเราว่า ไอที่เรากินคือเต้าหู้เหม็นไงเล่า เห้ยย ตกใจ ตอนกินนี่ไม่รู้สึกเลยนะ แค่สงสัยว่าทำไมกลิ่นเหมือนอยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา 55555 สงสัยมันแท่งเล็กๆ และผักดองกับซอสที่ราดช่วยพรางรสไว้ แต่พอรู้เท่านั้นแหละ ทุกคำที่กัดคือกลิ่นพุ่งมาก แต่ก็กินต่อ อร่อยๆ
17mm; 1/60 f/2.2 autoiso 250
ร้านต่อไปที่เพื่อนใหม่บอกจะไปให้ได้คือบาบีคิว เค้าบอกแถวยาวมากกก แต่พอไปถึงไม่เห็นมีคิวเลย เราเลือกพวกลูกชิ้นและหัวใจกับกึ๋นไก่มาแบ่งกัน จ่ายเงินเสร็จก็ได้พวงกุญแจระบุหมายเลขคิวมา โอยยย อีกเกือบ 200 คิว! หลังจากเดินกินทั้งน้ำ ไอติม ข้าวเหนียวเลือด และขนมปังชุบไข่ทอดที่อร่อยมากๆจนอิ่มตื้อ เวลาผ่านไป 2-3 ชั่วโมงจนห้าทุ่มกว่าแล้ว บาบีคิวของเราก็ออกจากเตาปิ้งซักที อร่อยนะ แต่อร่อยแบบรอ 1 ชั่วโมงพอ
6. Xiangshan Mountain, Taipei : ปีนเขาดูวิวไทเป
17mm; 1/25 f/6.3 auto iso 6400 — สูงติดเพดานของ auto iso
อยากดูวิวเมืองไทเป คนไทเปก็มักจะแนะนำให้ขึ้นไปดูบนภูเขาลูกนี้ เราเริ่มเดินขึ้นประมาณ 5 โมง กำลังดี พอไปถึงจะได้เห็นทั้งฟ้าสว่างยันมืดที่ทั้งเมืองเปิดไฟ ตึกไทเป 101 ตั้งสูงอยู่ตรงหน้านี่เอง บนเขามีนักท่องเที่ยวและคนไต้หวันที่มาเดินเล่นออกกำลังกายเต็มไปหมด ระหว่างยืนรอฟ้าเปลี่ยนสี เราโดนแมลงตัวเล็กๆกัดเข้าที่แขน ตุ่มเท่าเหรียญสิบ 3-4 เหรียญวางต่อกัน เกาไปเกามาจนฟ้าเริ่มมืด ยิ่งมืดคนยิ่งเยอะ ที่จะกางขาตั้งกล้องนี่ไม่ค่อยมี ใครจะกางควรมาจองที่ล่วงหน้าตั้งแต่เย็น
17mm; 1/60 f/2.2 auto iso 2000 — ยกถ่ายมือเปล่า
17mm; 1/50 f/18 iso200 — วางกล้องบนระเบียงจุดชมวิว เปิดหน้ากล้องพอให้ใบไม้ไหว
17mm; live composite : 0.5 f/4 iso200
เบียดคนลงมาจากเขาแล้ว วางกล้องกับบันไดแถวนั้นแล้วปล่อยให้รถวิ่งผ่าน��รื่อยๆ เพื่อเก็บเส้นไฟสีต่างๆ ใช้โหมดเดียวกับตอนถ่ายดาวหมุนๆ ที่จริงถ่ายตอนฟ้ามืดแบบนี้อาจธรรมดาไป เพราะ live composite สามารถสร้างรูปแบบนี้ให้จบหลังกล้องได้แม้เป็นตอนกลางวัน!
วิธีเดินทาง
1. coast of hualien : ล่าโลมา ตามหาวาฬ ที่ hualien จะมีให้เลือกประมาณ 3 เจ้า ราคาไม่ต่างกันมาก แต่ปัญหาอยู่ที่เว็บจองเป็นภาษาจีนล้วนๆ แนะนำให้ที่พักของคุณช่วยจองให้ ไม่ก็จองผ่าน kkday แบบเรา ภาษาอังกฤษสะดวกดี แล้วเค้าจะส่งรถมารับถึงที่พักเราในตัวเมือง hualien ตามเวลาที่นัดแนะกันไว้ หรือใครมาจากไทเปสดๆก็นัดรับสถานีรถไฟได้
2. qingshui cliff : คายัคในมหาสมุทร สำหรับคนที่จองผ่าน kkday ทัวร์คายัคจะไม่ได้มารับเราถึงที่แบบโลมานะ ให้ขึ้นรถไฟจาก hualien ไปลงที่ chongde (21mins / 32twd) แล้วเดินทะลุสถานีขึ้นบันไดไปยังถนนด้านบน แล้วเดินไปทางซ้ายเรื่อยๆจนถึงเวิ้งกว้างหน้าร้านอาหาร เราต้องรอโคชไกด์ที่จุดนี้ แล้วจะพาเดินลงซอยข้างๆไปยังชายหาด
3. qixingtan beach : ดูดาวตกริมทะเล จาก hualien ให้นั่งรถไฟ ไปลง beipu station (5mins / 15twd) แล้วปั่น obike ไปยังชายหาด จะขี่จักรยานสาธารณะนี้ได้ก็ต้องเข้าไป download : obike มาใช้ก่อน แล้วลองเข้าไปเชคดูว่าที่สถานีตอนนั้นมีคนมาจอด obike ทิ้งไว้รึเปล่า ไม่งั้นสุดท้ายอาจต้องเดินไปหาดแทนนะ ที่สำคัญ เฝ้าจักรยานไว้สำหรับปั่นกลับและเช็ครอบรถไฟเที่ยวสุดท้ายดีๆ แต่สำหรับคนที่อยากมาเที่ยวหาดตอนกลางวัน นั่งบัสไปก็ได้ ง่ายดี
4. taroko national park : หุบเขาหินอ่อนและธารน้ำเทอร์ควอยซ์ รถไฟจากไทเปไป hualien (2h 14mins / 440twd) มีวันละหลายรอบแต่มักเต็มตลอด เป็นเส้นที่จะซื้อตั๋วปุ๊บขึ้นรถไฟปั๊บไม่ได้แน่ๆ ถึงแม้จะเดินทางคนเดียวในบ่ายวันธรรมดาก็ตาม หลังจากลงที่สถานีฮัวเหลียน ให้เดินออกมาขึ้น taroko bus ที่ด้านนอก ตั๋วมีขายทั้งแบบ day pass และตั๋วปกติที่ซื้อบนบัสได้เลย
ถ้าจะซื้อตั๋วเป็นเที่ยวๆแบบปกติ ควรซื้อด้วย easycard เพราะจะถูกกว่าเงินสด เราก็ใช้วิธีนี้ ส่วน day pass จะมี 2 แบบ อันนึง 250 twd ซื้อได้จากสถานีบัสใน hualien อีกอัน 150 twd ซื้อได้ที่บัสใน xincheng เนื่องจากเป็นบัสคนละสาย แต่ก็เข้าทาโรโกะทั้งคู่
แนะนำให้ขึ้นบัสไปลง shakadang เป็นจุดแรกเลย เพราะตรงนี้รถวิ่งทางเดียว ขากลับบัสจะไม่ผ่านแล้ว ยังไงลองโหลด taroko shuttle schedule ไปดูก่อนนะ
5. hualien night market : ตลาดของอร่อย การเดินทางใน hualien แนะนำให้ใช้ obike เห็นจักรยานเหลืองๆที่ไหน ก็สแกนบาร์โค้ดแล้วปั่นไปตลาดได้เลย อยากจอดตรงไหนก็จอด ค่าปั่นตกครั้งละ 2 twd เท่านั้น ถูกกว่าเช่าจักรยานรายวันเป็นไหนๆ
6. xiangshan mountain : ปีนเขาดูวิวไทเป นั่ง mrt สายสีแดงไปสุดสายที่ mrt xiangshan ออกมาแล้วก็เดินตามป้ายบอกทางที่มักติดบนเสาสูงๆ หรือเดินตามกลุ่มคนไปได้เลย
Olympus OMD EM10 mark III : เหมาะกับใคร
ตอนได้เอาไปลองเล่น สำหรับเรามันใช้ง่ายกว่าเดิมมาก (ตัวเก่าที่ใช้ประจำคือ Olympus OMD EM10 mark I) เราแค่คิดว่ากล้องที่ดีคือกล้องที่ถ่ายสนุก ใช้ง่าย เพราะมันจะทำให้เราอยากใช้บ่อยๆ อยากพกไปด้วยทุกที ยิ่งเวลาไปเที่ยว จังหวะรูปมันเข้ามาตลอด อยู่ที่ว่ากล้องตัวนั้นจะช่วยเราหยุดเหตุการณ์ทันมั้ย แต่ที่แน่ๆ กล้องตัวนี้ไม่เหมาะกับชาวเซลฟี่เพราะจอหมุน 180 ไม่ได้
เหมาะกับมือใหม่แต่อยากได้ภาพแบบโปร ถ่ายดาวโดยไม่ต้องมีความรู้ว่าตั้งค่ากล้องยังไง
เหมาะกับคนที่ชอบสแนปนู่นนี่เวลาไปเที่ยว ถ่ายได้เร็ว โฟกัสไว ไม่เบลอทั้งกลางวันกลางคืน
เหมาะกับคนที่อยากได้รูปสวยแต่ไม่อยากแบกกล้องใหญ่ ตัวนี้พกง่าย ผู้หญิงใส่กระเป๋าถือยังได้เลย
Olympus OMD EM10 mark III : สิ่งที่ชอบ
มันเร็วขึ้นมาก โฟกัสไว เจออะไรถูกใจก็เข้าโฟกัสถ่ายได้ทันทีแม้จะอยู่ในที่แสงน้อย image processor ตัวเดียวกับ OMD EM1 mark II ใครชอบใช้ auto focus ตัวนี้ก็ไวดี เพราะให้จุดโฟกัสมาถึง 121 จุด
โทนสีสว่างใสขึ้น ส่วนตัวชอบโทนสีอิ่มๆของโอลิมปัสอยู่แล้ว แต่ตัวยังคงความอิ่มของสีอยู่แต่ให้รูปที่ใสขึ้น ชอบนะ ตอนแรกนึกว่าเพราะจอดีขึ้นแต่พอเอาลงคอมรู้เลยว่ารูปดีจริง บางรูปพร้อมใช้งานเลย
จับถนัดมือขึ้น ตัวกล้องนูนขึ้นนิดนึงให้ล็อคกับมือ เดินถือถ่ายมือเดียวแล้วถนัดดี
กันสั่น กันเบลอ เดินถือถ่ายตอนกลางคืนสบายมากเพราะมีกันสั่น 5 แกน
โหมดใหม่บนแป้นหมุนคือ AP : advanced photo จะรวมฟังชั่นเพื่อให้ถ่ายง่าย���ต่ได้รูปโปร ซึ่งในกล้องรุ่นก่อนๆ ฟังชั่นเหล่านี้จะกระจัดกระจายไปตามโหมดต่างๆ บางอันก็ซุกจนเวลาจะใช้งานกลับหาไม่เจอ แต่ตอนนี้มันถูกขุดชึ้นมารวมกันในโหมดเดียวแล้ว ที่เราชอบ : – live composite ไว้ถ่ายพลุ ไฟวิ่ง ดาวหมุน โดยไม่ต้องห่วงว่าเปิดหน้ากล้องนาน รูปจะ over – live time ถ่ายวิวกลางคืน ถ่ายดาวจุดๆ คล้ายๆ bulb แต่โชว์ภาพสดๆ บนจอไปด้วยเลย – silent shutter อันนี้น่าจะถูกใจสายสตรีทที่ชอบแอบเก็บภาพคน ชอบถ่ายคนทีเผลอ
มีปุ่ม shortcut ข้างๆสวิทช์เปิดปิดเพิ่มขึ้นมา ช่วยให้เข้าถึงการตั้งค่าขณะถ่ายได้เร็วขึ้น
แบตเตอรี่แสดงผล 4 ขีด ส่วนตัวชอบกล้องที่โชว์แบตถี่ๆ จะได้เตรียมตัวถูก (โอลิมปัสตัวเก่าเราโชว์แค่ 3 ขีด ลดขีดนึงก็คือมาครึ่งทางแล้ว จะกังวลมาก)
สวย วัสดุไม่รู้เปลี่ยนมั้ย แต่หน้าตาดูสวยแพง
AP mode : Live Time
ปุ่ม shortcut ที่ช่วยให้เข้าถึงการตั้งค่าเร็วขึ้น พอดีอันนี้อยู่ใน scene mode
Olympus OMD EM10 mark III : สิ่งที่ไม่ชอบ
AP มีโหมดสำเร็จรูปมาให้เยอะก็จริง แต่มันสำเร็จรูปจนเราเข้าไปแก้การตั้งค่าในโหมด AP ไม่ได้เลย เช่น live composite ปรับ iso ไม่ได้ ส่วนสปีดชัตเตอร์ลิมิทที่ 2 วิ ซึ่งถ้าอยากปรับก็ต้องกลับไปเข้าโหมด M สมมติอยากถ่ายดาวหมุนเลยเข้า live comp พอถ่ายไปรู้สึกฟ้าช็อตแรกมันมืดไปหน่อยเลยอยากปรับสปีดชัตเตอร์ แต่แทนที่จะปรับได้ทันที กลายเป็นว่าเราต้องออกจากโหมด AP เพื่อไปเข้าโหมด M —– ส่วนตัว���ิดว่าถ้าสามารถปรับจบได้ใน AP จะดีมาก ตอนนี้เหมือนแค่สะดวกสำหรับมือใหม่แต่ยังไม่สุดสำหรับทุกคน
ปุ่มควบคุม 4 ทิศทาง แข็งและกดยากกว่าเดิม อาจจะดีเพื่อไม่ให้มือเผลอโดน แต่เวลาที่กดเลือกรูปเพื่อลบทีละหลายรูปมันจะช้า
ถึงแม้การตั้งค่าขณะถ่ายจะถูกแยกไปอยู่ใน shortcut ให้เข้าถึงง่ายๆ แต่การตั้งค่าอื่นๆในเมนูยังรู้สึกซับซ้อนอยู่ ดีว่าการตั้งค่าพวกนี้นานน๊านจะเข้าที
ตัวอย่างรูปหลังกล้องค่ะ รู้สึกเลยว่าแต่งน้อยกว่าไฟล์จากกล้องตัวเก่ามาก สีอิ่มเหมือนเดิมแต่ใสขึ้น
ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัว จากการออกทริปใช้จริงในระยะเวลา 6 วัน
บางรูปผ่านการปรับ brightness และ contrast บ้างนิดหน่อย แล้วย่อไฟล์
ค่าใช้จ่าย
flight : ยังไม่ได้รวมตั๋วเครื่องบิน
transportation : รถไฟ บัส easycard
accom : เป็นประเทศที่โฮสเทลดีมาก เตียงใหญ่ ห้องกว้าง สะอาด แถมอาหารเช้า แล้วราคาถูกด้วย คืนละประมาณ 500 เอง เหมือนประเทศเค้ามีโฮสเทลเยอะก็เลยแข่งขันกันสูง คนได้ผลประโยชน์ก็เลยเป็นนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ
food : ค่าอาหารพอๆกับบ้านเราเลย
others : ค่าเรือโลมา ค่าคายัค ไม่มีค่าวีซ่าเพราะตอนนี้ฟรีสำหรับคนไทยอยู่ค่ะ (2017)
จบแล้ว ใครยังรู้สึกว่าไม่พอสำหรับไต้หวัน ลองดู TAIWAN : ธรรมชาติฉ่ำๆบนเกาะภูเขาไฟ กันต่อได้
SaveSave
SaveSave
TAIWAN blue : ธรรมชาติฟ้าๆกับ olympus em10 III ไต้หวัน กับธรรมชาติสีฟ้า อะไรบางอย่างในทริปนี้ทำให้เรานึกถึงสวิตเซอร์แลนด์ ไม่รู้เพราะสีน้ำ ความเงียบ หรือภูเขายอดขาว จะต่างก็แค่ขาวด้วยเมฆไม่ใช่หิมะ หลังจากที่ทริปก่อนไป ไต้หวันฝั่งตะวันตก มาแล้ว ครั้งนี้เลยเลือกเที่ยวแค่ฝั่งตะวันออกที่ติดกับแปซิฟิค ทั้งไปล่าโลมา คายัคในมหาสมุทร ดูดาวตกริมทะเล และเดินเล่นในหุบเขาหินอ่อนดูธารน้ำสีเทอร์ควอยซ์ โดยเอากล้องตัวใหม่ล่าสุดจาก Olympus ไปลองเล่นด้วย นั่นคือ OM-D E-M10 mark III…
1 note
·
View note