Don't wanna be here? Send us removal request.
Text
ค่าดูแลรักษา รถยนต์ไฮบริดถยนต์ มีค่าใช้จ่ายสูงจริงหรือไม่
ท่ามกลางกระแสมากมายจากหลายฟากฝั่งที่หลั่งไหลออกมาโต้เถียงกันเรื่องของรถยนต์ไฮบริดในแง่ของความคุ้มค่า บ้างก็ว่าใช้แล้วคุ้ม เป็นรถที่ประหยัดน้ำมันที่สุดเพราะยิ่งใช้ยิ่งประหยัด ขณะที่อีกกลุ่มก็แย้งกลับว่ารถยนต์ไฮบริดยิ่งใช้ยิ่งแพงเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด เราลองมาวิเคราะห์เจาะลึกให้เห็นภาพชัดขึ้นกันค่ะ
หนึ่งในค่าใช้จ่ายหลักสำหรับคนมีรถคือ “ค่าน้ำมัน” บางคนเรียกว่าภาระที่ต้องแบกจนหนักอึ้ง ด้วยการเดินทางวันละหลายชั่วโมงประกอบกับสภาพการจราจรที่ติดขัด รู้สึกตัวอีกครั้งก็เสียค่าน้ำมันหลักหมื่นแทบทุกเดือน ตรงกันข้ามหากรถยนต์ที่ใช้เป็นระบบไฮบริด ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นแกนหลักในการทำงานส่งผลให้กินน้ำมันน้อยลงอย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีระบบที่สามารถแปลงพลังงานจลน์ซึ่งเกิดจากการเบรกหรือหยุดรถให้กลับกลายเป็นพลังงานส่งกลับไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ไฮบริดได้อีกด้วย
ดังนั้นหนึ่งในความคุ้มค่าของการใช้รถยนต์ระบบไฮบริดคือเรื่องของค่าน้ำมันซึ่งจะลดลงแน่นอน เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้นในระยะทาง 100,000 กิโลเมตรเท่ากัน คำนวณที่ค่าน้ำมันลิตรละ 34 บาท รถยนต์ปกติจะใช้น้ำมัน 6,493.5 ลิตร ค่าน้ำมันประมาณ 220,779 บาท ขณะที่รถไฮบริดเจนใหม่ C-HR ใช้น้ำมัน 4,098.3 ลิตร ค่าน้ำมันประมาณ 139,342.2 บาท
ส่วนเรื่องของแบตเตอรี่ในรถยนต์ไฮบริดที่เป็นข้อกังขาให้หลายคนถกเถียงว่าใช้แล้วไม่คุ้ม จากการทดลองล่าสุดในประเทศอเมริกาพบว่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฮบริดสามารถใช้ได้นานถึง 400,000 กิโลเมตรโดยไม่เสื่อมประสิทธิภาพ อีกทั้งเพื่อความมั่นใจโตโยต้ายังรับประกันคุณภาพของแบตเตอรี่รถยนต์ไฮบริดนานถึง 10 ปี
ความคุ้มค่าอีกอย่างที่ได้แน่นอนเมื่อเลือกใช้รถยนต์ระบบไฮบริดคือช่วยลดมลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพราะมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8 ลิตร เท่ากันทั่วไปถึง 55 กรัมต่อกิโลเมตร เปรียบได้กับการปลูกต้นไม้กว่า 100 ต้นในหนึ่งปีทีเดียว
0 notes
Text
รถยนต์ไฮบริดที่ประหยัดน้ำมัน คุ้มกับค่าดูแลแค่ไหน
หนึ่งในค่าใช้จ่ายหลักสำหรับคนมีรถคือ “ค่าน้ำมัน” บางคนเรียกว่าภาระที่ต้องแบกจนหนักอึ้ง ด้วยการเดินทางวันละหลายชั่วโมงประกอบกับสภาพการจราจรที่ติดขัด รู้สึกตัวอีกครั้งก็เสียค่าน้ำมันหลักหมื่นแทบทุกเดือน ตรงกันข้ามหากรถยนต์ที่ใช้เป็นระบบไฮบริด ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นแกนหลักในการทำงาน ขณะที่จอดหรือขับด้วยความเร็วต่ำ ก็จะช่วยให้เราประหยัดพลังงานมากขึ้น ไปดูกันว่ารถที่ประหยัดน้ำมันที่สุด อย่างรถยนต์ไฮบริดที่ จะคุ้มกับค่าดูแลแค่ไหน
ความคุ้มค่าของการใช้รถที่ประหยัดน้ำมันที่สุดที่เป็นระบบไฮบริดคือเรื่องของค่าน้ำมันซึ่งจะลดลงแน่นอน เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้นในระยะทาง 100,000 กิโลเมตรเท่ากัน คำนวณที่ค่าน้ำมันลิตรละ 34 บาท รถยนต์ปกติจะใช้น้ำมัน 6,493.5 ลิตร ค่าน้ำมันประมาณ 220,779 บาท ขณะที่รถไฮบริดเจนใหม่ C-HR ใช้น้ำมัน 4,098.3 ลิตร ค่าน้ำมันประมาณ 139,342.2 บาท ประหยัดไปประมาณ 81,436.8 บาท
ส่วนเรื่องของแบตเตอรี่ในรถยนต์ไฮบริดที่เป็นข้อกังขาให้หลายคนถกเถียงว่าใช้แล้วไม่คุ้ม จากการทดลองล่าสุดในประเทศอเมริกาพบว่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฮบริดสามารถใช้ได้นานถึง 400,000 กิโลเมตรโดยไม่เสื่อมประสิทธิภาพ อีกทั้งเพื่อความมั่นใจยังมีรับประกันคุณภาพของแบตเตอรี่รถยนต์ไฮบริดนานถึง 10 ปี
สำหรับเรื่องการดูแลรักษารถยนต์ไฮบริดมีค่าใช้จ่ายที่แทบจะไม่แตกต่างจากรถยนต์ระบบธรรมดาทั่วไป เมื่อลองเปรียบเทียบกับรถยนต์คัมรีรุ่นเครื่องยนต์ธรรมดาที่มีระยะทางวิ่งที่หนึ่งแสนกิโลเมตรเท่ากัน มีส่วนต่างที่รถยนต์คัมรีรุ่นไฮบริดต้องจ่ายมากกว่าอยู่ที่ 1,150 บาทเท่านั้น
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในช่วงลังเลตัดสินใจเลือกรถสักคันให้กับตัวเอง อย่าลืมลองเปรียบเทียบความคุ้มค่าข้างต้นกับไลฟ์สไตล์ในชีวิตดูเพื่อให้ได้คำตอบที่ใช่ที่สุดสำหรับตัวเองนะคะ
แหล่งที่มา auto.sanook.com/62897/
0 notes
Text
เลิกความเชื่อผิดๆ เรื่องขับรถประหยัดน้ำมันของคนไทย
การประหยัดน้ำมันทำได้หลายวิธีตามที่เรารู้ๆกัน ผู้ขับรถหลายๆท่านก็มีความเชื่อในการทำให้รถประหยัดน้ำมัน ที่แตกต่างกันออกไปไม่ว่าที่เคล็ดลับเล็กๆ น้อยในเรื่องความประหยัดรวมถึงเรื่องที่บอกต่อกันมา ทั้งที่มันอาจจะไม่จริงซึ้งอาจจะทำให้รถยนต์กินน้ำมันมากขึ้นโดยไม่รู้ตัวก็ได้ ดังนั้นไปดูความเชื่อแบบผิดๆ แบบไหนบ้างนะ ที่ท่านอาจจะกำลังเข้าใจผิดอยู่
1. อุ่นเครื่องก่อนขับเป็นเวลานาน ช่วยให้รถประหยัดน้ำมัน เป็นความเข้าใจที่มีมายาวนานว่า การสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้เพื่อให้มีระดับอุณหภูมิต่อการขับขี่จะช่วยในความประหยัดทั้งที่กลับเป็นการผลาญน้ำมันอย่างไร้ประโยชน์ ทางที่ดีการอุ่นเครื่องยนต์คือเริ่มเคลื่อนรถออกไปช้าๆ เป็นการอุ่นเครื่องก่อนออกเดินทางก็ได้แล้วค่ะ
2. เปลี่ยนเกียร์ไปมา เรียกว่าสนุกสนานในการขับขี่ แต่หลายคนอาจจะไม่คิดว่าการเปลี่ยนเกียร์ไปมาบ่อยๆ นั้น จะทำให้รถสิ้นเปลือง อย่างที่เรารู้ว่าเกียร์ที่ดีที่สุดในการเดินทางคือเกียร์ตำแหน่งสูงสุด แต่ว่าการเปลี่ยนเกียร์ไปมาต่างมีผลทำให้เครื่องเร่งรอบสูงและไม่ประหยัดน้ำมัน
3. ไม่ดับเครื่องยนต์ ขณะจอดอยู่กับที่ ยังคงเป็นเรื่องที่หลายคนยังไม่ตระหนักในการขับขี่มากมายนัก เรามักติดเครื่องทิ้งไว้อย่างเปล่าประโยชน์ เพราะเครื่องยนต์ยังทำงานและมีการจ่ายน้ำมันอยู่ดี
4. เติมน้ำมันเพียงครึ่งถังเพื่อลดน้ำหนัก หลายๆคนเชื่อว่าการเติมน้ำมันให้เต็มถังเนี่ย จะทำให้รถหนักขึ้นแล้วยิ่งเปลืองเชื้อเพลิงเวลาขับขี่ แต่นั้นเป็นความเชื่อที่ผิดนะคะ เพราะถังน้ำมันรถของเราจะเป็นทรงกรวย เวลาที่เราเติมน้ำมันเต็มถังก็สามารถใช้ได้นานกว่ามีความคุ้มค่ากว่า ที่สำคัญลดในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงค่าน้ำมันของตลาดและไม่ต้องเสียเวลาที่คุณต้องเข้าไปเติมน้ำมันบ่อยๆ ด้วย
5. เติมลมยางมาก/น้อยกว่ามาตรฐาน การเติมลมยางมากเกินไป จะทำให้หน้าสัมผัสยางกับถนนลดน้อยลง แม้จะได้ความประหยัดเพิ่มขึ้น (จิ๊ดเดียว) แต่ก็ต้องแลกกับการยึดเกาะถนนที่น้อยลงด้วย แต่หากลมยางอ่อนเกินไป ก็จะทำให้เกิดแรงเสียดทานกับพื้นถนนมากขึ้น ทำให้เปลืองน้ำมันมากขึ้น ทางที่ดีควรเติมลมยางตามมาตรฐานก็พอ
รู้แบบนี้แล้วท่านไหนกำลังมีความเชื่อแบบผิดๆอยู่ ก็ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกันดูนะคะเพราะนอกจากไม่ช่วยให้รถประหยัดน้ำมันแล้ว บางวิธีทำให้สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์อีกนะคะ
0 notes
Text
วิธีการเลือกซื้อรถยนต์อย่างไรให้เหมาะกับการใช้งานต่างๆ
รถยนต์ในปัจจุบันมีมากมายหลายยี่ห้อ หลายรูปแบบ เช่นรถเก๋งนั่งสี่ประตูหรือแบบซีดาน, รถยนต์สำหรับครอบครัว หรือ MPV,รถเก๋งประหยัดน้ำมัน ฯลฯ ซึ่งก่อนจะซื้อรถสักคันก็ต้องตัดสินใจจากปัจจัยหลายๆอย่างเช่นซื้อมาเพื่อต้องการใช้งานแบบไหน ซื้อมาเพื่อบรรทุกหรือขนของ รถยนต์สำหรับครอบครัว เป็นต้น วันนี้ขอนำวิธีการเลือกซื้อรถอย่างไรให้เหมาะกับการใช้งานมาฝากกันค่ะ
เน้นขับในเมือง การจราจรโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ถือว่าติดหนักมากๆๆ ทำให้เปลืองค่าน้ำมันไปเปล่าๆโดยที่รถไม่ขยับเลยใช่ไหมคะ ถ้าต้องเจอกับสภาพการจราจรที่รถติดทุกวัน แนะนำว่าควรจะเลือกรถที่ประหยัดน้ำมันที่สุด เล็กกะทัดรัด จะได้หาที่จอดได้ง่ายๆด้วยค่ะ
ขับต่างจังหวัด ควรเลือกรถที่ขับทั้งในเมืองและต่างจังหวัดในเวลากันกันได้ แต่ต้องมี เครื่องยนต์สมรรถนะใช้งานสูง รวมไปถึงด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัยในการขับขี่อีกด้วย
รถครอบครัว สำหรับคนที่มีครอบครัวใหญ่ แล้วมักชอบเดินทางไกลบ่อยๆ น่าจะเลือกรถที่มีห้องโดยสารขนาดใหญ่และกว้างขว้าง ทำให้คนในครอบครัวนั่งสบายไม่รู้สึกอึดอัด รวมไปถึงพื้นที่ด้านหลังที่สามารถวางของหรือสัมภาระได้ด้วย
เน้นบรรทุของหนักๆ แน่นอนว่าต้องเป็นรถกระบะแน่นอน เพราะเน้นการใช้งานหนักบรรทุกสินค้า บรรทุกคนจำนวนมากๆ และสามารถขับไปได้แม่ว่าถนนจะเป็นหลุมบ่อ
การเลือกรถยนต์สักคันให้เหมาะสมต่อการใช้งานจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้เงินที่จ่ายซื้อไปมีความคุ้มค่ามากขึ้น จึงควรเลือกรถที่เหมาะสมมากกว่าเลือกตามกระแสนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก https://auto.mthai.com
0 notes
Text
ช่างยืนยัน รถระบบไฮบริดดูแลไม่ได้ยากอย่างที่คิด
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องเครื่องยนต์ระบบไฮบริด (ไฮบริด ฟอรั่ม) เพื่อเป็นการให้ความรู้และเสริมทักษะในการซ่อมและบำรุงรักษารถระบบไฮบริดแก่อู่ที่ให้บริการซ่อมรถยนต์ทั่วไป เพื่อรองรับการให้บริการแก่ผู้ใช้รถยนต์ไฮบริดที่จะเพิ่มมากขึ้นต่อไปในอนาคต เพราะผู้ใช้รถหลายๆคนยังกังวลถึงระบบต่างๆ ที่มองแล้วเครื่องยนต์มีความซับซ้อนกว่ารถยนต์สันดาปภายใน ทำให้ยากแก่การดูแลและซ่อมบำรุง จึงเกิดการจัดอบรมนี้ขึ้นให้ผู้ใช้รถยนต์ไฮบริด หรือผู้ที่กำลังตัดสินใจจะใช้รถระบบไฮบริดได้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นในเรื่องการบำรุงรักษา
จากเสียงของช่างที่เข้าอบรมไฮบริด ฟอรั่ม ว่าก่อนหน้าที่จะได้เข้าอบรม หลายๆ คนอาจจะยังมีความรู้ในเรื่องระบบต่างๆ ของไฮบริดไม่มากนัก แต่หลังจากผ่านการอบรม ซึ่งโตโยต้าได้แบ่งออกเป็นฐานต่างๆ โดยนำเอาความรู้เกี่ยวกับระบบไฮบริดหลักๆ เช่น แบตเตอรี่ มอเตอร์ไฟฟ้า และระบบเกียร์ มาอธิบายให้เข้าใจอย่างละเอียด ���ำให้ผู้เข้าอบรมต่างมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นในการที่จะซ่อมบำรุงรถระบบไฮบริดต่อไปในอนาคต
"คนส่วนใหญ่จะกังวลเรื่องราคาแบตเตอรี่ ว่ามีราคาสูง แต่พอเข้ามาอบรมกับไฮบริด ฟอรั่มแล้ว รู้สึกว่าราคามันไม่ได้สูงอย่างที่คิด และมีแนวโน้มว่าจะถูกลงอีกด้วย ทั้งอายุการใช้งานก็ยาวนานกว่าแบตเตอรี่ธรรมดาทั่วไป ยิ่งได้รู้ว่าทางโตโยต้ามีการรับประกันถึง 10 ปี จึงมั่นใจได้เลยว่า ใช้รถยนต์ไฮบริดแล้วคุ้มค่าจริงๆ ครับ" ประภาส แก้วประทุม จากโดนัท เซอร์วิส
"ต่อไปนี้ ไม่ต้องกังวลเรื่องการดูแลรถไฮบริดแล้วครับ หลังจากที่ได้ผ่านการอบรมครั้งนี้ ทำให้ได้รับความรู้ในเรื่องรถไฮบริดมากขึ้น และรู้ว่าระบบไฮบริดไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลย มั่นใจได้เลยครับว่า อู่ไหนๆ ก็สามารถดูแลรถไฮบริดให้คุณได้ เพราะไม่ได้ต่างอะไรกับรถยนต์สันดาปภายในเลย" ไกรสร ทาดี จาก TSC
ทางโตโยต้า เชื่อว่าหลังจากจบการอบรมไฮบริด ฟอรั่ม ไปแล้ว ช่างหลายๆ คนจะได้รับความรู้ในเรื่องระบบไฮบริดอย่างถูกต้อง และมีความมั่นใจ ในการซ่อมบำรุงรถระบบไฮบริดเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นผู้ที่ยังลังเลใจที่จะเลือกใช้รถยนต์ไฮบริด ในเรื่องการดูแลรักษา น่าจะคลายความกังวลไปได้บ้าง เพราะช่างหลายๆ คน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ไฮบริดดูแลได้ ง่าย���ิดเดียว"
แหล่งที่มา https://car.kapook.com/view189870.html
0 notes
Text
การประมูลรถอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจ ซึ่งคนทั่วไปสามารถเข้าร่วมได้
ใครกำลังมองหารถมือสองอยู่บ้างคะ รู้หรือไม่ว่านอกจากการซื้อรถมือสองผ่านคนรู้จัก หรือจากเต้นท์ขายรถแล้ว ยังมีอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจอีกด้วยนั่นก็คือ การซื้อรถมือสองจากการประมูล ซึ่งคนธรรมดาปกติอย่างเราๆสามารถเข้าร่วมประมูลได้ด้วย ใครที่อยากได้รถประมูลราคาถูก สามารถดูรายละเอียดจากบทความนี้ได้เลยค่ะ
การประมูลรถ : เป็นวิธีที่ให้ผู้ซื้อแข่งขันกันเสนอราคาให้มากที่สุดเท่าที่จะให้ได้ต่อรถคันนั้น ซึ่งวิธีดังกล่าวนั้น ทำให้รถยนต์มีมูลค่าเพิ่มจากปกติตามสภาพที่ขายได้ทั่วไป สถาบันการเงินหรือไฟแนนซ์หลายแห่ง นิยมนำรถยนต์ที่ยึดมาจากลูกค้าที่ไม่สามารถชำระสืนเชื่อได้ตามกำหนดมาปล่อยประมูลเป็นจำนวนมาก
การเตรียมตัวก่อนประมูล และกฎกติกาการประมูล
1.ผู้ซื้อควรตรวจสภาพรถและข้อมูลรถที่ตัวรถก่อนทำการประมูล
2. ผู้เข้าร่วมประมูลต้องมัดจำค่าป้ายหมายเลขผู้ประมูล 20,000 บาท ด้วยเงินสด หรือ แคชเชียร์เช็ค
3. กรณีต้องการจัดไฟแนนซ์หรือเช่าซื้อกรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายเช่าซื้อ(ไฟแนนซ์) ก่อนทำการประมูลทุกครั้ง
4. แสดงเจตนาการซื้อรถยนต์ด้วยวิธียกป้ายหมายเลขประมูลเท่านั้น (ถ้าแสดงโดยวิธีอื่น โฆษกจะไม่นับขายให้) โดยเริ่มการประมูลจากราคากลาง ซึ่งหากผู้เข้าประมูลเสนอซื้อมากกว่า 1 ราย
•โฆษกจะปรับราคาขึ้นครั้งละ 2,000 บาท กรณีที่ราคาเริ่มต้น 1-999,999 บาท
•โฆษกจะปรับราคาขึ้นครั้งละ 10,000 บาท กรณีที่ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 1,000,000 บาทขึ้นไปและ ผู้เสนอซื้อในราคาสูงสุดจะเป็นผู้ชนะการประมูล
สรุปการประมูลรถก็คือช่องทางหนึ่งในการซื้อขายรถนั่นเอง บุคคลธรรมดาทั่วไปสามารถเข้าร่วมได้ แต่จะต้องมีความรู้เรื่องราคาหรือตั้งราคาในใจมาก่อนอย่าให้เกินงบ สำหรับมือใหม่จริงๆ ควรต้องศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมให้มากก่อนตัดสินใจประมูลรถมือสองนะคะ
0 notes
Text
รู้ก่อนประมูล ตามหาแหล่งที่มาของรถประมูลว่ามาจากที่ไหนบ้าง?
การประมูลรถยนต์ก็เหมือนกับการประมูลสิ่งของอื่น ๆ ซึ่งการประมูลรถยน��์นั้น จะมีรถประมูลราคาถูก หลากหลายรุ่น หลากหลายค่าย ทั้งเก่าและใหม่ มาให้ผู้ประมูลได้เลือกประมูลแข่งกันเสนอราคาให้มากที่สุดเท่าที่จะให้ได้ต่อรถคันนั้น เพื่อที่จะได้รถที่ต้องการมาครอบครอง แต่ก่อนจะประมูลรถนั้น สิ่งที่จำเป็นต้องรู้อีกอย่างหนึ่งก็คือ แหล่งที่มาของรถว่ามีที่มาที่ไปยังไงก่อนที่จะนำมาประมูล ไปดูกันเลยค่ะ
1. จากสถาบันทางการเงิน
ตามปกติแล้วรถประมูลราคาถูกโดยส่วนใหญ่จะมาจากรถยนต์ที่ถูกยึดโดยสถาบันการเงินต่างๆ ซึ่งมาจากผู้ซื้อนั้นจงใจไม่ผ่อนชำระหรืออาจจะประสบสภาพคล่องทางการเงิน เกินกว่า 4 เดือน ทำให้ไฟแนนซ์ยึดรถมาขายทอดตลาด
2.รถอุบัติเหตุ
ในบางกรณีบริษัทประกันก็เข้ามามีเอี่ยวในการประมูลรถยนต์บ้าง โดยจะนำรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุมาประมูลซาก หรือประมูลรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุ รถประเภทนี้ สำหรับคนทั่วไปไม่ค่อยจะแนะนำให้ซื้อสักเท่าไรนะคะ แต่ถ้ามีอู่ที่ไว้ใจได้หรืออยากจะนำไปซ่อมก็สามารถทำได้ เพียงแค่ต้องมีงบพอที่จะเปลี่ยนอะไหล่ด้วยนะคะ
3.รถบ้าน
รถบ้านคือรถที่เจ้าของรถขายเอง ไม่ได้เป็นผู้ประกอบการณ์รถยนต์มือสองหรือเต้นท์เป็นการซื้อขายโดยตรง สำหรับคนที่ต้องการซื้อรถบ้าน สามารถติดต่อกับเจ้าของรถ คนรู้จัก หรือผ่านอินเตอร์เน็ตอย่างเว็บไซต์เกี่ยวกับการประมูลรถยนต์ได้ เมื่อเจ้าของรถขายเอง ราคารถก็ตั้งตามที่ต้องการที่เจ้าของรถคิดว่ารถตัวเองควรอยู่ในราคาประมาณเท่าไร เช่นเดียวกับผู้ซื้อ ที่ไม่ต้องผ่านการบวกจากเต้นท์เพื่อเอากำไร
4. รถปลดระวางจากบริษัทหรือราชการ
ซึ่งรถประเภทนี้จะเป็นรถที่ผ่านการดูแลมาค่อนข้างดี แต่บางคันก็ใช้งานหนักมาเหมือนกัน ดูเรื่องเครื่องยนต์ให้ดีๆส่วนเรื่องตัวถังนั้นสามารถไว้ใจได้���น่นอน
ในการประมูลรถนั้นจำเป็นต้องมีความรู้เรื่องเครื่องยนต์ อุปกรณ์ต่างๆ อะไหล่ ดีพอสมควร เพราะรถพวกนี้เค้าประมูลกันตามสภาพแบบ ตาดีได้ตาร้ายเสีย คิดดูดีๆก่อนจะไปประมูลรถมาใช้นะคะ และควรศึกษาเรื่องราคามาให้ดีง่าไม่ควรเกินเท่าไรไม่งั้นประมูลไปประมูลมาอาจจะซื้อรถคันนั้นในราคาที่แพงกว่าท้องตลาดก็เป็นได้นะคะ
0 notes
Text
ทำความรู้จักกับ รถเต็นท์ VS รถบ้าน ในวงการรถยนต์มือ2 คืออะไร?
สำหรับคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวงการรถยนต์มือ 2 แล้วล่ะก็คงจะไม่ค่อยได้ยินคำว่า รถเต็นท์ กับรถบ้าน สักเท่าไรใช่ไหมค่ะ เช่นถ้าได้ยินคำพูดที่ว่า ต้องการซื้อรถบ้าน เราก็อาจจะคิดว่า ต้องการซื้อรถที่มีขนาดใหญ่มีห้องต่างๆเหมือนกับบ้านเอาไว้สำหรับเดินทาง แต่รถบ้านในที่นี้หมายถึงคำนิยามประเภทของรถมือ 2 แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ รถเต็นท์ กับรถบ้าน วันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับรถมือ2 ทั้ง 2 ประเภทให้มากขึ้นกันค่ะ
รถบ้านคืออะไร
รถบ้าน คือรถที่เจ้าของรถใช้ขับและนำมาขายเอง เป็นการซื้อขายโดยตรงกับเจ้าของรถ บางคนจอดรถไว้ให้ดูที่บ้านหรือนัดสถานที่ดูสภาพรถที่ไหนซักแห่ง ถึงจะไม่ได้นัดกันที่บ้าน ก็ยังเรียกว่าเป็นรถบ้าน นอกจากนี้ยังรวมถึงการประกาศด้วยตัวเองผ่านคนรู้จัก หรือผ่านอินเตอร์เน็ตอย่างเว็บไซต์เกี่ยวกับรถยนต์ หรือโซเชียลมิเดียของตัวเองเพื่อให้คนที่ต้องการซื้อรถบ้าน สามารถค้นเจอได้อีกทาง
รถเต็นท์คืออะไร
รถเต็นท์ คือการซื้อขายผ่านคนกลาง ไม่ได้ซื้อกับเจ้าของโดยตรง และเป็นธุรกิจซื้อขายรถยนต์มือสองโดยเฉพาะ มีสถานที่ซื้อขายเป็นหลักแหล่ง ในอดีตจะขายตามริมถนนมีเต็นท์ผ้าใบกางให้รถจอด จึงถูกเรียกกันว่า รถเต็นท์ หรือเต็นท์รถมือสอง แต่สมัยนี้อัพเกรดให้ดูดีขึ้นเป็นห้องแถวหรืออาคารพาณิชย์ แต่ก็ยังถูกเรียกเหมือนเดิมค่ะ
สำหรับรถทั้ง 2 ประเภทก็ล้วนแต่เป้นรถยนต์มือ 2 ที่ผ่านการใช้งานมาแล้วนะคะ สำหรับคนที่มีงบน้อย เพิ่งเริ่มต้นทำงาน รายได้ยังไม่ดีนัก แต่มีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์ การใช้รถ��ือสองเป็นตัวเลือกที่ดีประหยัดเงินได้หลักแสนบาทเลยทีเดียว หากเทียบกับรถใหม่ ในปัจจุบันรถยนต์มือสองประเภทรถเก๋งจะมีราคาถูกและมีตัวเลือกมาก แต่เพื่อให้ได้รถคุณภาพดี ควรหาคนรู้จักที่รู้เรื่องรถในระดับหนึ่ง หรือช่างที่ชำนาญ ���ปช่วยเลือกรถมือสองตามเต็นท์ต่างๆ หรือกับคนที่ขายรถตัวเองโดยตรงได้จะดีมากค่ะ
0 notes