Tumgik
nitriopeklad · 5 years
Photo
Tumblr media
0 notes
nitriopeklad · 5 years
Text
อันดับที่
มื่อพูดถึงจักรวาล ในความหมายของมันก็คือผลรวมของอวกาศและเวลา รวมไปถึงสิ่งต่างๆที่บรรจุอยู่ภายในเช่น ดาวเคราะห์, ดาวฤกษ์, กาแล็กซี่, หลุมดำ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดคือสสารและพลังงานที่เรารู้จัก เช่นเดียวกับ ‘โลก’ ที่เรายืนอยู่ ณ ขณะนี้ก็ด้วย และเชื่อหรือไม่ว่าสิ่งต่างๆอันเป็นผลรวมของจักรวาลดังที่ได้เอ่ยมาทั้งหมด มันก็มีจุดเริ่มต้นมาจากลูกไฟอันร้อนแรงเล็กๆ เพียงดวงเดียวเท่านั้น เมื่อ 13,700 ล้านปีที่แล้ว ก่อนที่มันถูกทำให้ระเบิดออก และขยายตัวตราบมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นจากคำสงสัยที่ว่า แล้วจักรวาลของเรามีขนาดใหญ่แค่ ดังกล่าว เราคงต้องมาทำความเข้าใจถึงขนาดของมัน ผ่านการเปรียบเทียบ กับดวงดาวต่างๆในอวกาศกันเสียก่อน เราถึงจะสามารถเห็นภาพและขนาดที่ยิ่งใหญ่ของมันได้อย่างลึกซึ้ง
ต่อไปนี้เราจะมาทำการไล่เรียงลำดับจากดวงดาวที่มีขนาดเล็ก ไปสู่ดวงดาวที่มีขนาดใหญ่ ใน 32 อันดับ ของที่สุดแห่งความยิ่งใหญ่ในเอกภพ
32: ซีรีส (Ceres)
หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า 1 ซีรีส โดยมันเป็นดาวเคราะห์น้อยดวงใหญ่ที่สุด และเป็นดาวเคราะห์แคระดวงเดียวภายในระบบสุริยะชั้นใน ซึ่งมันถูกค้นพบเป็นครั้งแรกโดยดาราศาสตร์ชาวอิตาลีที่ชื่อ จูเซปเป ปีอาซซี (Giuseppe Piazzi) เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1801 โดยดาวเคราะห์แคระดวงนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ 950 กิโลเมตรโดยประมาณ
อันดับที่ 31: ดวงจันทร์ (Moon)
ใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็คือดวงจันทร์ หรือดาวดาวบริวารของโลกเราเอง มันถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อประมาณ 4,500 ล้านปีก่อน หรือไม่นานหลังจากที่โลกถือกำเนิด โดยคำอธิบายที่ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวางของการกำเนิดดวงจันทร์ก็คือ มันก่อกำเนิดมาจากเศษซากที่เหลือของการปะทะกันอย่างรุนแรงในอวกาศ ระหว่างโลกกับดาวเคราะห์ปริศนาขนาดประมาณดาวอังคาร (เราเรียกมันว่า ดาวเธียอา (Theia)) จนทำให้สสารบางส่วนจากการปะทะในครั้งนั้นได้ก่อรูปทรงกลม จนกลายมาเป็นดวงจันทร์ดังที่เห็นในปัจจุบัน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 3,500 กิโลเมตร
อันดับที่ 30: คัลลิสโต (Callisto)
ดาวคัลลิสโต คือดาวบริวาณของดาวพฤหัสบดี ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกโดย กาลิเลโอ กาลิเลอี เมื่อวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1610 ซึ่งดาวดวงนี้ประกอบไปด้วยหิน และน้ำแข็ง เสียเป็นส่วนใหญ่ นี่จึงทำให้คัลลิสโต มีมวลเพียงหนึ่งในสามของดาวพุธเท่านั้น แม้ว่าขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของมันจะใกล้เคียงกับดาวพุธถึง 99% ก็ตาม โดยเส้นผ่านศูนย์กลางของมันก็คือ 4,800 กิโลเมตร
อันดับที่ 29: ดาวพุธ (Mercury)
ดาวพุธเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด และเป็นดาวเคราะห์ที่เล็กที่สุดในระบบสุริยะอีกด้วย โดยมันใช้เวลาเพียง 87.969 วัน สำหรับการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ แต่ในขณะที่การหมุนรอบตัวเองมันกลับใช้เวลานานถึง 58.6461 วัน ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของคาบการหมุนรอบตัวเอง และคาบการเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์แล้ว จะพบว่า ระยะเวลาจากในช่วงกลางวันถึง ช่วงเวลากลางคืนบนดาวพุธนั้น กินเวลายาวนานถึง 176 วันเลยทีเดียว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากที่สุดของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ เส้นผ่านศูนย์กลางของมันก็คือ 4,900 กิโลเมตร
อันดับที่ 28: ดาวอังคาร (Mars)
ดาวอังคาร เป็นดาวเคราะห์ลำดับที่สี่จากดวงอาทิตย์ และเป็นดาวเคราะห์ดวงเล็กที่สุด อันดับที่สองในระบบสุริยะรองจากดาวพุธ และเนื่องจากพื้นผิวของดาวประกอบไปด���วยเหล็กออกไซด์เป็นส่วนมาก นี่จึงทำให้เรามักขนานนามให้กับมันว่า ดาวแดง นั่นเอง อีกทั้งข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่า ดาวอังคารเมื่อราว 4,500 ล้านปีก่อน ไม่ได้มีชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มอยู่เบาบางเหมือนในทุกวันนี้ แต่มีชั้นบรรยากาศที่ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ที่ปกคลุมอยู่หนาแน่น และที่สำคัญคือมูลจากทางธรณีวิทยายังพบอีกว่า ในสมัยนั้นเอง ดาวอังคารก็เคยถูกปกคลุมไปด้วยน้ำ เช่นเดียวกับโลก ซึ่งในเวลาต่อมาได้ถูกลมสุริยะพัดออกสู่ห้วงอวกาศไปจนเกือบหมด โดยเส้นผ่านศูนย์กลางของมันคือประมาณ 6,800 กิโลเมตร
อันดับที่ 27: ดาวศุกร์ (Venus)
ดาวศุกร์ เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 2 ดาวศุกร์มีเส้นผ่านศูนย์กลางเป็นใหญ่ 3 เท่าของดวงจันทร์ และ มีขนาดใหญ่กว่าดาวพุธและดาวอังคาร 2 เท่าตัว อีกทั้งมันยังเป็นดาวเคราะห์หิน ที่มีขนาดใกล้เคียงกับโลกมากที่สุด ขณะที่ชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์ จะประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่มากถึง 97% นี้จึงทำให้อุณหภูมิของดาวศุกร์สูงมากถึง 400 องศาเซลเซียส ในตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน เส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณคือ 12,000 กิโลเมตร
อันดับที่ 26: ดาวเคราะห์โลก (Earth)
โลก เป็นดาวเคราะห์ลำดับที่สามจากดวงอาทิตย์ และเป็นดาวเคราะห์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ทราบได้อย่างแน่นอนว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ โดยจากหลักฐานทางธรณีวิทยาบางส่วนชี้ว่า ส่วนประกอบของชีวิตอาจถือกำเนิดขึ้นมาเร็วสุดเมื่อ 4.1 พันล้านปีก่อน หรือประมาณ 400 ล้านปีหลังจากที่โลกได้ถือกำเนิด ซึ่งปัจจุบันสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากดาวเคราะห์ดวงนี้มักจะเรียกตัวเองว่า ‘มนุษย์’ และมีอยู่เป็นจำนวนมากถึง 7,000 ล้านชีวิต อีกทั้งโลกยังเป็นดาวเคราะห์ที่มีความหนาแน่นสูงสุดในระบบสุริยะอีกด้วย โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางดาวประมาณ 13,000 กิโลเมตร
อันดับที่ 25: เคปเลอร์-22บี (Kepler 22b)
เป็นดาวเคราะห์นอกระบบดวงแรกที่ได้รับการยืนยันการค้นพบโดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์ของนาซา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2011 ว่าคือดาวเคราะห์ที่อยู่ใน ‘เขตอยู่อาศัยได้’ (habitable zone) รวมทั้งมันยังมีคาบวงโคจรรอบดาวฤกษ์ ในลักษณะคล้ายกันกับโลกที่โคจรรอบดวงอาทิตย์อีกด้วย ซึ่งเคปเลอร์-22บี นั้นมีระยะทางห่างจากโลกของเราประมาณ 600 ปีแสง และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 30,000 กิโลเมตร
อันดับที่ 24: ดาวเนปจูน (Neptune)
ดาวเนปจูน เป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะลำดับสุดท้ายมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่เป็นอันดับที่ 4 รองจากดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และมีมวลเป็นลำดับที่ 3 รองจากดาวพฤหัสและดาวเสาร์ โดยการที่ดาวเนปจูนมีสีน้ำเงินนั้น ก็เป็นผลอันเนื่องมาจากชั้นบรรยากาศของผิวดาวชั้นนอกส่วนใหญ่ประกอบไปด้วย ไฮโดรเจน ฮีเลียม และมีเทน และถึงแม้ว่าอุณหภูมิพื้นผิวจะหนาวเย็นและติดลบถึง -220 องศาเซลเซียส เนื่องจากอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มาก แต่แกนกลางภายในดาวเนปจูนนั้น กลับมีอุณหภูมิมากถึง 7,000 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว ซึ่งร้อนกว่าพื้นผิวของดวงอาทิตย์เสียอีก โดยเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวเนปจูนอยู่ที่ประมาณ 50,000 กิโลเมตร
อันดับที่ 23: ดาวยูเรนัส (Uranus)
ดาวยูเรนัส หรือ ดาวมฤตยู เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 7 และจัดเป็นดาวเคราะห์แก๊ส มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ในระบบสุริยะ โดยองค์ประกอบของยูเรนัสจะคล้ายกับดาวเนปจูนมาก นี้จึงทำให้มันมีสีฟ้าคล้ายกัน และนักดาราศาสตร์ยังพบอีกว่า ดาวยูเรนัสนั้นแผ่ความร้อนออกจากตัวดาวน้อยมาก นั่นก็อาจจะเป็นเพราะภายในดาวไม่มีการยุบตัวแล้ว หรืออาจมีอะไรบางอย่างได้ไปปิดกั้นการยุบตัวเอาไว้ ซึ่งเราก็ยังไม่ทราบได้อย่างแน่ชัดว่าทำไม โดยเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวยูเรนัสจะอยู่ที่ประมาณ 51,000 กิโลเมตร
อันดับที่ 22: ดาวเสาร์ (Saturn)
ดาวเสาร์ เป็นดาวเคราะห์ดวงลำดับที่ 6 นับถัดจากดวงอาทิตย์ โดยมีรัศมีเฉลี่ยมากกว่าโลกประมาณเก้าเท่า และมีมวลมากกว่าโลกถึง 95 เท่า อย่างไรก็ตามมันก็มีความหนาแน่นเพียง 1 ใน 8 ของโลกเท่านั้น นี้ก็หมายความว่า หากเรามีมหาสมุทรขนาดใหญ่ในระดับจักรวาลอยู่ แล้วจับดาวเสาร์โยนลงไป ดาวเสาร์ก็จะสามารถลอยน้ำได้นั่นเอง ในขณะที่วงแหวนของดาวเสาร์ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยเศษหินและน้ำแข็งขนาดเล็ก ที่เรียงตัวอยู่ในระนาบเดียวกัน ซึ่งอันที่จริงแล้ว แม้แถบวงแหวนเหล่านี้จะมีขนาดความกว้างอยู่มากถึง 80,000 กิโลเมตร จนสามารถมองเห็นได้จากโลกก็ตาม แต่มันกลับมีความหนาเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 500 กิโลเมตรเท่านั้น หรือในอัตราส่วนราว 160 ต่อ 1 ซึ่งมันบางมากๆ โดยเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวเสาร์จะอยู่ที่ประมาณ 120,000 กิโลเมตร
อันดับที่ 21: ดาวพฤหัสบดี (Jupiter)
ดาวพฤหัสบดี เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 5 และมีขนาดใหญ่สุดในระบบสุริยะ (ไม่นับดวงอาทิตย์) โดยมีน้ำหนักมากกว่าโลกถึง 318 เท่า และมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่าโลก 11 เท่า หรือคิดเป็นปริมาตร 1,300 เท่าของโลก อีกทั้งมันยังมีมวลมากกว่ามวลของดาวเคราะห์ทุกๆดวงในระบบสุริยะรวมกันราว 2.5 เท่า และจากการประเมินของนักวิทยาศาสตร์ก็คาดว่า หากดาวพฤหัสบดีมีมวลมากกว่านี้สัก 80 เท่า มันก็อาจมีความดันในใจกลางมากพอ ที่จะสามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นจนกลายเป็นดาวฤกษ์ดวงเล็กๆได้ โดยดาวพฤหัสบดีมีเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 140,000 กิโลเมตร
อันดับที่ 20: พร็อกซิมาคนครึ่งม้า (Proxima Centauri)
ดาวพร็อกซิมา เซนทอรี หรือ อัลฟา เซนทอรี C คือดาวแคระแดงในกลุ่มของระบบดาวฤกษ์คู่ (binary star) ที่ชื่อ อัลฟา เซนทอรี เอบี (Alpha Centauri AB) โดยมันอยู่ห่างจากระบบสุริยะของเราเพียง 4.2 ปีแสงเท่านั้น ค้นพบครั้งแรกโดยโรเบิร์ต อินเนส ผู้อำนวยการหอดูดาวยูเนียนในแอฟริกาใต้เมื่อปี ค.ศ 1915 อีกทั้งมันยังได้ขึ้นชื่อว่า เป็นดาวฤกษ์ดวงที่อยู่ใกล้กับระบบสุริยะของเรามากที่สุด (เท่าที่รู้จักกันในปัจจุบัน) และการที่ดาวพร็อกซิมา เซนทอรี มีอุณหภูมิค่อนข้างต่ำ หรือที่ประมาณ 2,700 องศาเซลเซียส (3,042 เคลวิน) และมีมวลน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของดวงอาทิตย์นี่เอง จึงทำให้พร็อกซิมา เซนทอรี นั้น จะสามารถใช้พลังงานจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นได้ช้ากว่าดวงอาทิตย์ของเรา หรือก็คือมันจะมีอายุยืนยาวกว่าดวงอาทิตย์ของเรานั่นเอง เส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณของมันคือ 200,000 กิโลเมตร
อันดับที่ 19: ดวงอาทิตย์ (Sun)
ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ ณ ใจกลางระบบสุริยะ เป็นพลาสมาร้อนทรงเกือบกลมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งพลังงานสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.4 ล้านกิโลเมตร ซึ่งใหญ่กว่าโลกถึง 109 เท่า และมีมวลมากกว่าโลก 330,000 เท่า อีกทั้งยังเป็นมวลกว่าร้อยละ 99.86 ของมวลทั้งหมดภายในระบบสุริยะ โดยองค์ประกอบของดวงอาทิตย์ประมาณสามในสี่เป็นไฮโดรเจน ส่วนที่เหลือเป็นฮีเลียม และมีปริมาณธาตุหนักเพียงเล็กน้อย รวมทั้งออกซิเจน คาร์บอน นีออนและเหล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณคือ 1,400,000 ���ิโลเมตร
อันดับที่ 18: ดาวซิริอุส (Sirius)
ดาวซิริอุส มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งในภาษาไทยว่า ดาวโจร เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในตอนกลางคืนและสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งจริงๆแล้วมันคือระบบดาวฤกษ์คู่โดยดาวที่สว่างสุดนั้นคือซิริอุส เอ และยังมีดาวแคระขาวสีจางๆอีกดวงใกล้ๆที่ชื่อซิริอุส บี อีกทั้งระบบดาวดวงนี้ยังอยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์เรามากเพียง 8.6 ปีแสงเท่านั้น โดยดาวซิริอุส-เอ มีมวลประมาณ 2 เท่าของดวงอาทิตย์ และมีค่าความสว่างสัมบูรณ์ เท่ากับ 1.42 หรือคิดเป็น 25 เท่าของความสว่างของดวงอาทิตย์ ขณะที่เส้นผ่านศูนย์กลางของมันใหญ่โตถึง 2.5 ล้านกิโลเมตร
อันดับที่ 17: ดาวเวกา (Vega)
เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาวพิณ และเป็นดาวฤกษ์ที่สว่างสุดเป็นอันดับห้าในท้องฟ้ากลางคืน อีกทั้งมันยังสว่างสุดเป็นอันดับสองในซีกฟ้าเหนืออีกด้วย ซึ่งเป็นรองเพียงดาวอาร์คตุรุสเท่านั้น โดยดาวเวกายังถือได้ว่าอยู่ใกล้กับเราพอควร นั่นคือห่างไกลในระยะ 25 ปีแสงจากโลก ในอดีตดาวเวกาเคยเป็นดาวเหนือของโลกมาก่อน เมื่อราว 12,000 ปีที่แล้ว และจะกลับมาเป็นดาวเหนืออีกครั้งราว ปี ค.ศ. 13727 ซึ่งวัตถุลึกลับอย่าง โอมูอามูอา นักวิทยาศาสตร์เองก็คำนวณแล้วว่า มันอาจมีแหล่งกำเนิดมาจากระบบดาวเวกาเช่นกัน โดยเส้นผ่านศูนย์กลางของมันคือ 3.8 ล้านกิโลเมตร
อันดับที่ 16: ดาวอาร์คตุรุส (Arcturus)
ดาวอาร์คตุรุสคือดาวยักษ์แดง ที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาวคนเลี้ยงสัตว์ มีค่าความส่องสว่างปรากฏเท่ากับ -0.05 ถือเป็นดาวสว่างที่สุดลำดับที่ 4 บนท้องฟ้ายามราตรี รองจากดาวซิริอุสและดาวคาโนปุส แต่ก็ยังเป็นดาวฤกษ์ที่สว่างสุดในซีกฟ้าเหนือ อยู่ห่างจากโลกประมาณ 36.7 ปีแสง และจากการตรวจค่าแสงในย่านอินฟราเรดก็พบว่า มันมีความสว่างมากกว่าดวงอาทิตย์ถึง 170 เท่า เส้นผ่านศูนย์กลางของมันใหญ่มากถึง 36 ล้านกิโลเมตร!
อันดับที่ 15: ดาวไรเจล (Rigel)
ดาวไรเจล เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างสุดในกลุ่มดาวนายพราน (Orion Constellation) และสว่างสุดเป็นลำดับ 7 บนท้องฟ้า อยู่ห่างจากโลกประมาณ 863 ปีแสง โดยมีค่าความสว่างเท่ากับ 0.13 แม้ตามการจัดระดับดาวของเบเยอร์แล้ว มันจะได้รับรหัสว่า เบต้าโอไรออนก็ตาม แต่เรากลับพบว่า มันมีความสว่างมากกว่าดาวอัลฟาโอไรออน หรือ ดาวบีเทลจุส เสียอีก โดยดาวไรเจลอยู่ห่างไกลจากโลกราว 863 ปีแสง และมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่ใหญ่โตมโหฬารมากถึง 97 ล้านกิโลเมตร
อันดับที่ 14: ดาวบีเทลจุส (Betelgeuse)
ดาวบีเทลจุส เป็นดาวยักษ์ใหญ่แดง (Red supergiant star) ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1,000 เท่า ของดวงอาทิตย์ และอยู่ไกลจากโลกราว 640 ปีแสง อีกทั้งมันยังเป็นดาวฤกษ์ดวงแรกนอกระบบสุริยะ ที่มนุษย์สามารถวัดขนาดของมันได้สำเร็จ ในปี ค.ศ 1920 และยังเป็นดาวฤกษ์ดวงแรก ที่เราสามารถถ่ายภาพมันได้จากชั้นบรรยากาศอีกด้วย แน่นอนว่าดาวไรเจลที่เราว่าใหญ่โตมโหฬารแล้ว แต่เมื่อมาเจอกับรุนใหญ่อย่างบีเทลจุสก็ถึงคราวต้องยอมสยบ เพราะมันมีเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่เว่อถึง 1,300 ล้านกิโลเมตร! เลยทีเดียว
0 notes