Tumgik
#ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ
smanee-blog · 2 years
Video
undefined
tumblr
Live หลวงปู่พุทธะอิสระ แสดงธรรม และปฏิบัติธรรม ช่วงบ่าย ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ (ภารสุตตคาถา ร่างกายนี้เป็นภาระ) ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ภารสุตตคาถา พร้อมคำแปล ภารา หะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนักเน้อ ภาระหาโร จะ ปุคคะโล บุคคลแหละเป็นผู้แบกของหนักพาไป ภาราทานัง ทุกขัง โลเก การแบกถือของหนักเป็นความทุกข์ในโลก ภาระนิกเขปะนัง สุขัง การสลัดของหนักทิ้งลงเสียเป็นความสุข นิกขิปิตวา คะรุง ภารัง พระอริยเจ้าสลัดทิ้งของหนักลงเสียแล้ว อัญญัง ภารัง อะนาทิยะ ทั้งไม่หยิบฉวยเอาของหนักอันอื่นขึ้นมาอีก สะมูลัง ตัณหัง อัพพุยหะ ก็เป็นผู้ถอนตัณหาขึ้นได้กระทั่งราก นิจฉาโต ปะรินิพพุโต เป็นผู้หมดสิ่งปรารถนาดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ สัจจะ ธรรม ปุณฑริก สูตร มองทุกอย่างให้เป็นของสูญ สัทธรรมปุณฑริกสูตร เป็นคัมภีร์ในฝ่ายมหายาน ครับ ซึ่งไม่มีพระสูตรและคำสอนในพระสูตรนี้ ในพระไตรปิฎกในฝ่ายเถรวาท บุพพกิจเบื้องต้น "เย ธมฺมา เหตุ ปัพฺพวา เตสํ เหตุงฺ ตถาคโต เตสญฺจะ โย นิโรโธ จะ เอวํ วาที มหาสมฺโณ" "ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติ ทรงสั่งสอนอย่างนี้" ปฏิจจสมุปบาท ท่านได้แปลความไว้ดังนี้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สังขารทั้งหลายมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สงฺขารปจฺจยา วิญฺญานํ วิญญาณมีเพราะสังขารทั้งหลายเป็นปัจจัย วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ นามและรูปมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ อายตนะ ๖ มีเพราะนามและรูปเป็นปัจจัย สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส ผัสสะ ๖ มีเพราะอายตนะ ๖ เป็นปัจจัย ผสฺสปจฺจยา เวทนา เวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาปจฺจยา ตณฺหา ตัณหามีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ อุปาทานมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานปจฺจยา ภโว ภพมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภวปจฺจยา ชาติ ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายสา สมฺภวนฺติ ชรามีเพราะชาติเป็นปัจจัย มรณะมีเพราะชราเป็นปัจจัย ต่อนี้ตัวผล ทุกข์ทั้งหลายคือ ความแห้งใจเศร้าใจ ความบ่นพิรี้พิไร ความลำบากเหลือกลั้นเหลือทน ความต่ำใจ น้อยใจ ความคับแคบใจ ก็มีพร้อม เพราะมีมรณะเป็นปัจจัย เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ เมื่อปัจจยาการยังเป็นกำลังอุดหนุนซึ่งกันเป็นไปอยู่อย่างนี้ กองทุกข์ทั้งสิ้นก็เกิดขึ้นพร้อม ส่วนนี้เป็นสมุทัยวาร คำที่ว่า “ปัจจัย” นั้น ไม่ใช่เหตุ เป็นแต่ผู้อุดหนุนเหตุให้เป็นไปเท่านั้น ส่วนอวิชชา สังขาร วิญญาณ ถึงชรา มรณะ นั้นตัวเหตุคือตัวสมุทัยนั้นเอง คือแสดงเหตุด้วยปัจจัยด้วย ถ้าจะดับทุกข์ดับภาระก็ต้องดับที่เหตุพระพุทธเจ้าทรงสอนทรงแสดง นั้นอยู่ดีๆจะไปมองว่ามันสูญมันว่างเปล่ามันไม่มีตัวตน โดยที่ไม่สาวหาเหตุมาก่อนเลย มันเหมือนกับคน คนตาลยอดด้วน ขอบุญนี้จงเป็นของทุกสัตว์ ในประเทศนี้ที่ทุกข์เดือดร้อนจาก ภาษีโรงเรือนและที่ดินปี ๒๕๖๔ ให้บุญดูแลรักษา ให้พ้นจากทุกข์ ให้มีตวามสุข มีความปลอดภัยเมื่อรับแล้วช่วยยกเลิกภาษีฉบ้บนี้ด้วย
0 notes
smaneekaov-blog · 2 years
Photo
Tumblr media
Live หลวงปู่พุทธะอิสระ แสดงธรรม และปฏิบัติธรรม ช่วงบ่าย ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ (ภารสุตตคาถา ร่างกายนี้เป็นภาระ) ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ภารสุตตคาถา พร้อมคำแปล ภารา หะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนักเน้อ ภาระหาโร จะ ปุคคะโล บุคคลแหละเป็นผู้แบกของหนักพาไป ภาราทานัง ทุกขัง โลเก การแบกถือของหนักเป็นความทุกข์ในโลก ภาระนิกเขปะนัง สุขัง การสลัดของหนักทิ้งลงเสียเป็นความสุข นิกขิปิตวา คะรุง ภารัง พระอริยเจ้าสลัดทิ้งของหนักลงเสียแล้ว อัญญัง ภารัง อะนาทิยะ ทั้งไม่หยิบฉวยเอาของหนักอันอื่นขึ้นมาอีก สะมูลัง ตัณหัง อัพพุยหะ ก็เป็นผู้ถอนตัณหาขึ้นได้กระทั่งราก นิจฉาโต ปะรินิพพุโต เป็นผู้หมดสิ่งปรารถนาดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ สัจจะ ธรรม ปุณฑริก สูตร มองทุกอย่างให้เป็นของสูญ สัทธรรมปุณฑริกสูตร เป็นคัมภีร์ในฝ่ายมหายาน ครับ ซึ่งไม่มีพระสูตรและคำสอนในพระสูตรนี้ ในพระไตรปิฎกในฝ่ายเถรวาท บุพพกิจเบื้องต้น "เย ธมฺมา เหตุ ปัพฺพวา เตสํ เหตุงฺ ตถาคโต เตสญฺจะ โย นิโรโธ จะ เอวํ วาที มหาสมฺโณ" "ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติ ทรงสั่งสอนอย่างนี้" ปฏิจจสมุปบาท ท่านได้แปลความไว้ดังนี้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สังขารทั้งหลายมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สงฺขารปจฺจยา วิญฺญานํ วิญญาณมีเพราะสังขารทั้งหลายเป็นปัจจัย วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ นามและรูปมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ อายตนะ ๖ มีเพราะนามและรูปเป็นปัจจัย สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส ผัสสะ ๖ มีเพราะอายตนะ ๖ เป็นปัจจัย ผสฺสปจฺจยา เวทนา เวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาปจฺจยา ตณฺหา ตัณหามีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ อุปาทานมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานปจฺจยา ภโว ภพมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภวปจฺจยา ชาติ ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายสา สมฺภวนฺติ ชรามีเพราะชาติเป็นปัจจัย มรณะมีเพราะชราเป็นปัจจัย ต่อนี้ตัวผล ทุกข์ทั้งหลายคือ ความแห้งใจเศร้าใจ ความบ่นพิรี้พิไร ความลำบากเหลือกลั้นเหลือทน ความต่ำใจ น้อยใจ ความคับแคบใจ ก็มีพร้อม เพราะมีมรณะเป็นปัจจัย เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ เมื่อปัจจยาการยังเป็นกำลังอุดหนุนซึ่งกันเป็นไปอยู่อย่างนี้ กองทุกข์ทั้งสิ้นก็เกิดขึ้นพร้อม ส่วนนี้เป็นสมุทัยวาร คำที่ว่า “ปัจจัย” นั้น ไม่ใช่เหตุ เป็นแต่ผู้อุดหนุนเหตุให้เป็นไปเท่านั้น ส่วนอวิชชา สังขาร วิญญาณ ถึงชรา มรณะ นั้นตัวเหตุคือตัวสมุทัยนั้นเอง คือแสดงเหตุด้วยปัจจัยด้วย ถ้าจะดับทุกข์ดับภาระก็ต้องดับที่เหตุพระพุทธเจ้าทรงสอนทรงแสดง นั้นอยู่ดีๆจะไปมองว่ามันสูญมันว่างเปล่ามันไม่มีตัวตน โดยที่ไม่สาวหาเหตุมาก่อนเลย มันเหมือนกับคน คนตาลยอดด้วน ขอบุญนี้จงเป็นของทุกสัตว์ ในประเทศนี้ที่ทุกข์เดือดร้อนจาก ภาษีโรงเรือนและที่ดินปี ๒๕๖๔ ให้บุญดูแลรักษา ให้พ้นจากทุกข์ ให้มีตวามสุข มีความปลอดภัยเมื่อรับแล้วช่วยยกเลิกภาษีฉบ้บนี้ด้วย
0 notes
60thumma-blog · 7 years
Photo
Tumblr media
.*ขันธ์๕คือ รูป นาม.*… #สังขตธรรม. .&.รูปหยาบคือกายมีธาตุ๔ประชุมกันขึ้นเป็นก้อน อารมณ์คือรูปละเอียด(รูปสัญญา)มีเวทนา,สัญญา,สังขาร เรียกตามพระอภิธรรมว่า"เจตสิก"มีหน้าที่เกิดดับร่วมกับอาการของจิตที่เราเรียกว่า นาม+รูป คือส่วนขันธ์๕ที่ทำงานเกิดดับร่วมกัน
.&.อารมณ์หรือธรรมารมณ์มีในปุถุชนและอริยะชนทุกหมู่เหล่า แต่ธรรมารมณ์ของปุถุชนมักจะเกิดจากจิตที่อาศัยกิเลสเกิด จึงเกิดร่วมกับอำนาจราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง จิตที่หลงอารมณ์จึงมีความรู้สึกรักบ้างชังบ้างหรือเฉยๆ(ไม่ใช่อุเปกขา)
.&.ส่วนปุถุชนที่ดีขึ้นมาอีกระดับหนึ่งคือ จิตไปติดอยู่กับกองบุญทานหรือชอบรักษาศีล จิตจึงอาศัยอารมณ์มาเกิดในทุกขณะเมื่อสิ้นชีพมีสวรรค์ชั้นกามาวจรเป็นที่ไป เพราะหลงในทานในบุญ.
.&.ส่วนผู้ที่บำเพ็ญสมาธิภาวนาได้กำลังสมถะ(ฌานฤๅษี) จิตจะหลงไปเสวยอารมณ์นั้นๆ เพราะจิตหลงยึดในอารมณ์สุขอันปราณีต จิตหลงไปยึดในอารมณ์ต่างๆถึงความสงบนิ่งได้บังเกิดในชั้น"รูปพรหม"ขั้นต้น ด้วยอำนาจเพ่งรูปฌาน๑-๔ ..
.&.มื่อจิตที่เพ่งพ้นจากรูปฌานไปถึงความว่าง จิตจึงไปเพ่งอาการของจิต ลึกละเอียดลงไปถึงเพ่งจิต เพื่อจะบังคับจิตไม่ให้จิตเกิด จิตชนิดนี้จะไปบังเกิดยัง"อรูปพรหม๑-๔" เรียกว่า(เพ่งนาม)อรูปฌาน๑-๔..*
*&.ส่วนผู้ได้กำลังสมาธิสมถะมาดีพอสมควรแล้ว มาระลึกรู้ที่จิตด้วยสติ สามารถแยกรูปแยกนามได้ ทำจนเกิดความชำนาญในระดับหนึ่ง สติ,ปัญญา,จิตสมังคีกัน วิปัสสนาญาณจึงบังเกิดขึ้น"ที่จิต" จิตเห็นรูปเห็นนามที่เกิดดับเป็นปรกติธรรมชาติของเขามิใช่ของใคร จิตเห็นถึงเหตุแห่งทุกข์ด้วยสติปัญญาเอง “โลกุตรธรรม"จึงบังเกิดขึ้นในดวงจิตนั้น จิตเห็นรูปหรืออารมณ์ที่เกิดดับในแต่ขณะๆนั้น และอาการความรูสึกของจิตที่เกิดดับร่วมกันในแต่ละขณะนั้น เรียกอาการของจิตนั้นว่า"นาม” จากนั้นจิตจะลดละกิเลสตัณหาเพราะ #รู้ทันอาการของจิต ตามกำลังสติปัญญาตนเองตามลำดับ อารมณ์ในพระอริยะเจ้าคืออารมณ์รูปสัญญาหรือรูปฌานมี๑-๔"มีวิตก วิจาร ปีติสุข เอกัคตา อุเปกขา เป็นต้น.* *.ส่วนนามที่เกิดดับร่วมกับอารมณ์รูปฌานนั้นคืออาการของจิตเรียกว่า(อรูปสัญญาหรืออรูปฌานมี๑-๔) (ไม่ใช่ไล่เพ่งรูปฌาน๔แล้วขึ้นไปอรูปฌาน๑-๔ เหมือนโลกียฌาน..#แต่เป็นการแยกรูปแยกนามเช่น แยกอารมณ์กับจิตด้วยสติปัฏฐาน จนชำนาญเป็นธรรมชาติ จิตเข้าถึง"#วิปัสสนาญาณ"ด้วยกำลังสติปัญญา เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา เป็นธรรมที่พ้นไปจากโลก(โลกุตระธรรม).*.
.&. #รูปฌานที่๑ คืออารมณ์ของจิตพระโสดาบัน มี #วิตกวิจารฯ คือพิจารณาถึงเหตุและผลตามธรรม. “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ ย่อมดับที่เหตุ(จิต)"ที่จิตตนแล. #พระสูตรฌานสูตรกล่าวถึงพระโสดาบันและอริยบุคคลไว้ตามบาลีดังนี้. พระไตรปิฎกมหามกุฏราชวิทยาลัย ปี พ.ศ.๒๕๒๕ เล่ม๔๕ หน้า๖๔๙-๖๕๐ มีเนื้อความว่า. .#ปฐมฌาน คือ อนัญญัสสามีตินทรีย์ ย่อมเกิดแก่พระเสขะผู้ศึกษาอยู่ ผู้ปฏิบัติตรงในโสดาปัตติมรรค อันเป็นเครื่องทำลายกิเลสทั้งหลายให้สิ้นไป ธรรมชาติที่รู้ทั่วถึงคืออัญญินทรีย์อันยอดเยี่ยมเกิดขึ้นตามลำดับตั้งแต่ปฐมฌานนั้น.แต่ธรรมชาติที่รู้ทั่วถึงคือ อัญญินทรีย์ถึงวิมุติญาณอันสูงสุด ย่อมเกิดแก่พระขีณาสพผู้พ้นวิเศษ. .&.#อรูปฌานที่๑ #อากาสานัญจายตนะ มองสมบัติโลกเป็นความว่างเปล่า "เข้าใจในขันธ์เป็นอนิจจังอ่อนๆ)"คืออาการเข้าถึงธรรมของจิตพระโสดาบัน ทำลายสังโยชน์๓ สักกายทิฐิ "เห็นว่าขันธ์๕ไม่ใช่เราเขา” วิจิกิจฉา"ความลังเลในกรรมมรรคผลนิพพาน" สีลพัตตปรามาส"เชื่อมั่นในศีลไม่ถือแบบลูบคลำ.พระโสดาบันเข้าถึง"#อนิจจังทุกขังอนัตตาอย่างอ่อน..&.
.&.#รูปฌานที่๒ คืออารมณ์ของจิตพระสกิทาคามี #มีปีติ สุขฯ เพราะละวิตกวิจาร. ยกจิตละเหตุและผล. .&.#อรูปฌานที่๒ #วิญญานัญจายตนะ เพราะจิตละอารมณ์เหตุและผลด้วยการยกจิตเหนือวิตกวิจาร(เหตุผล)มาอยู่ที่จิต คืออาการของจิตพระสกิทาคามี ละสังโยชน์เพิ่มอีก๒คือกามราคะ ปฏิฆะเบาบางเพราะละอารมณ์เหตุและผล แต่อารมณ์ที่เจือด้วยความกำหนัดในเวทนายังละไม่ขาด กามจึงเบาบาง.แต่ไม่ขาด. ราคะ,โทสะ,โมหะ จะดับได้ตามกำลังของสติ ปัญญาอยู่ที่อินทรีย์วาสนาของแต่ละท่านที่อบรมมาต่างกัน แต่สังโยชน์เท่ากัน. พระสกิทาคามีเข้าถึง"#อนิจจังชัดเจน ทุกขังอย่างอ่อน" .
.&.#รูปฌานที่๓ คืออารมณ์ของจิตพระอนาคามี #เอกัคตาฯ" เพราะละอารมณ์ปีติสุขได้เพราะเหตุโทษของ อารมณ์ที่ไม่เที่ยงชัดขึ้นและจิตมีกำลังพอในการละกามราคะ,ปฏิฆะ ในอารมณ์ได้ขาด .&.#อรูปฌาน๓ #อากิญจัญญยตนะ “สิ่งที่เห็นว่าใช่นั้นไม่ใช่” ละอารมณ์ทั้งหลายมีสังขาร,เวทนาทั้งหลาย คืออาการของจิตพระอนาคามี ละเพิ่มกามราคะขาดเพิ่มรูปราคะอีก๑ จิต ละราคะ,ปฏิฆะขาด แต่ยังเหลือ"โมหะ"ที่ยังติดอยู่ที่ (จิต)แต่โมหะในพระอนาคามีเพียงความเพลิดเพลิน"นันทิ"เท่านั้น แต่ไม่เจือด้วยอกุศลฝ่ายราคะโทสะ.แต่จิตปรุงเป็นกลางจึงเรียกว่าจิตอยู่ใน"เอกัคตา)หากประคองสติอยู่ความหลง(โมหะ)ก็ดับไปตามกำลังสติ. พระอนาคามีเข้าถึง"#ทุกขังชัดเจน อนัตตาอย่างอ่อน" เพราะละราคะเสีย.
.&.#รูปฌาน๔ #อุเปกขา คืออารมณ์ของจิตพระอรหันตมรรค ละเอกัคตา รูป,สังขาร,เวทนา,สัญญา เมื่อจิตละขันธ์๕ได้ก็ถึงความว่างเปล่า. .&.#อรูปฌาน๔ #เนวสัญญานาสัญญายตนะ “รู้ไม่อิงสัญญา” จิตจะรู้เรื่องอดีตอนาคตจิตจะรู้เองโดยไม่ต้องผ่านสัญญาภายนอก(ไม่ผ่านล่าม)อายตนะทั้งหลาย จิตอยู่ระดับนี้เรียกว่า “#ปัญญาญาณ"จะรู้ที่จิตเอง #โมหะได้ขาดลงด้วยอุเปกขา” แม้เห็นอารมณ์เหล่านั้นที่จะเกิดขึ้นหรือกำลังเกิดขึ้น อารมณ์นั้นจะหมดความหมายต่อจิตโดยอัตโนมัติ เพราะจิตละอัตตา(รูปราคะ)อาการจิตทีไปรับรู้จึงเห็นเพียงการเกิดดับเท่านั้น จิตไม่ยึดมั่นเรียกจิตละโมหะ คืออาการของจิตพระอรหันตมรรค สังขารยังปรุงแต่งจิตได้บ้าง แต่ไม่มีผลกับจิต เรียกว่า"อาการจิตพระเสขะบุคคล"(ผู้ที่ยังศึกษาอยู่) สังโยชน์ถูกทำลาย๙ ถึง อรูปราคะละอุปาทานในจิต,มานะ ถือตัว, อุทธัจจะ ฟุ้งในธรรม จิตไม่ฟุ้งตาม"อาการของจิต"..&. พระอรหันตมรรคเข้าถึงธรรม"#อนัตตาชัดเจน"ขันธ์๕เป็นอนัตตา เพราะละโมหะเสีย.
.&.#สัญญาเวทยิตนิโรธ. ชื่อผู้ที่ถึงซึ่งวิมุติ หลุดพ้นด้วยดี สังโยชน์เพิ่มคือ"อวิชชา"ก็ถูกทำลาย จิตพ้นจากอิทพลของอวิชชาและรูปนามทั้งหลาย “อเสขะบุคคล” #ผู้ไม่ต้องศึกษาอีกต่อไป" เพราะ"สติ,ปัญญา,จิต"#สมังคีอนันตกาล สังขารทั้งหลายปรุงแต่งจิตไม่ได้อีกต่อไป"#วิสังขาร" ผู้ถึงซึ่งความหลุดพ้นจากอุปาทานทั้งหลาย กิเลสสิ้นแล้วก็รู้ว่าสิ้นแล้ว เพราะเข้าถึง" ความดับไม่มีเหลือ จิตเหนือรูป+นาม เพราะสำรอก"อวิชชาสิ้นแล้ว".&@#.
.*ดูกรอานนท์ เรานั้นแลบรรลุสัญญา เวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง และ อาสวะทั้งหลายของเราได้ถึงความสิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา ฯ..#นิพพานสูตร..
*************************************** พระสัจธรรมที่ตรงต่อธรรม ย่อมไม่ขัดแย้งพระพุทธพจน์ พระสูตร พระอภิธรรม สังโยชน์ ฌาน.โพชฌงค์๗ หรือปฏิจสมุปบาท..# ..&..ปุญฺญกาโร ภิกขุ..&..
0 notes