#อัตตา
Explore tagged Tumblr posts
donotdestroy · 9 months ago
Text
อัตตา (บาลี: อตฺตา; สันสกฤต: आत्मन्) แปลว่า ตัวตน ร่างกาย รูปลักษณะ ตัวเอง หรือวิญญาณ ตามทฤษฎีของผู้นับถือลัทธิว่าชีวิตเกิดขึ้นด้วยวิญญาณหรืออาตมัน ซึ่งชาวอินเดียทางภาคเหนือได้ยึดถือเช่นนั้น ในคัมภีร์อุปนิษัทอธิบายไว้ว่า อัตตาเป็นตัวตนเล็ก ๆ รูปร่างเหมือนคน อาศัยอยู่ในหัวใจเวลาปกติ และหนีออกจากร่างกายไปในเวลานอนหลับ หรือในเวลาสงบแน่นิ่ง เมื่ออัตตานั้นกลับมาสู่ร่างเหมือนเดิม ชีวิตและการเคลื่อนไหวจึงเกิดขึ้นเป็นไปตามเดิม ในเวลาตายอัตตาก็จะหนีออกจากร่าง ไปใช้ชีวิตในอมตะของตนเองวนเวียนไปอย่างนี้โดยไม่มีสิ้นสุด (นัยพจนา. บาลี-อังกฤษ ของสมาคมบาลีปกรณ์)
ในศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าเรียกความเชื่อเรื่องอัตตาว่าสัสสตทิฐิ ถือเป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนึ่ง และเรียกว่าอัตตวาทุปาทาน ซึ่งถือเป็นความยึดมั่นถือมั่นประการหนึ่ง
อัตตาในคำไทยทั่วไปใช้ในรูป อัตต, อัต เช่น อัตตา���ิปไตย อัตชีวประวัติ อัตภาพ อัตโนมัติ
0 notes
calmmay · 10 months ago
Text
| ให้ใจของเราสงบขึ้น |
ให้เหนียต(เจตนา)ของเราดีขึ้น แล้วมันจะทำให้ใจของเราสงบขึ้น ซึ่งมันหมายถึงการตั้งคำถามต่อเจตนาในทุกสิ่งที่ทำลงไป จะพู��ไปเพื่ออะไร? จะทำไปเพื่ออะไร? จะตัดสินใจเช่นนั้นไปเพื่ออะไร? แม้แต่ "การคิด" ว่าได้คิดไปเช่นนั้นเพื่ออะไร? ถ้าเมื่อใดที่ทำเพื่ออัลลอฮฺ ใจมันจะสงบ และยิ่งมีความชัดเจนว่าทำเพื่อพระองค์จริงๆ ใจมันก็ยิ่งสงบขึ้น
ไม่ใช่แค่ตั้งคำถามเฉพาะการงานที่มีคุณค่าสูงสุดอย่างเรื่องละหมาดและถือศีลอดเท่านั้น แต่เป็นการตั้งคำถามกับทุกการงานในชีวิต ไม่ใช่แค่การตั้งคำถามต่อการงานใหญ่โตเท่านั้น แม้แต่การงานเล็กๆ ในชีวิตของเราก็เช่นกัน ไม่ใช่แค่การตั้งคำถามในตอนเริ่มต้นเท่านั้น แต่เป็นการตั้งคำถามตั้งแต่เริ่มต้น ระหว่างทาง และตอนสิ้นสุด… เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างถูกนำมาอยู่ภายใต้คำถามว่าทำไปเพื่ออะไร? ทำไปด้วยจุดประสงค์อะไร? ทำไปด้วยความต้องการอะไร? ชีวิตมันจะเกิดการทบทวนตัวเองอยู่เสมอ กระบวนการทางจิตวิญญาณมันก็เริ่มขึ้นจากตรงนี้เอง
บางทีที่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมันดูวุ่นวายไปหมด แท้ที่จริงปัญหามันอยู่ที่การไม่ได้ตั้งคำถามว่ามันทำไปเพื่ออะไร? ไม่เคยซีเรียสจริงจังว่าความดีทั้งหลายที่ทำลงไปนั้นกระทำไปด้วยเป้าประสงค์อะไรกันแน่? บางทีสิ่งที่มีปัญหามากที่สุดในชีวิตของเรากลับไม่ใช่ความชั่ว แต่เป็นความดีที่เราทำลงไปว่า จริงๆ แล้วมันได้ทำไปเพื่ออะไร?
"เหนียต" (เจตนาฺ, สิ่งปรารถนา, เป้าหมายความต้องการ) ที่ถูกพาไปอยู่อัลลอฮ สุบฮานะฮุ วะตะอาลา ไม่ใช่อยู่ที่ผู้คน ไม่ใช่อยู่ที่ชื่อเสียง ไม่ใช่อยู่ที่นัฟสู(อารมณ์, อัตตา) จะนำมาซึ่งความสงบของจิตใจและรางวัลอันยิ่งใหญ่
|อัล อัค|
--------------
wkwk random betul, ada mas2 keren trs barusan beliau nikah sama org thailand. Nah, sbg salah satu penikmat budaya pop thailand dan pernah berkunjung ke sana tuhh rasanya nano-nano pisann
yaAllah, global village ni bener2 nyata, ya🥹 ขอบคุณครับ ขอให้คุณเป็นซากินาห์ มาวัดดะห์ วะ เราะมะฮ์ 🙏
4 notes · View notes
soclaimon · 7 months ago
Text
‘อยุธยา ๒๕๖๖’นิทรรศการภาพถ่ายจิตรกรรม ฝีมือ‘มานิต ศรีวานิชภูมิ’
#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า https://www.naewna.com/lady/800030 ‘อยุธยา ๒๕๖๖’นิทรรศการภาพถ่ายจิตรกรรม ฝีมือ‘มานิต ศรีวานิชภูมิ’ วันเสาร์ ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2567, 06.00 น. อัตตา แกลเลอรี่ ชวนคนรักงานศิลปะเข้าร่วมชมและพบปะพูดคุยกับศิลปิน ในงานเปิดนิทรรศการ ��อยุธยา ๒๕๖๖” นิทรรศการภาพถ่ายจิตรกรรม โดย มานิต ศรีวานิชภูมิ ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 ระหว่างเวลา…
Tumblr media
View On WordPress
0 notes
serieshd24 · 9 months ago
Text
รีวิวหนัง "เพื่อน(ไม่)สนิท" ลำดับพยายามทำความสนิท..ที่อาจจะยังไม่สนิทแนบแน่น
ขึ้นว่าเป็นผลงานจากค่ายหนังอารมณ์ดี จีดีเอช หลาย ๆ คนน่าจะถูกซื้อใจมาตั้งแต่ใบปิดและตัวอย่างหนังที่ปล่อยออกมา เรียกได้ว่าหน้าของหนังแทบจะทำให้ตัดสินใจได้ไม่ยากที่จะตีตั๋วหรือไม่ เช่นเดียวกับ "เพื่อน(ไม่)สนิท Not Friends" หนังตลกดรามาคลุกเคล้ามิตรภาพเรื่องล่าสุดจากค่ายนี้ ก็สรรค์สร้างผลงานออกมาบนระดับบาร์ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ นับว่าเป็นหนึ่งในโจทย์เหมือนจะง่าย แต่ค่อนข้างท้าทายไม่น้อยเลย ดูซีรีย์ฟรี
เพื่อน(ไม่)สนิท เป็นเรื่องราวของ เป้ ที่ต้องย้ายมาเรียนที่โรงเรียนใหม่ช่วงกลางเทอมชั้น ม.6 ที่ชีวิตวัยมัธยมของเขากำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว ก่อนจะได้มาพบกับ โจ เพื่อน..ที่อยากจะเป็นเพื่อนใหม่ของเขา แต่เขาไม่ให้เป็น กระทั่งอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดทำให้โจต้องจากไปอย่างกะทันหัน ทำให้เป้เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำหนังสั้นขึ้นมา เพื่อระลึกถึงโจ เพื่อนที่ใคร ๆ ก็สนิทและยังคิดถึงกันทั้งโรงเรียน ยกเว้นเพียงแต่..เป้ที่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อนโจเลยด้วยซ้ำ
"อัตตา เหมวดี" ผู้กำกับหนุ่มไฟแรงที่เคยมีผลงานโฆษณาและเบื้องหลังมิวสิควิดีโอดัง ๆ หลายชิ้น ได้รับการผลักดันให้มากำกับหนังยาวเรื่องนี้เป็นครั้งแรก โดยเขายังทำหน้าที่เขียนบทหนังเรื่องนี้เองด้วย จากการที่มี "บาส นัฐวุฒิ" (���าก One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ) รับบทเป็นเมนเทอร์คอนช่วยเหลือรุ่นน้องในผลงานชิ้นนี้ ดูซีรีย์ฟรี
อาจจะบอกได้ว่างานของ อัตตา เหมวดี นับว่าน่าพอใจเลยทีเดียว มันยังจัดได้ว่าดีตามมาตรฐานและบรรทัดฐานของหนังค่ายนี้ ไม่ว่าจะองค์ประกอบงานโปรดักชันต่าง ๆ ที่ยังใส่เข้ามาด้วยความละเมียดและใส่ใจ โดยเฉพาะงานภาพและการเล่นกับแสง นับว่าเป็นจังหวะที่ต้องการสอดแทรกและคารวะความยิ่งใหญ่ของวงการภาพยนตร์โดยแท้ หรือที่เขาเรียกกันว่า Long Live Cinema นั่นเอง
แต่ในด้านเนื้อหาและองค์ประกอบของบทหนัง นับว่าเป็นกิมมิกที่ค่อนข้างท้าทายไม่น้อยเลย ภายใต้โจทย์ที่ดูเหมือนจะง่าย แต่กลับไม่ค่อยง่ายสักเท่าไหร่นัก เพราะอย่าลืมนี่คือหนังแนวถนัดของจีดีเอชเลย แล้วจะทำอย่างไรให้มันได้รับการยกระดับให้สูงยิ่งขึ้นกว่าผลงานเรื่องก่อน ๆ ของพวกเขาเอง นั่นแหละคือชาเลนจ์ใหญ่ มันจึงออกมาในท่วงทำนองที่มีรสสัมผัสที่ว่า...ดี แต่ยังไม่ถึงขั้นกัดกินใจขนาดนั้น ดูซีรีย์ฟรี
Tumblr media
โครงการเรื่องราวของหนังแทบจะไม่มีอะไรมากนัก เน้นเล่าถึงช่วงชีวิตหนึ่งในเด็กชั้น ม.6 ที่มีบททดสอบด้านมิตรภาพและความเป็นอยู่เข้ามา ซ้ำยังต้องเผชิญหน้ากับจุดเปลี่ยนก้าวสำคัญในชีวิตพวกเขากับการไปสู่รั้วมหาวิทยาลัย แต่ตัวหนังก็ทำได้แค่เล่าออกมาได้เหมือนจะกระแทกใจ แต่เมื่อมองดูดี ๆ กลับค่อนข้างผิวเผินไปสักหน่อย จับต้องกับประเด็นต่าง ๆ ที่ไม่ได้เน้นอะไรมากนัก นอกจากย่างก้าวสีเทา ๆ เบียว ๆ ของมนุษ��์เท่านั้น
โดยส่วนตัว��ั้นคิดว่า เพื่อน(ไม่)สนิท อาจจะเป็นหนังที่มีทั้งคนชอบมาก ๆ และบางคนที่รู้สึกเฉย ๆ เอียงไปถึงไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ปะปนกันไป เพราะด้วยกิมมิกของหนังที่ค่อนข้างนำเสนอออกมาในเบียวอย่างร่วมสมัย ที่อาจจะเข้าไปกระตุ้นต่อมความคิดถึงวันวานแห่งมิตรภาพวัยเรียน แต่กลับไ���่สามารถแทรกซึมเข้าไปถึงกลางใจได้อย่างถ่องแท้ได้สักเท่าไหร่นัก จึงเป็นหนังที่ดี...แต่ยังไม่ถึงขนาดสมบูรณ์อะไรขนาดนั้น
แอบเสียดายนิดหน่อย ที่กลายเป็นว่าในช่วงหลัง ๆ จีดีเอชค่อนข้างป้อนผลงานที่วนอยู่ในอ่างเซฟโซนแบบเดิมของพวกเขาเอง ทั้งโทนและคอนเซ็ปต์บางอย่างค่อนข้างหยิบนำมาทำซ้ำต่อเนื่องกันบ่อยเกินไป จนทำให้ภาพลักษณ์ในผลงานช่วงระยะ 2-3 ปีมานี้ของค่าย ค่อนข้างจะย้ำอยู่กับที่ไปสักหน่อย อยากจะดรามาจัด ๆ ก็ยังไปไม่ค่อยถึง อยากจะตลกจี๊ด ๆ ก็ยังกระโจนขึ้นไประดับหนึ่งไม่ค่อยได้
ทางด้านทีมนักแสดงที่ถือว่าเป็นแคสติ้งรุ่นใหม่แทบจะทั้งหมด แต่ทุกคนก็เปล่งประกายทางการแสดงออกมาได้ค่อนข้างดีใช้ได้เลย แม้ว่าการจับ "โทนี อันโทนี" กับ "ใบปอ ธิติยา" มาเป็นเคมีคู่เดิมที่ออกจะซ้ำซากไปสักหน่อย แต่นักแสดงรุ่นใหญ่คู่นี้ก็เผยให้เห็นแล้วว่า พวกเขาเป็นของดีที่สุดในรุ่นนี้จริง ๆ ถึงบทมันจะวนเวียนอยู่ละแวกเดิมไปสักหน่อยก็ตามที
แต่อีกคนที่ถือว่าเฉิดฉายแบบเหนือความคาดหมายก็คือ "จั๊มพ์ พิสิฐพล" ที่ถือว่าเป็นได้ฉายแสงทางการแสดงออกมาได้อย่างน่าสนใจ ถึงแม้ว่าบทบาทนี้ของเขาอาจจะไม่ได้มีแง่มุมให้ได้เล่นได้มากเท่าไหร่นัก แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเสน่ห์ของเขาได้เข้ามาเติมแต่งและเติมเต็มให้คาแรกเตอร์น่าสนใจขึ้นเป็นกอง และกลายเป็นว่าเขาคือดาวรุ่งที่ยิ่งดูเขาแสดงไป เรายิ่งละสายตาไปจากเขาไม่ได้อีกคนหนึ่งเลย
Tumblr media
ดังนั้นโดยภาพรวมแล้ว เพื่อน(ไม่)สนิท ก็จัดได้ว่าเป็นที่ดีตามมาตรฐานของจีดีเอช ประเด็นของหนังค่อนข้างชัดเจนดี แต่อาจจะยังไม่สามารถดึงดูดความเชื่อใจจากฝ่ายคนดูได้อย่างเต็มตัวใจ มันเป็นหนังที่เบียว ที่ประหลาดใจบางมุม ที่ซาบซึ้งได้ในบางตอน ที่ทำให้คิดถึงเพื่อนเก่าได้บางที แต่ยังไม่ค่อยกลมกล่อมมากนักในแง่การเป็นภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบ
แน่นอนว่าข้อความของหนังเรื่องนี้ค่อนข้างทรงพลังในตัวเองอยู่ไม่น้อย ทั้งเรื่องมิตรภาพ ความฝัน และความเป็นวัยรุ่น มีหลายฉากที่น่าจะทำให้คนดูรู้สึกน้ำตาคลอตามไปด้วย เพราะมันล้วนแต่เป็นการฉายภาพแห่งห้วงเวลาที่หลาย ๆ คนก็เคยผ่านกันไป ทั้งความสำเร็จและความสูญเสีย แม้ว่า เพื่อน(ไม่)สนิท ยังจัดได้ว่าเป็นหนังที่ค่อนข้างดี แต่ยังไม่ถึงขั้นตราตรึงใจจนอยากจะไปทำความสนิทซ้ำอีกในเร็ววันนี้...
0 notes
bucket1799 · 10 months ago
Text
เพื่อน(ไม่)สนิท
รีวิวหนัง "เพื่อน(ไม่)สนิท" ลำดับพยายามทำความสนิท..ที่อาจจะยังไม่สนิทแนบแน่น
Tumblr media
ขึ้นว่าเป็นผลงานจากค่ายหนังอารมณ์ดี จีดีเอช หลาย ๆ คนน่าจะถูกซื้อใจมาตั้งแต่ใบปิดและตัวอย่างหนังที่ปล่อยออกมา เรียกได้ว่าหน้าของหนังแทบจะทำให้ตัดสินใจได้ไม่ยากที่จะตีตั๋วหรือไม่ เช่นเดียวกับ "เพื่อน(ไม่)สนิท Not Friends" หนังตลกดรามาคลุกเคล้ามิตรภาพเรื่องล่าสุดจากค่ายนี้ ก็สรรค์สร้างผลงานออกมาบนระดับบาร์ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ นับว่าเป็นหนึ่งในโจทย์เหมือนจะง่าย แต่ค่อนข้างท้าทายไม่น้อยเลย ดูหนังไทย 2024
Tumblr media
เพื่อน(ไม่)สนิท เป็นเรื่องราวของ เป้ ที่ต้องย้ายมาเรียนที่โรงเรียนใหม่ช่วงกลางเทอมชั้น ม.6 ที่ชีวิตวัยมัธยมของเขากำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว ก่อนจะได้มาพบกับ โจ เพื่อน..ที่อยากจะเป็นเพื่อนใหม่ของเขา แต่เขาไม่ให้เป็น กระทั่งอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดทำให้โจต้องจากไปอย่างกะทันหัน ทำให้เป้เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำหนังสั้นขึ้นมา เพื่อระลึกถึงโจ เพื่อนที่ใคร ๆ ก็สนิทและยังคิดถึงกันทั้งโรงเรียน ยกเว้นเพียงแต่..เป้ที่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อนโจเลยด้วยซ้ำ
Tumblr media
"อัตตา เหมวดี" ผู้กำกับหนุ่มไฟแรงที่เคยมีผลงานโฆษณาและเบื้องหลังมิวสิควิดีโอดัง ๆ หลายชิ้น ได้รับการผลักดันให้มากำกับหนังยาวเรื่องนี้เป็นครั้งแรก โดยเขายังทำหน้าที่เขียนบทหนังเรื่องนี้เองด้วย จากการที่มี "บาส นัฐวุฒิ" (จาก One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ) รับบทเป็นเมนเทอร์คอนช่วยเหลือรุ่นน้องในผลงานชิ้นนี้
Tumblr media
อาจจะบอกได้ว่างานของ อัตตา เหมวดี นับว่าน่าพอใจเลยทีเดียว มันยังจัดได้ว่าดีตามมาตรฐานและบรรทัดฐานของหนังค่ายนี้ ไม่ว่าจะองค์ประกอบงานโปรดักชันต่าง ๆ ที่ยังใส่เข้ามาด้วยความละเมียดและใส่ใจ โดยเฉพาะงานภาพและการเล่นกับแสง นับว่าเป็นจังหวะที่ต้องการสอดแทรกและคารวะความยิ่งใหญ่ของวงการภาพยนตร์โดยแท้ หรือที่เขาเรียกกันว่า Long Live Cinema นั่นเอง
Tumblr media
0 notes
srinapongdirek · 4 years ago
Text
อธิปไตยแห่งอาริยชน
Tumblr media
แม้เราจะไม่มีคำถามว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร ชีวิตที่เกิดแล้วก็ต้องเสื่อมและดับอยู่ดี
แม่พ่อผู้เป็นฐานแห่งการกำเนิดจะตั้งความปรารถนาไว้ด้วยเจตนาอย่างไรหรือไม่นั้น ไม่อาจเป็นเงื่อนไขให้เกิดความสงสัยในเจตนาแห่งความรักได้ เพราะผู้ที่ได้โอกาสเกิดมาเป็นคนทุกคน เป็นผู้เลือกฐานกำเนิดนั้นแล้วด้วยเจตนาแห่งตน ซึ่งเป็นกรรมของตนโดยแท้
ย้อนไปที่คำถามในตอนที่กล่าวถึงบทสรุปปฏิจจสมุปบาทสายดับ ว่า ใครคือผู้ไม่รู้ ใครเป็นผู้มีอวิชชา ผู้นั้นคือผู้ปรุงแต่งธาตุรู้หรือวิญญาณให้เกิดขึ้น ปรุงแต่งนามรูปให้สมบูรณ์���ึ้น อันประกอบด้วย ๕ องค์ประกอบหลักหรือขันธ์ ๕ ผู้นั้นแหละเป็นผู้มีเจตนามาเกิดตามกรรมแห่งตน จึงไม่อาจตั้งคำถามต่อแม่พ่อผู้เป็นฐานกำเนิดได้ว่า รักใคร่กันหรือไม่เพียงใด เพราะนั้นเป็นการ อกตัญญูู โดยไม่คำนึงถึงโอกาสที่ได้กำเนิดมาเป็นคนและได้เติบโตมาจนถึงวันที่ได้พูดคำอกตัญญูนั้นเป็นเพราะใคร
ผู้ไม่รู้ ผู้ปรุงแต่ง พระตถาคตเรียกว่า "สัตว์"(สัตตะ สัตตานัง)แปลว่า "ผู้ยึดติด" มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก
จึงเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ
ก่อนมาเป็นสัตว์
ก่อนมาเป็นสัตว์ผู้ติดยึด เคยเป็นอะไรมาก่อน พระตถาคตเห็นว่า สิ่งนั้นมีอยู่ เป็นธาตุที่มีคุณสมบัติตรงกันข้ามกับสังคตธาตุ ซึ่งสัตว์มาหลงยึดติดอยู่ กล่าวคือ เกิดไม่ปรากฏ เสื่อมไม่ปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ไม่มีอาการอย่างอื่นปรากฎ เรียกว่า "อสังคตธาตุ" เป็นอมตะ
แปลงจากอมตะธาตุมาเป็นสัตว์ เพราะความไม่รู้ ยังมีอวิชชากั้นอยู่เป็นอนุสัย จึงปรุงแต่งโดยโน้มลำแสงแห่งมโน มากระทบฉากในฐานกำเนิดจึงรู้แจ้ง(วิญญาณ) ให้ผูกติด(จิต)ปรุงแต่งต่อไปตามเหตุปัจจัยในสายปฏิจจสมุปบาท
สรุปถอยหลัง
หากไม่เกิด(เพราะชาติดับ)ย่อมอยู่เป็นอมตะ ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บและไม่ต้องตาย(เป็นอมตะ,อสังคตธาตุ,พิพพานธาตุ)
ชาติดับ เพราะการดับแห่งภพ
ภพดับ เพราะการดับแห่งอุปาทาน
อุปาทานดับ เพราะการดับแห่งตัณหา(ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา)
ตัณหาดับ เพราะการดับแห่งเวทนา
เวทนาดับ เพราะการดับแห่งผัสสะ
ผัสสะดับ เพราะการดับแห่งสฬายตนะ
สฬายตนะดับ เพราะการดับแห่งนามรูป
นามรูปดับ เพราะการดับแห่งวิญญาณ
วิญญาณดับ เพราะการดับแห่งสังขาร
สังขารดับ เพราะการดับแห่งอวิชชา
พระตถาคตเป็นผู้รู้แจ้งในโลกธาตุไม่มีใครยิ่งกว่า
ทำอย่างไรจึงดับสิ้น?
มรรคมีองค์ ๘ คือคำตอบ เป็นทางแห่งอาริยะ ซึ่งพระตถาคตได้วางไว้ให้ชาวพุทธผู้มีศรัทธา ผู้เป็นอริยสาวโกได้เดิมตาม เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว ถึงบัดนี้ ยังไม่มีการค้นพบของผู้รู้ใดในโลกธาตุมาลบล้างอริยสัจได้แม้แต่รายเดียว
โปรดพิจารณาแผนภูมิข้างบน
ตัวเลขที่ออกได้แก่ ๘-๓-๒-๑ #อริยมรรค
จัดเจนอยู่ดีแล้ว จึงไม่ขออธิบายแจกแจงรายละเอียดในความหมายของมรรคทั้ง ๘ ว่าเป็นอย่างไร เช่น สัมมาทิฏฐิเป็นอย่างไร แตกต่างจากมิจฉาทิฏฐิอย่างไร เชื่อมโยงกับมรรคข้ออื่น ๆ อย่างไร เหล่านี้เป็นต้น เพราะนั้นเท่ากับยกพุทธวจนมาวางไว้ทั้งหมด ซึ่งไม่อยู่ในฐานะที่ทำได้ จึงเชิญชวนผู้สนใจขุดค้นด้วยสุตะจากพุทธวจนตามกำลังอินทรีย์ของแต่ละท่านโดยตรงเถิด
ในที่นี้ ขอรวบยอดทางปฏิบัติสู่ปัญญาวิมุติ เจโตวิมุติ เจาะทะลุทะลวงตลอดถึงอมตะด้วยทางด่วนพิเศษ ๑ เดียวในโลก คือ "อานาปานสติ" โดยสังเขปว่า ท่านจงมาดูเถิด ปฏิบัติดูเถิด
เอาจิตวิญญาณมาตามรู้ลมหายใจเข้าออก ซึ่งเป็นกายในกายอันหนึ่ง เป็นประจำ ตลอดเวลา���ห้เป็นกายาคตาสติยิ่งดี จิตจะได้ไม่แกว่งซัดส่ายไปตั้งในที่อื่น ๆ จนใจวุ่นวายไร้ความสงบ
ขณะจิตอยู่กับลมหายใจ มีคุณค่าเท่ากับการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาแล้ว มีศีล สมาธิด้วยความเพียรแล้ว
ด้วยสติตามรู้ลม เห็นการเกิด-ดับของจิตวิญญาณในที่ตั้งทั้ง ๔ อยู่ เฝ้ามองอยู่ คอยละความเพลินอยู่ คอยดึงกลับมารู้ลมอยู่ จนมีทักษะชำนาญเชี่ยวชาญในวาระจิตของตน นี้คือปัญญาได้เกิดแล้ว
เมื่อเห็นการเกิดดับ เห็นอริยสัจ เห็นปฏิจจสมุปบาท พระตถาคตกล่าว ได้ปริญญาแล้ว
ผู้มีปริญญา เมื่อถึงกาลกายแตกดับ หลังจากจิตได้เห็นโทษในกองทุกข์และเบื่อหน่ายในขันธ์ ๕ ว่าเป็นของปลอม เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ จึงรู้ปล่อยวางจิตจากการยึดมั่นในขันธ์ ๕ ด้วยปัญญา
เมื่อสัตว์รู้ชัดว่า "นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และไม่ใช่ตัวตนของเรา(เนตัง มมะ,เนโสอมัสมิ,นะเมโส อัตตา) ก็จะไม่โง่ปรุงแต่งโดยโน้มแสงแห่งมโนมาหาที่เกิดอีกต่อไป
ณ สังคมใยแมลงมุม ดูออกจะยุ้งเหยิงสารพัดปัญหาทั้งปัจจุบันและอนาคต เพราะสัตว์มีมาตรฐานต่างกัน จึงควร Add มาตรฐานพลเมืองไทยไว้ใน Block chain แห่งชาติหรือไม่ ?
1 note · View note
foxxible · 6 years ago
Text
เจตนาเผา "อคติ" ของตนเอง
"พระนิพพาน"นั้น ไม่มีการยึดมั่นหมายมั่น
ท่านจะผลักดันตัวท่านไปสู่พระนิพพานนั้นหาได้ไม่
เพราะการผลักดันอย่างนั้น ยิ่งทำให้ห่างออกไปทุกที
การจะเผาผลาญขจัดความยึดมั่นออกจากจิตของเรานั้น
มันยากยิ่ง
ชีวิตบริสุทธิ์ หรือพรหมจรรย์นั้น เปรียบกับการเผาไหม้
คือเผาตัว "อัตตา" และ "อวิชชา"
เมื่อเผาไหม้จนหมดแล้ว
ที่เหลือ คือ ความบริสุทธิ์
เพราะฉะนั้น ชีวิตของคนเรานี้
จะต้องมีเจตนาที่จะเผา "อคติ" ของตนเอง
เผาความปรารถนาทะยานอยาก
เผาความฟุ้งซ่านและความโลภ ทุกสิ่งทุกอย่าง
จนกระทั่งเหลือแต่ความบริสุทธิ์
เมื่อมีแต่ความบริสุทธิ์ ก็จะไม่มีตัวตน ไม่มีอะไร
มันเป็นเช่นนั้นเอง
"....จงปล่อยวางไป ..."
วีถีทางคืออยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความจริง
"ไม่มีที่ไหนจะไป ไม่มีอะไรจะต้องทำ
ไม่มีอะไรจะเป็นหรือไม่เป็น"
เมื่อเผากิเลสตัณหาและอวิชชาแล้ว
���ะเหลือแต่ความสะอาด สงบ และสว่าง
............
Nibbana is a subtle realisation of non-grasping.
You can't drive yourself to Nibbana. That's the sure way of never realising it. It's here and now, so if you're driving yourself to Nibbana, you're always going far away from it, driving right over it.
It's pretty heavy, sometimes, to burn up attachments in our mind. The Holy Life is a holocaust, a total burning, a burning up of self, of ignorance. A diamond is a symbol of the purity that comes from the holocaust; something that went through such fires that what was left was purity. And so that's why in our life here there has to be this willingness to burn away the self-views, the opinions, the desires, the restlessness, the greed, all of it, the whole of it, so that there's nothing but purity remaining. Then when there is purity, there is nobody, no thing, there's that, the 'suchness'.
And let go of that. More and more the path is just the simple being here and now, being with the way things are. There's nowhere to go, nothing to do, nothing to become, nothing to get rid of. Because of the holocaust, there is no ignorance remaining; there is purity, clarity and intelligence.
..................
พระสุเมธาจารย์ (สุเมโธภิกขุ)
ส่วนหนึ่งจาก (Only One Breath)
แปลและเรียบเรียงโดย : นายแพทย์ วิเชียร สืบแสง
Only One Breath
Ajahn Sumedho
0 notes
rethinker · 7 years ago
Quote
ความดีก็เป็นแนวคิดแบบทวิภาวะ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า dualism ที่ไหนมีความดีที่นั่นย่อมมีความไม่ดี ซึ่งทำให้ผู้คนสามารถสมาทานความดีมาเสริมอัตตาได้โดยง่าย แค่คิดว่าตัวเองดีก็รู้สึกมีฐานะเหนือกว่าคนไม่ดีแล้ว ด้วยเหตุดังนี้ ถ้าไม่ตั้งสติให้มั่น ผู้คนสามารถพลัดหลงอยู่ในวังวนของความดีได้
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, ปาฐกถา ป๋วย อึ๊งภากรณ์. 9 มีนาคม พ.ศ. 2561
0 notes
somweed · 7 years ago
Photo
Tumblr media
ปรัชญาภิญญาวีณ์ประจำวันนี้ .. Don't take bad feeling to you heart. #happiness #dharma #ธรรมะ #ปล่อยวาง #อัตตา #ความสุข ~ นะจ๊ะ ; ) (at Samut Prakan, Thailand)
0 notes
the1stimpression · 4 years ago
Text
กำลัง ของใจ
ในการยึด...ถือ...ครอง
สิ่งของ...หรือสิ่งใด
กำลังของกาย ย่อมสำคัญ
ยืน เดิน นั่งหรือนอน
หากขาดกำลังของกาย... การทำการใดๆย่อม คาดหวังผลลัพธ์ไม่ได้
ร่างกายที่แข็งแรงย่อมยังประโยชน์ทางโลกให้...
ในการปล่อย.. ในการวาง
อัตตา..หรือเครื่องเศร้าหมองใจ
กำลังของใจสำคัญยิ่ง
เพราะต้องฝืน ต้องทวน เพื่อปลดสิ่งที่ฉุดเราให้อยู่ในวัฏฏะมานานแสนนาน
ถ้าใจ.. หรือจิตไม่มีกำลัง
จะหลับตาหรือลืมตา...
ย่อมพ่ายแพ้ต่อสงครามในการปลดปล่อยดวงจิต...
สงครา��ที่ชนะได้ยาก...
กำลังของกาย ยิ่งบริหารออกกำลังก็ยิ่งได้คืน ความสกปรกใดที่หนักกาย ยิ่งหมั่นชำระ กายยิ่งสะอาด
กำลังของใจ ก็ต้องหมั่นฝึกฝนอบรม
ใจที่ไม่ฝึกให้ดี ย่อมไม่มีกำลังทำกิจการใดๆเช่นกัน
0 notes
soclaimon · 4 years ago
Text
'ป๊อบ ปองกูล' จับแกง!! 'โจ๊ก โซคูล - โอ๊ต ปราโมทย์' จัดเต็ม MV 'มนุษย์เอ๋ย' ฟีทเจอริ่ง 'อัตตา' แร็ปเปอร์เลือดใหม่ #SootinClaimon.Com
‘ป๊อบ ปองกูล’ จับแกง!! ‘โจ๊ก โซคูล – โอ๊ต ปราโมทย์’ จัดเต็ม MV ‘มนุษย์เอ๋ย’ ฟีทเจอริ่ง ‘อัตตา’ แร็ปเปอร์เลือดใหม่ #SootinClaimon.Com
#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
บันเทิง – ‘ป๊อบ ปองกูล’จับแกง!!’โจ๊ก โซคูล – โอ๊ต ปราโมทย์’จัดเต็ม MV’มนุษย์เอ๋ย’ฟีทเจอริ่ง’อัตตา’แร็ปเปอร์เลือดใหม่ (naewna.com)
Tumblr media
‘ป๊อบ ปองกูล’จับแกง!!’โจ๊ก โซคูล – โอ๊ต ปราโมทย์’จัดเต็ม MV’มนุษย์เอ๋ย’ฟีทเจอริ่ง’อัตตา’แร็ปเปอร์เลือดใหม่
วันพฤหัสบดี ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563, 14.17 น.
ถึงคราวพี่ใหญ่ “ป๊อบ-ปองกูล สืบซึ้ง”แห่ง…
View On WordPress
0 notes
hellokangsom-blog · 4 years ago
Photo
Tumblr media
อย่าได้แคร์ ~ เพราะเราก็เลือก ไม่ได้เกิดมาเพื่อมีการศึกษาที่ดี การงานที่ดี👠 แล้วเลือกอะไรไม่ได้~ • • • • #ขนมหลานยายชุบ #ขนม#อร่อย#sbapshot#instaphoto #ไปเที่ยวกัน #เขาใหญ่#kangsomsnap📷 (ที่ อัตตา คีรีมายา รีสอร์ท เขาใหญ่ ATTA Kirimaya Resort Khaoyai) https://www.instagram.com/p/CHt8XtChCF2/?igshid=1i70195xnc2sa
0 notes
lukdomoview · 4 years ago
Text
Living With Yourself
รีวิว Living With Yourself - ชีวิตติดเซลฟ์
ซีรีส์คอมเมดี้พลอตเพี้ยน ๆ จากมันสมองของ ธีโมที กรีนเบิร์ก ที่แม้มีเพียงเครดิตเขียนบทซีรีส์ The Detour เท่านั้น ที่เหมือนเอาพลอตของ Adaptation (2002) หนังออสการ์สาขาบทยอดเยี่ยมโดย ชาร์ลี คอฟแมน มายำรวมกับพลอตคอมเมดี้ดรามาว่า รีวิว Living With Yourself
เรื่องย่อ
หลังใช้บริการสปาพัฒนาชีวิตตามคำแนะนำของเพื่อนร่วมงาน ไมลส์ เอลเลียต (พอล รัดด์) ก็ต้องเผชิญหน้ากับร่างโคลนนิ่งของเขาที่เป็นเวอร์ชันที่ดีกว่า นั่นนำมาซึ่งความยุ่งเหยิงต่าง ๆ นานา ทั้งความสัมพันธ์กับ เคต (ไอส์ลิง บี) ภรรยาที่ต้องการตั้งครรภ์และคะยั้นคะยอให้เขาไปฝากสเปิร์ม ไปจนถึงการต้องแข่งกับร่างโคลนนิ่งของตัวเองในเรื่องงานที่ดูจะรุ่งกว่าไอเดียของเขาเองเสียอีก สุดท้าย ไมลส์ จะจัดการอย่างไรกับชีวิต 1 ชีวิตทว่ามีตัวเขาเองถึง 2 ร่างแบบนี้
ซีรีส์คอมเมดี้พลอตเพี้ยน ๆ จากมันสมองของ ธีโมที กรีนเบิร์ก ที่แม้มีเพียงเครดิตเขียนบทซีรีส์ The Detour เท่านั้น ที่เหมือนเอาพลอตของ Adaptation (2002) หนังออสการ์สาขาบทยอดเยี่ยมโดย ชาร์ลี คอฟแมน มายำรวมกับพลอตคอมเมดี้ดรามาว่าด้วยคนขี้แพ้ที่อยากพัฒนาตัวเอง
ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า อิทธิพลของ คอฟแมน ชัดมากทีเดียวในงานบทของซีรีส์เรื่องนี้ทั้งความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงตัวเองที่กำลังตีบตันทั้งไอเดียและการใช้ชีวิตคล้าย ๆ กัน สำหรับ Living With Yourself การให้ตัวเอกอย่าง ไมลส์ มีอาชีพ ครีเอทีฟ ก็ดูจะเย้ยหยันกับปัญหาทางตันในชีวิตได้อย่างเจ็บแสบไม่น้อย
เพราะการให้คนที่เอาความคิดใช้หากินมาเผขิญกับปัญหามืดแปดด้านจนต้องพึ่งสปาลึกลับก็ดูเมกเซนส์ไม่น้อยเลยทีเดียวและสิ่งที่ดึงคนดูได้อยู่หมัดก็คงหนีไม่พ้นสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะมาพิสูจน์และให้ข้อคิดกับตัวละครที่ต้องบอกว่าบทซีรีส์ทำได้ไม่เลวเลย
เนื้อเรื่อง
Living with Yourself เป็นซีรีส์ดูหนังฟรีแนวดราม่าผสมคอมเมดี้ตลกเสียดสีสังคม ว่าด้วยการพยายามเปลี่ยนตัวตนไปเป็นคนที่ดีกว่าเดิม โดยเป็นผลจากสังคมชีวิตรอบตัวโน้มน้าวให้ต้องหาทางทำอะไรใหม่ๆ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ดีกับชีวิตจริงหรือไม่ หนังตั้งคำถามบอกเล่าเรื่องราวหลายแง่มุมผ่านเรื่องราวของพระเอก ไมลส์ อิลเลียตต์
ที่เรียกว่าชีวิตดูตกต่ำถึงขีดสุด จนทำให้เขาต้องยอมพลิกชีวิตเข้ารับบริการสปามหัศจรรย์ “Top Happy Spa” ซึ่งช่วยพลิกชีวิตเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในคืนเดียว แต่เรื่องราวไม่ได้ง่ายแบบน��้น เพราะเขากลับพบว่าตัวเองในแบบที่ดีกว่า เป็นเหมือน “ดอปเปลแกงเกอร์ (Doppelgänger)”
ที่แทรกเข้ามาแทนที่ชีวิตของเขา ในแบบที่เขาก็ต้องจำใจยอมรับว่าตัวตนใหม่ของเขานั้นพิเศษเด็ดดวงกว่าเขาในทุกด้านจริงๆ ซึ่งถ้าเป็นคุณจะทำยังไงในเมื่อตัวคุณเองสู้ตัวตนใหม่ไม่ได้เลยในทุกทาง
การดำเนินเรื่อง
แม้ซีรีส์จะเริ่มมาด้วยพลอตไซไฟโรแมนติกที่ดูจะไม่พ้นหนังที่สร้างจากบทของ ชาร์ลี คอฟแมนทั้ง Being John Malkovich (1999) Adaptation (2002) หรือแม้กระทั่งเรื่องที่พระเอกไปเข้าสปาก็พาลนึกถึง Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004) ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่หมัดเด็ดของมันคงหนีไม่พ้นสององค์ประกอบสำคัญนั่นคือ การพูดถึงความภาคภูมิใจในตนเอง (Self Esteem) และ การแสดงของ พอล รัดด์ นั่นเอง
หนังใช้เรื่องราวหนังใหม่ชนโรง ไซไฟนิดๆ มาผสมให้เกิดเป็นเรื่องมหัศจรรย์ล้ำยุคเล็กๆ ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ตรงนี้ขอไม่สปอยล์ อยากให้ผู้อ่านได้ลองดูกันเอาเองว่าหนังทำให้เกิดพระเอกที่มี 2 ตัวตนได้อย่างไร (ถ้าอยากอ่านก่อนกดที่นี่ครับ) ซึ่งเป็นพล็อตที่ง่ายๆ แต่ทำให้เรื่องราวมีมิติหลายแง่มุมกลับมาคิด
แม้หนังจะละทิ้งความสมจริงตรงนี้ด้วยการให้เป็นเรื่องตลกเสียดสีเชิงธุรกิจ แต่ก็ไม่ได้จินตนาการพาเรื่องราวไปไกลจนเกินกว่าสังคมปัจจุบัน แถมยังลงลึกสำรวจถึงความเป็นไปได้ถ้าเกิดมีเรื่องราวแบบนี้ขึ้นจริงในอนาคต จะมีผลกระทบกลับมายังไงในหลายแง่มุม?
แม้ซีรีส์เปิดเรื่องมาเป็นแนวลึกลับ แต่ก็ไม่ได้เน้นหนักไปที่การหักมุมให้อึ้งตามสูตรหนังซีรีส์ทั่วไปแต่อย่างใด หนังเลือกใช้แนวทางการเล่าเรื่องดราม่าสำรวจชีวิตตัวละครหลัก 3 ตัวคือ ไมลส์เก่า ไมลส์ใหม่ และเคต ภรรยาของเขา ซึ่งเรื่องราวจะเป็นการตัดสลับมุมมองความสัมพันธ์ของทั้ง 3 ตัวละครที่เวลาทับซ้อนกันตลอดทุกเหตุการณ์
ซึ่งเป็นเรื่องราวทั้งด้านบวกและลบจากการที่คนๆ หนึ่งได้พลิกชีวิตเปลี่ยนเป็นคนใหม่ แต่นั่นใช่สิ่งที่ควรจะเป็นหรือเปล่า ยิ่งถ้าตัวตนจริงเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น บางทีความสมบูรณ์แบบก็ไม่ใช่คำตอบของชีวิตเสมอไป
หนังเล่นเรื่องราวได้อย่างฉลาดกับความเป็นไปได้จริงของการใช้ชีวิตเดียวแต่มี 2 ตัวตนว่าจะเป็นยังไง รวมถึงใส่มุมมองที่ละเอียดถี่ถ้วนหลายๆ อย่างทั้งกับ��ารงาน ชีวิตคู่ ตัวตนของเรา ไม่เว้นแม้แต่มุมมองของไมล์ค��ใหม่ ที่เป็นเหมือน “ดอปเปลแกงเกอร์” ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรกับชีวิตที่มีประสบการณ์ความจำเหมือนจริง
แต่กลับไม่ใช่ของจริง ซึ่งหนังสำรวจล้วงลึกไปถึงอารมณ์ความนึกคิดของเขาอย่างละเอียด แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ถูกออกแบบมาใหม่ให้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่พื้นฐานของมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตปกติที่มีข้อบกพร่องอยู่ในตัวทุกๆ คน ไม่ได้จำเป็นต้องไร้ที่ติจนกลายเป็นดีเกิ��กว่ามนุษย์ไป ซึ่งหนังทำออกมาเป็นแนวดราม่าไซไฟนิดๆ ไม่เหนือจริงจนเกินไป ทำให้คนดูรู้สึกสงสารเห็นอกเห็นใจเขาได้ไม่ยากเลย
ประเด็นความภาคภูมิใจในตนเอง
โดยประเด็นความภาคภูมิใจในตนเองอาจฟังดูไกลตัว ทว่าเอาเข้าจริงนี่คือปัญหาร่วมของมนุษยชาติในปัจจุบันเลยทีเดียว คงปฏิเสธไม่ได้นะว่าเทคโนโลยีที่ทำอะไรแทนมนุษย์ได้แทบทุกอย่าง กำลังทำให้ความภูมิใจในการเป็นมนุษย์ของเราถดถอยลง อย่างในซีรีส์ก็ใช้วิทยาการโคลนนิ่งมาเป็นตัวกลาง
และกลไกในการจำลองความคิดของเราว่า หากวันนึงเราสามารถสร้างตัวเราในเวอร์ชันที่ดีกว่าแบบไม่ต้องเหนื่อยไปอบรมกับไลฟ์โค้ช หรือ มีวินัยในตัวเองมากขึ้น ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ซึ่งแต่ละตอนของ Living With Yourself ก็ค่อย ๆ ทำให้เราได้ตระหนักเรื่องของความสำคัญในการใช้ชีวิตคนเราได้อย่างคมคาย
ทั้งคุณค่าของคนต่อครอบครัวที่ซีรีส์ก็ทำให้เราลุ้นว่า ท้ายสุดหากเคตได้เจอ ไมลส์ ในเวอร์ชันที่ดีกว่า เธอจะรักเขามากกกว่าตัวจริงไหม หรือกระทั่งการที่ร่างโคลนนิงสามารถคิดงานที่ดูเห่ยแต่ลูกค้าชอบ จะทำให้ตัวจริงที่เต็มไปด้วย อัตตา โต้กลับหรือรู้สึกอย่างไร
ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็แทบจะแทนเรื่องเส็งเคร็งที่เราเจอในชีวิตประจำวันได้อย่างเห็นภาพ เพียงแต่ซีรีส์เองก็นำเสนอได้อย่างมีอารมณ์ขัน ทว่าแฝงความคมคายชวนคิดมากพอให้เราหันกลับมามองชีวิตเราได้ดีทีเดียวเชียวแหละ
ด้านนักแสดง
นอกจากบทหนังที่เล่นเรื่องราวได้อย่างฉลาดเฉียบคมแล้ว (เขียนบทและสร้างโดยทิโมธี กรีนเบิร์ก เจ้าของรางวัลเอมมี่) ก็ต้องยกให้การแสดงไร้ที่ติของ “พอล รัดด์” ในบทเล่นเป็นตัวเอง 2 คนที่แตกต่างกันสุดขั้ว แบบดูปุ๊บก็แยกออกได้เลยว่าใครเป็นไมลส์คนเก่ากับคนใหม่ ซึ่งเป็นบทที่หนักเอาการเพราะต้องถ่ายทำสองรอบในฉากเดียวกัน แถมตัวละครทั้งคู่ก็ยังมีบทดราม่าหนักๆ ส่งอารมณ์ไม่แพ้กันอีกด้วย
Tumblr media
โดยรวม
หนังใช้บทพิสูจน์จากอุปสรรคความรักหลายรูปแบบ ทั้งจากความจำเจในการใช้ชีวิตคู่ ฐานะความมั่นคงในอนาคต การหึงหวง นอกใจ รวมถึงความบกพร่องเรื่อง Sex มาใช้เป็นเรื่องราวผลักดันความสัมพันธ์ของทั้ง 3 คน ไปสู่ช่วงสุดท้ายของซีรีส์ ที่ทำออกมาปลายเปิดให้จินตนาการต่อไปเอง โดยไม่ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าจะมีซีซั่น 2 หรือไม่
สรุป
ซีรีส์นี้ความยาว 8 ตอน ตอนละแค่ 25 นาทีจบ สนุกลื่นไหล ย่อยง่าย แค่ดูการแสดง 2 ตัวตนของพอล รัดด์ก็สนุกมากๆ แล้ว เป็นซีรีส์ Netflix ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
0 notes
foxxible · 8 years ago
Quote
เมื่อก่อนเป็นคนมีอัตตา คิดว่าควบคุมทุกอย่างได้ ทำให้โกรธง่าย แต่ตอนนี้ตัวเองเป็นเพียงฝุ่นเล็ก ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องโกรธใครแล้ว
หมอวิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ
0 notes
boombermansblog · 4 years ago
Text
Living With Yourself
รีวิว Living With Yourself - ชีวิตติดเซลฟ์
ซีรีส์คอมเมดี้พลอตเพี้ยน ๆ จากมันสมองของ ธีโมที กรีนเบิร์ก ที่แม้มีเพียงเครดิตเขียนบทซีรีส์ The Detour เท่านั้น ที่เหมือนเอาพลอตของ Adaptation (2002) หนังออสการ์สาขาบทยอดเยี่ยมโดย ชาร์ลี คอฟแมน มายำรวมกับพลอตคอมเมดี้ดรามาว่า รีวิว Living With Yourself
เรื่องย่อ
หลังใช้บริการสปาพัฒนาชีวิตตามคำแนะนำของเพื่อนร่วมงาน ไมลส์ เอลเลียต (พอล รัดด์) ก็ต้องเผชิญหน้ากับร่างโคลนนิ่งของเขาที่เป็นเวอร์ชันที่ดีกว่า นั่นนำมาซึ่งความยุ่งเหยิงต่าง ๆ นานา ทั้งความสัมพันธ์กับ เคต (ไอส์ลิง บี) ภรรยาที่ต้องการตั้งครรภ์และคะยั้นคะยอให้เขาไปฝากสเปิร์ม ไปจนถึงการต้องแข่งกับร่างโคลนนิ่งของตัวเองในเรื่องงานที่ดูจะรุ่งกว่าไอเดียของเขาเองเสียอีก สุดท้าย ไมลส์ จะจัดการอย่างไรกับชีวิต 1 ชีวิตทว่ามีตัวเขาเองถึง 2 ร่างแบบนี้
ซีรีส์คอมเมดี้พลอตเพี้ยน ๆ จากมันสมองของ ธีโมที กรีนเบิร์ก ที่แม้มีเพียงเครดิตเขียนบทซีรีส์ The Detour เท่านั้น ที่เหมือนเอาพลอตของ Adaptation (2002) หนังออสการ์สาขาบทยอดเยี่ยมโดย ชาร์ลี คอฟแมน มายำรวมกับพลอตคอมเมดี้ดรามาว่าด้วยคนขี้แพ้ที่อยากพัฒนาตัวเอง
ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า อิทธิพลของ คอฟแมน ชัดมากทีเดียวในงานบทของซีรีส์เรื่องนี้ทั้งความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงตัวเองที่กำลังตีบตันทั้งไอเดียและการใช้ชีวิตคล้าย ๆ กัน สำหรับ Living With Yourself การให้ตัวเอกอย่าง ไมลส์ มีอาชีพ ครีเอทีฟ ก็ดูจะเย้ยหยันกับปัญหาทางตันในชีวิตได้อย่างเจ็บแสบไม่น้อย
เพราะการให้คนที่เอาความคิดใช้หากินมาเผขิญกับปัญหามืดแปดด้านจนต้องพึ่งสปาลึกลับก็ดูเมกเซนส์ไม่น้อยเลยทีเดียวและสิ่งที่ดึงคนดูได้อยู่หมัดก็คงหนีไม่พ้นสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะมาพิสูจน์และให้ข้อคิดกับตัวละครที่ต้องบอกว่าบทซีรีส์ทำได้ไม่เลวเลย
เนื้อเรื่อง
Living with Yourself เป็นซีรีส์ดูหนังฟรีแนวดราม่าผสมคอมเมดี้ตลกเสียดสีสังคม ว่าด้วยการพยายามเปลี่ยนตัวตนไปเป็นคนที่ดีกว่าเดิม โดยเป็นผลจากสังคมชีวิตรอบตัวโน้มน้าวให้ต้องหาทางทำอะไรใหม่ๆ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ดีกับชีวิตจริงหรือไม่ หนังตั้งคำถามบอกเล่าเรื่องราวหลายแง่มุมผ่านเรื่องราวของพระเอก ไมลส์ อิลเลียตต์
ที่เรียกว่าชีวิตดูตกต่ำถึงขีดสุด จนทำให้เขาต้องยอมพลิกชีวิตเข้ารับบริการสปามหัศจรรย์ “Top Happy Spa” ซึ่งช่วยพลิกชีวิตเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในคืนเดียว แต่เรื่องราวไม่ได้ง่ายแบบนั้น เพราะเขากลับพบว่าตัวเองในแบบที่ดีกว่า เป็นเหมือน “ดอปเปลแกงเกอร์ (Doppelgänger)”
ที่แทรกเข้ามาแทนที่ชีวิตของเขา ในแบบที่เขาก็ต้องจำใจยอมรับว่าตัวตนใหม่ของเขานั้นพิเศษเด็ดดวงกว่าเขาในทุกด้านจริงๆ ซึ่งถ้าเป็นคุณจะทำยังไงในเมื่อตัวคุณเองสู้ตัวตนใหม่ไม่ได้เลยในทุกทาง
การดำเนินเรื่อง
แม้ซีรีส์จะเริ่มมาด้วยพลอตไซไฟโรแมนติกที่ดูจะไม่พ้นหนังที่สร้างจากบทของ ชาร์ลี คอฟแมนทั้ง Being John Malkovich (1999) Adaptation (2002) หรือแม้กระทั่งเรื่องที่พระเอกไปเข้าสปาก็พาลนึกถึง Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004) ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่หมัดเด็ดของมันคงหนีไม่พ้นสององค์ประกอบสำคัญนั่นคือ การพูดถึงความภาคภูมิใจในตนเอง (Self Esteem) และ การแสดงของ พอล รัดด์ นั่นเอง
หนังใช้เรื่องราวหนังใหม่ชนโรง ไซไฟนิดๆ มาผสมให้เกิดเป็นเรื่องมหัศจรรย์ล้ำยุคเล็กๆ ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ตรงนี้ขอไม่สปอยล์ อยากให้ผู้อ่านได้ลองดูกันเอาเองว่าหนังทำให้เกิดพระเอกที่มี 2 ตัวตนได้อย่างไร (ถ้าอยากอ่านก่อนกดที่นี่ครับ) ซึ่งเป็นพล็อตที่ง่ายๆ แต่ทำให้เรื่องราวมีมิติหลายแง่มุมกลับมาคิด
แม้หนังจะละทิ้งความสมจริงตรงนี้ด้วยการให้เป็นเรื่องตลกเสียดสีเชิงธุรกิจ แต่ก็ไม่ได้จินตนาการพาเรื่องราวไปไกลจนเกินกว่าสังคมปัจจุบัน แถมยังลงลึกสำรวจถึงความเป็นไปได้ถ้าเกิดมีเรื่องราวแบบนี้ขึ้นจริงในอนาคต จะมีผลกระทบกลับมายังไงในหลายแง่มุม?
แม้ซีรีส์เปิดเรื่องมาเป็นแนวลึกลับ แต่ก็ไม่ได้เน้นหนักไปที่การหักมุมให้อึ้งตามสูตรหนังซีรีส์ทั่วไปแต่อย่างใด หนังเลือกใช้แนวทางการเล่าเรื่องดราม่าสำรวจชีวิตตัวละครหลัก 3 ตัวคือ ไมลส์เก่า ไมลส์ใหม่ และเคต ภรรยาของเขา ซึ่งเรื่องราวจะเป็นการตัดสลับมุมมองความสัมพันธ์ของทั้ง 3 ตัวละครที่เวลาทับซ้อนกันตลอดทุกเหตุการณ์
ซึ่งเป็นเรื่องราวทั้งด้านบวกและลบจากการที่คนๆ หนึ่งได้พลิกชีวิตเปลี่ยนเป็นคนใหม่ แต่นั่นใช่สิ่งที่ควรจะเป็นหรือเปล่า ยิ่งถ้าตัวตนจริงเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น บางทีความสมบูรณ์แบบก็ไม่ใช่คำตอบของชีวิตเสมอไป
หนังเล่นเรื่องราวได้อย่างฉลาดกับความเป็นไปได้จริงของการใช้ชีวิตเดียวแต่มี 2 ตัวตนว่าจะเป็นยังไง รวมถึงใส่มุมมองที่ละเอียดถี่ถ้วนหลายๆ อย่างทั้งกับการงาน ชีวิตคู่ ตัวตนของเรา ไม่เว้นแม้แต่มุมมองของไมล์คนใหม่ ที่เป็นเหมือน “ดอปเปลแกงเกอร์” ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรกับชีวิตที่มีประสบการณ์ความจำเหมือนจริง
แต่กลับไม่ใช่ของจริง ซึ่งหนังสำรวจล้วงลึกไปถึงอารมณ์ความนึกคิดของเขาอย่างละเอียด แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ถูกออกแบบมาใหม่ให้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่พื้นฐานของมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตปกติที่มีข้อบกพร่องอยู่ในตัวทุกๆ คน ไม่ได้จำเป็นต้องไร้ที่ติจนกลายเป็นดีเกินกว่ามนุษย์ไป ซึ่งหนังทำออกมาเป็นแนวดราม่าไซไฟนิดๆ ไม่เหนือจริงจนเกินไป ทำให้คนดูรู้สึกสงสารเห็นอกเห็นใจเขาได้ไม่ยากเลย
ประเด็นความภาคภูมิใจในตนเอง
โดยประเด็นความภาคภูมิใจในตนเองอาจฟังดูไกลตัว ทว่าเอาเข้าจริงนี่คือปัญหาร่วมของมนุษยชาติในปัจจุบันเลยทีเดียว คงปฏิเสธไม่ได้นะว่าเทคโนโลยีที่ทำอะไรแทนมนุษย์ได้แทบทุกอย่าง กำลังทำให้ความภูมิใจในการเป็นมนุษย์ของเราถดถอยลง อย่างในซีรีส์ก็ใช้วิทยาการโคลนนิ่งมาเป็นตัวกลาง
และกลไกในการจำลองความคิดของเราว่า หากวันนึงเราสามารถสร้างตัวเราในเวอร์ชันที่ดีกว่าแบบไม่ต้องเหนื่อยไปอบรมกับไลฟ์โค้ช หรือ มีวินัยในตัวเองมากขึ้น ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ซึ่งแต่ละตอนของ Living With Yourself ก็ค่อย ๆ ทำให้เราได้ตระหนักเรื่องของความสำคัญในการใช้ชีวิตคนเราได้อย่างคมคาย
ทั้งคุณค่าของคนต่อครอบครัวที่ซีรีส์ก็ทำให้เราลุ้นว่า ท้ายสุดหากเคตได้เจอ ไมลส์ ในเวอร์ชันที่ดีกว่า เธอจะรักเขามากกกว่าตัวจริงไหม หรือกระทั่งการที่ร่างโคลนนิงสามารถคิดงานที่ดูเห่ยแต่ลูกค้าชอบ จะทำให้ตัวจริงที่เต็มไปด้วย อัตตา โต้กลับหรือรู้สึกอย่างไร
ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็แทบจะแทนเรื่องเส็งเคร็งที่เราเจอในชีวิตประจำวันได้อย่างเห็นภาพ เพียงแต่ซีรีส์เองก็นำเสนอได้อย่างมีอารมณ์ขัน ทว่าแฝงความคมคายชวนคิดมากพอให้เราหันกลับมามองชีวิตเราได้ดีทีเดียวเชียวแหละ
ด้านนักแสดง
นอกจากบทหนังที่เล่นเรื่องราวได้อย่างฉลาดเฉียบคมแล้ว (เขียนบทและสร้างโดยทิโมธี กรีนเบิร์ก เจ้าของรางวัลเอมมี่) ก็ต้องยกให้การแสดงไร้ที่ติของ “พอล รัดด์” ในบทเล่นเป็นตัวเอง 2 คนที่แตกต่างกันสุดขั้ว แบบดูปุ๊บก็แยกออกได้เลยว่าใครเป็นไมลส์คนเก่ากับคนใหม่ ซึ่งเป็นบทที่หนักเอาการเพราะต้องถ่ายทำสองรอบในฉากเดียวกัน แถมตัวละครทั้งคู่ก็ยังมีบทดราม่าหนักๆ ส่งอารมณ���ไม่แพ้กันอีกด้วย
Tumblr media
โดยรวม
หนังใช้บทพิสูจน์จากอุปสรรคความรักหลายรูปแบบ ทั้งจากความจำเจในการใช้ชีวิตคู่ ฐานะความมั่นคงในอนาคต การหึงหวง นอกใจ รวมถึงความบกพร่องเรื่อง Sex มาใช้เป็นเรื่องราวผลักดันความสัมพันธ์ของทั้ง 3 คน ไปสู่ช่วงสุดท้ายของซีรีส์ ที่ทำออกมาปลายเปิดให้จินตนาการต่อไปเอง โดยไม่ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าจะมีซีซั่น 2 หรือไม่
สรุป
ซีรีส์นี้ความยาว 8 ตอน ตอนละแค่ 25 นาทีจบ สนุกลื่นไหล ย่อยง่าย แค่ดูการแสดง 2 ตัวตนของพอล รัดด์ก็สนุกมากๆ แล้ว เป็นซีรีส์ Netflix ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
0 notes
chapany-review · 4 years ago
Text
Living With Yourself
รีวิว Living With Yourself - ชีวิตติดเซลฟ์
ซีรีส์คอมเมดี้พลอตเพี้ยน ๆ จากมันสมองของ ธีโมที กรีนเบิร์ก ที่แม้มีเพียงเครดิตเขียนบทซีรีส์ The Detour เท่านั้น ที่เหมือนเอาพลอตของ Adaptation (2002) หนังออสการ์สาขาบทยอดเยี่ยมโดย ชาร์ลี คอฟแมน มายำรวมกับพลอตคอมเมดี้ดรามาว่า รีวิว Living With Yourself
เรื่องย่อ
หลังใช้บริการสปาพัฒนาชีวิตตามคำแนะนำของเพื่อนร่วมงาน ไมลส์ เอลเลียต (พอล รัดด์) ก็ต้องเผชิญหน้ากับร่างโคลนนิ่งของเขาที่เป็นเวอร์ชันที่ดีกว่า นั่นนำมาซึ่งความยุ่งเหยิงต่าง ๆ นานา ทั้งความสัมพันธ์กับ เคต (ไอส์ลิง บี) ภรรยาที่ต้องการตั้งครรภ์และคะยั้นคะยอให้เขาไปฝากสเปิร์ม ไปจนถึงการต้องแข่งกับร่างโคลนนิ่งของตัวเองในเรื่องงานที่ดูจะรุ่งกว่าไอเดียของเขาเองเสียอีก สุดท้าย ไมลส์ จะจัดการอย่างไรกับชีวิต 1 ชีวิตทว่ามีตัวเขาเองถึง 2 ร่างแบบนี้
ซีรีส์คอมเมดี้พลอตเพี้ยน ๆ จากมันสมองของ ธีโมที กรีนเบิร์ก ที่แม้มีเพียงเครดิตเขียนบทซีรีส์ The Detour เท่านั้น ที่เหมือนเอาพลอตของ Adaptation (2002) หนังออสการ์สาขาบทยอดเยี่ยมโดย ชาร์ลี คอฟแมน มายำรวมกับพลอตคอมเมดี้ดรามาว่าด้วยคนขี้แพ้ที่อยากพัฒนาตัวเอง
ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า อิทธิพลของ คอฟแมน ชัดมากทีเดียวในงานบทของซีรีส์เรื่องนี้ทั้งความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงตัวเองที่กำลังตีบตันทั้งไอเดียและการใช้ชีวิตคล้าย ๆ กัน สำหรับ Living With Yourself การให้ตัวเอกอย่าง ไมลส์ มีอาชีพ ครีเอทีฟ ก็ดูจะเย้ยหยันกับปัญหาทางตันในชีวิตได้อย่างเจ็บแสบไม่น้อย
เพราะการให้คนที่เอาความคิดใช้หากินมาเผขิญกับปัญหามืดแปดด้านจนต้องพึ่งสปาลึกลับก็ดูเมกเซนส์ไม่น้อยเลยทีเดียวและสิ่งที่ดึงคนดูได้อยู่หมัดก็คงหนีไม่พ้นสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะมาพิสูจน์และให้ข้อคิดกับตัวละครที่ต้องบอกว่าบทซีรีส์ทำได้ไม่เลวเลย
เนื้อเรื่อง
Living with Yourself เป็นซีรีส์ดูหนังฟรีแนวดราม่าผสมคอมเมดี้ตลกเสียดสีสังคม ว่าด้วยการพยายามเปลี่ยนตัวตนไปเป็นคนที่ดีกว่าเดิม โดยเป็นผลจากสังคมชีวิตรอบตัวโน้มน้าวให้ต้องหาทางทำอะไรใหม่ๆ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ดีกับชีวิตจริงหรือไม่ หนังตั้งคำถามบอกเล่าเรื่องราวหลายแง่มุมผ่านเรื่องราวของพระเอก ไมลส์ อิลเลียตต์
ที่เรียกว่าชีวิตดูตกต่ำถึงขีดสุด จนทำให้เขาต้องยอมพลิกชีวิตเข้ารับบริการสปามหัศจรรย์ “Top Happy Spa” ซึ่งช่วยพลิกชีวิตเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในคืนเดียว แต่เรื่องราวไม่ได้ง่ายแบบนั้น เพราะเขากลับพบว่าตัวเองในแบบที่ดีกว่า เป็นเหมือน “ดอปเปลแกงเกอร์ (Doppelgänger)”
ที่แทรกเข้ามาแทนที่ชีวิตของเขา ในแบบที่เขาก็ต้องจำใจยอมรับว่าตัวตนใหม่ของเขานั้นพิเศษเด็ดดวงกว่าเขาในทุกด้านจริงๆ ซึ่งถ้าเป็นคุณจะทำยังไงในเมื่อตัวคุณเองสู้ตัวตนใหม่ไม่ได้เลยในทุกทาง
การดำเนินเรื่อง
แม้ซีรีส์จะเริ่มมาด้วยพลอตไซไฟโรแมนติกที่ดูจะไม่พ้นหนังที่สร้างจากบทของ ชาร์ลี คอฟแมนทั้ง Being John Malkovich (1999) Adaptation (2002) หรือแม้กระทั่งเรื่องที่พระเอกไปเข้าสปาก็พาลนึกถึง Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004) ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่หมัดเด็ดของมันคงหนีไม่พ้นสององค์ประกอบสำคัญนั่นคือ การพูดถึงความภาคภูมิใจในตนเอง (Self Esteem) และ การแสดงของ พอล รัดด์ นั่นเอง
หนังใช้เรื่องราวหนังใหม่ชนโรง ไซไฟนิดๆ มาผสมให้เกิดเป็นเรื่องมหัศจรรย์ล้ำยุคเล็กๆ ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ตรงนี้ขอไม่สปอยล์ อยากให้ผู้อ่านได้ลองดูกันเอาเองว่าหนังทำให้เกิดพระเอกที่มี 2 ตัวตนได้อย่างไร (ถ้าอยากอ่านก่อนกดที่นี่ครับ) ซึ่งเป็นพล็อตที่ง่ายๆ แต่ทำให้เรื่องราวมีมิติหลายแง่มุมกลับมาคิด
แม้หนังจะละทิ้งความสมจริงตรงนี้ด้วยการให้เป็นเรื่องตลกเสียดสีเชิงธุรกิจ แต่ก็ไม่ได้จินตนาการพาเรื่องราวไปไ��ลจนเกินกว่าสังคมปัจจุบัน แถมยังลงลึกสำรวจถึงความเป็นไปได้ถ้าเกิดมีเรื่องราวแบบนี้ขึ้นจริงในอนาคต จะมีผลกระทบกลับมายังไงในหลายแง่มุม?
แม้ซีรีส์เปิดเรื่องมาเป็นแนวลึกลับ แต่ก็ไม่ได้เน้นหนักไปที่การหักมุมให้อึ้งตามสูตรหนังซีรีส์ทั่วไปแต่อย่างใด หนังเลือกใช้แนวทางการเล่าเรื่องดราม่าสำรวจชีวิตตัวละครหลัก 3 ตัวคือ ไมลส์เก่า ไมลส์ใหม่ และเคต ภรรยาของเขา ซึ่งเรื่องราวจะเป็นการตัดสลับมุมมองความสัมพันธ์ของทั้ง 3 ตัวละครที่เวลาทับซ้อนกันตลอดทุกเหตุการณ์
ซึ่งเป็นเรื่องราวทั้งด้านบวกและลบจากการที่คนๆ หนึ่งได้พลิกชีวิตเปลี่ยนเป็นคนใหม่ แต่นั่นใช่สิ่งที่ควรจะเป็นหรือเปล่า ยิ่งถ้าตัวตนจริงเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น บางทีความสมบูรณ์แบบก็ไม่ใช่คำตอบของชีวิตเสมอไป
หนังเล่นเรื่องราวได้อย่างฉลาดกับความเป็นไปได้จริงของการใช้ชีวิตเดียวแต่มี 2 ตัวตนว่าจะเป็นยังไง รวมถึงใส่มุมมองที่ละเอียดถี่ถ้วนหลายๆ อย่างทั้งกับการงาน ชีวิตคู่ ตัวตนของเรา ไม่เว้นแม้แต่มุมมองของไมล์คนใหม่ ที่เป็นเหมือน “ดอปเปลแกงเกอร์” ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรกับชีวิตที่มีประสบการณ์ความจำเหมือนจริง
แต่กลับไม่ใช่ของจริง ซึ่งหนังสำรวจล้วงลึกไปถึงอารมณ์ความนึกคิดของเขาอย่างละเอียด แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ถูกออกแบบมาใหม่ให้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่พื้นฐานของมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตปกติที่มีข้อบกพร่องอยู่ในตัวทุกๆ คน ไม่ได้จำเป็นต้องไร้ที่ติจนกลายเป็นดีเกินกว่ามนุษย์ไป ซึ่งหนังทำออกมาเป็นแนวดราม่าไซไฟนิดๆ ไม่เหนือจริงจนเกินไป ทำให้คนดูรู้สึกสงสารเห็นอกเห็นใจเขาได้ไม่ยากเลย
ประเด็นความภาคภูมิใจในตนเอง
โดยประเด็นความภาคภูมิใจในตนเองอาจฟังดูไกลตัว ทว่าเอาเข้าจริงนี่คือปัญหาร่วมของมนุษยชาติในปัจจุบันเลยทีเดียว คงปฏิเสธไม่ได้นะว่าเทคโนโลยีที่ทำอะไรแทนมนุษย์ได้แทบทุกอย่าง กำลังทำให้ความภูมิใจในการเป็นมนุษย์ของเราถดถอยลง อย่างในซีรีส์ก็ใช้วิทยาการโคลนนิ่งมาเป็นตัวกลาง
และกลไกในการจำลองความคิดของเราว่า หากวันนึงเราสามารถสร้างตัวเราในเวอร์ชันที่ดีกว่าแบบไม่ต้องเหนื่อยไปอบรมกับไลฟ์โค้ช หรือ มีวินัยในตัวเองมากขึ้น ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ซึ่งแต่ละตอนของ Living With Yourself ก็ค่อย ๆ ทำให้เราได้ตระหนักเรื่องของความสำคัญในการใช้ชีวิตคนเราได้อย่างคมคาย
ทั้งคุณค่าของคนต่อครอบครัวที่ซีรีส์ก็ทำให้เราลุ้นว่า ท้ายสุดหากเคตได้เจอ ไมลส์ ในเวอร์ชันที่ดีกว่า เธอจะรักเขามากกกว่าตัวจริงไหม หรือกระทั่งการที่ร่างโคลนนิงสามารถคิดงานที่ดูเห่ยแต่ลูกค้าชอบ จะทำให้ตัวจริงที่เต็มไปด้วย อัตตา โต้กลับหรือรู้สึกอย่างไร
ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็แทบจะแทนเรื่องเส็งเคร็งที่เราเจอในชีวิตประจำวันได้อย่างเห็นภาพ เพียงแต่ซีรีส์เองก็นำเสนอได้อย่างมีอารมณ์ขัน ทว่าแฝงความคมคายชวนคิดมากพอให้เราหันกลับมามองชีวิตเราได้ดีทีเดียวเชียวแหละ
ด้านนักแสดง
นอกจากบทหนังที่เล่นเรื่องราวได้อย่างฉลาดเฉียบคมแล้ว (เขียนบทและสร้างโดยทิโมธี กรีนเบิร์ก เจ้าของรางวัลเอมมี่) ก็ต้องยกให้การแสดงไร้ที่ติของ “พอล รัดด์” ในบทเล่นเป็นตัวเอง 2 คนที่แตกต่างกันสุดขั้ว แบบดูปุ๊บก็แยกออกได้เลยว่าใครเป็นไมลส์คนเก่ากับคนใหม่ ซึ่งเป็นบทที่หนักเอาการเพราะต้องถ่ายทำสองรอบในฉากเดียวกัน แถมตัวละครทั้งคู่ก็ยังมีบทดราม่าหนักๆ ส่งอารมณ์ไม่แพ้กันอีกด้วย
Tumblr media
โดยรวม
หนังใช้บทพิสูจน์จากอุปสรรคความรักหลายรูปแบบ ทั้งจากความจำเจในการใช้ชีวิตคู่ ฐานะความมั่นคงในอนาคต การหึงหวง นอกใจ รวมถึงความบกพร่องเรื่อง Sex มาใช้เป็นเรื่องราวผลักดันความสัมพันธ์ของทั้ง 3 คน ไปสู่ช่วงสุดท้ายของซีรีส์ ที่ทำออกมาปลายเปิดให้จินตนาการต่อไปเอง โดยไม่ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าจะมีซีซั่น 2 หรือไม่
สรุป
ซีรีส์นี้ความยาว 8 ตอน ตอนละแค่ 25 นาทีจบ สนุกลื่นไหล ย่อยง่าย แค่ดูการแสดง 2 ตัวตนของพอล รัดด์ก็สนุกมากๆ แล้ว เป็นซีรีส์ Netflix ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
0 notes