Don't wanna be here? Send us removal request.
Text
ทดนิยาย #31
รัชศก หมิงอู๋ ปีที่ 33
จักรพรรดิจิ้นสวรรคตด้วยวัย 67ปี บรรดาเจ้าชายทั้งหลายในราชวงศ์ต่างปวดหัวเพราะพินัยกรรมของจักรพรรดินั้นไร้นามของผู้สืบต่อราชบัลลังก์
พระราชโอรส 7 พระองค์
พระราชนัดดา 8 พระองค์
ลูกชาย 5 — 6 คน
ลูกชาย 6 — 2 คน
เจ้าชายทั้ง 15 คนต่างมาประชุมกันในนครต้องห้ามเพื่อหาข้อยุติ และป้องกันการเกิดสภาพสงครามกลางเมืองแบบเมื่อสี่สิบปีก่อนด้วย
ถึงจะบอกว่ามีเจ้าชาย 15 องค์ แต่หลัก ๆ ก็ขึ้นกับลูกของจักรพรรดิจิ้นนั้นละ เพราะชาย 5 สอนแบบฝ���งหัวลูกมาเลยว่าให้เป็นไปตามพระประสงค์ของจักรพรรดิจิ้น ลูกของชาย 5 ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงยอมจักรพรรดิขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่ในสายตาของลูก ๆ แล้วชาย 5 ต่างหากที่เป็นเดอะแบกของจักรวรรดิ
ส่วนลูกชาย 6 ที่โดนจับกักบริเวณไว้บนตำหนักพักร้อนมาตลอดชีวิต เอาจริง ๆ ที่ยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้เพราะจักรพรรดิจิ้นตั้งแต่เด็ก ๆ จนโต เอาจริง ๆ ก็ร้อน ๆ หนาว ๆ ว่าจักรพรรดิจิ้นที่เป็นคนคุ้มกะลาหัวสิ้นแล้วพวกตัวเองจะเป็นยังไงต่อเลยไม่ค่อยมีปากมีเสียงเท่าไหร่
องค์ชายทั้ง 7
ลูกของจักรพรรดิจิ้น 7 คน
3 คนเกิดกับพระมเหสี(ชาวจงหยวน)
4 คนเกิดกับพระสนมจากต่างชนเผ่า ตั้งเผ่าตี่ และเผ่ายาไต
เรียกได้ว่าการย้ายเมืองหลวงมาทางเหนือทำให้ราชสำนักหลังพิงเผ่ายาไตอย่างมาก
เผ่ายาไตก็อยากให้เจ้าชายที่เกิดกับองค์หญิงของพวกตนขึ้นเป็นจักรพรรดิอีก เหมือนจักรพรรดิจิ้น ส่วนพวกขุนนาง และชาวจงหยวนก็อยากให้จักรพรรดิเป็นองค์ชายใหญ่ ลูกชายคนโตของจักรพรรดิจิ้นกับพระมเหสีชาวจงหยวน
นักประวัติศาสตร์ในยุคหลังวิเคราะห์ว่าสาเหตุที่ไม่เกิดสงครามนองเลือดแบบสมัย 5อ๋อง ก็เพราะองค์ชายที่เหลือกลัวเผ่ายาไตฉวยโอกาสด้วย เลยเป็นสภาพคุมเชิงกันไปมาหลังจักรพรรดิจิ้นตาย
หลายคนก็มองจักรพรรดิจิ้นเป็นจักรพรรดิที่แย่คนหนึ่งที่บัลลังก์พี่ก็เอามาให้ บัลลังก์น้องก็รักษาไว้ให้ แต่จักรพรรดิจิ้นที่อยู่บนบัลลังก์กลับไม่สามารถส่งต่อบัลลังก์ไปยังชนรุ่นหลังได้(เพราะพินัยกรรมกระดาษเปล่าของพระองค์)
แต่หลายคนก็มองว่าจักรพรรดิจิ้นเป็นจักรพรรดิที่ไม่ได้คาดหวังบัลลังก์แต่แรก พอได้มาเลยทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาจนราชวงศ์ล่มสลาย
การล่มสลาย
เรียกได้ว่าเจ้าชายทั้ง 7 คุมเชิงกันได้ดี และมีความอดทนพอ แต่สมดุลนี้ก็เปราะบาง เพราะเจ้าชายที่มีเชื้อสายของเผ่ายาไตดันเกิดป่วยตายติด ๆ กันสี่คนแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ซึ่งนักประวัติศาตร์ลงความเห็นว่าป่วยตายด้วยโรคระบาดเพราะตอนนั้นทั้งเมืองหลวงก็มีคนตายด้วยโรคนี้เยอะ เช่นเดียวกับบรรดาชนเผ่าทางเหนือ โรคประหลาดนี้ระบาดในภาคเหนือและองค์ชายของเผ่าทางเหนือก็ตาย
เหลือเจ้าชาย 3 คนที่เป็นพี่น้องกัน ทุกอย่างก็ควรจะจบถ้าไม่ใช่ว่าเผ่ายาไตรู้สึกไม่โอเคเกิดบุกเข้าด่านทำลายเมืองชายแดน และเตรียมยกทัพเข้าเมืองหลวง ทำให้เจ้าชายทั้งสามต้องปกป้องเมือง แต่ก็พ่ายแพ้และโดนสังหารจนสิ้น
เมืองหลวงแตก…
เจ้าชายของราชวงศ์ที่เหลือก็เลยต้องประกาศตั้งราชธานีแห่งใหม่ที่นครเบียง ชื่องเบียงจิง
แล้วอัญเชิญเชื้อพระวงศ์ที่อาวุโสที่สุดขึ้นเป็นจักรพรรดิ ลูกชายคนโตของชาย 6 เลยได้เป็นจักรพรรดิ แต่อำนาจควบคุมทางการเมืองการทหารตกอยู่กับลูกของชาย 5 อีก 6 คนแบ่งกันไป เรียกยุคนี้ว่ายุคราชวงศ์ใต้ (ยุค รัชทายาท กับจิ้นหน่านที่ไปอยู่เป่ยจิง เรียกยุคราชวงศ์เหนือ)
เผ่ายาไตที่ยึดครองเมืองหลวงเดิม กับดินแดนทางเหนือได้ก็สถาปนาจักรวรรดิไถขึ้นมาทางตอนเหนือ
เลยทำให้ชื่อเสียงของจิ้นหน่านในประวัติศาสตร์ไม่ค่อยดีเพราะถือว่าเป็นคนที่เปิดประตูให้เผ่านอกด่านเข้ามายึดครองแผ่นดินได้
2 notes
·
View notes
Text
ทดนิยาย #30
สงคราม 5อ๋อง (สงครามกลางเมืองหลังการสวรรคตของจักรพรรดิเฉิงเส���่ยน)
1 ฝ่ายองค์ชาย 4 ตั้งตัวเป็นจักรพรรดิยึดเมืองหลวงเอาไว้
2 ฝ่ายองค์รัชทายาท ก่อรัฐประหารที่เมืองจิงยึดเมืองจิง และนครเล็กใหญ่ทางตอนเหนือไว้ (เป็นองค์รัชทายาท + จิ้นหน่าน)
3 ฝ่ายองค์ชายรอง พยายามก่อรัฐประหารยึดเมืองแต่โดนกองกำลังขององค์ชาย 4 จากเมืองหลวงเข้าปิดล้อมแล้วสังหารทิ้งตั้งแต่ต้นสงคราม
4 ฝ่ายองค์ชาย 5 ยึดนครริมชายฝั่งเอาไว้แล้วประกาศไม่ยอมรับการกระทำขององค์ชาย 4 (แต่ก็ไม่ได้ประกาศว่าจะยอมรับองค์รัชทายาทที่อยู่ทางเหนือ)
5 ฝ่ายองค์ชาย 6 ยึดดินแดนรอบ ๆ เฉิงตู แล้วประกาศไม่ยอมรับการกระทำขององค์ชาย 4 เช่นกัน
เกิดเป็นกลียุคขึ้นมาสั้น ๆ ประมาณ 5 ปี
ฝ่ายองค์รัชทายาทคือต้องยึดอำนาจจากจิ้นหน่านเพราะจิ้นหน่านไม่ต่อต้านการกระทำขององค์ชาย 4 แล้วสั่งให้กองกำลังพิทักษ์เมืองเข้าจับกุมอดีตรัชทายาทเพื่อนนำส่งให้จักรพรรดิองค์ใหม่ด้วย รัชทายาทที่มีสายอยู่ในจวนของจิ้นหน่านด้วยเลยเอากองกำลังของตัวเองบุกเข้าจวนของจิ้นหน่านแล้วยึดเมืองก่อน จิ้นหน่านเลยโดนขังอยู่ในจวนของตัวเอง และรัชทายาทเลยได้เห็นตราแผ่นดินของอดีตจักรพรรดิ และหนังสือปล���ตัวเอง พร้อมตั้งจิ้นหน่านเป็นรัชทายาทแทน รัชทายาทเลยทั้งโกรธทั้งงงว่าจิ้นหน่านมีความชอบธรรมขนาดนี้ทำไมถึงยอมองค์ชาย 4 กับโกรธที่พ่อปลดตัวเองตั้งจิ้นหน่านเป็นรัชทายาท ก็เลยไปจับเข่าคุยกับจิ้นหน่าน จิ้นหน่านเลยบอกว่า
“เพราะข้าไม่สามารถเป็นแบบท่านพ่อได้ ข้าเลยไม่อาจเป็นจักรพรรดิของดินแดนนี้ได้”
แล้วเล่าเรื่องราวเบื้องหลังเหตุการณ์ที่สระน้ำให้รัชทายาทฟังทั้งหมด… รัชทายาทเลยเข้าใจว่าอดีตจักรพรรดิสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่ออำนาจสูงสุดเป็นของตัวเอง แม้กระทั้งฆ่าผู้หญิงที่ตัวเองรักที่สุดอย่างแม่ของจิ้นหน่าน แล้วคงรู้สึกผิดตอนหลังเลยยกทุกอย่างให้จิ้นหน่าน
ฝ่ายของรัชทายาทที่ยึดอำนาจจิ้นหน่าน ส่งผลถึงเผ่ายาไตที่อยู่ทางเหนือ ทำให้รัชทายาทฆ่าจิ้นหน่านทิ้งไม่ได้อีกไม่งั้นต้องรับศึกสองทางทั้งเหนือใต้ เลยเจรจากับเผ่ายาไตให้เข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของตน โดยจะให้จิ้นหน่านเป็นรัชทายาทหากตนได้ปกครองแผ่นดิน เผ่ายาไตยินดี ทำให้รัชทายาทได้กองกำลังเพิ่มและไม่ต้องระวังหลัง
ฝ่ายองค์ชาย 5 ที่พอรู้เรื่องการยึดอำนาจองค์ชาย 3 ก็โมโหมาก คือองค์ชาย 5 แอบชอบจิ้นหน่านมาตั้งแต่สมัยเรียนด้วยกัน พอรู้ว่าจิ้นหน่านโดนรัชทายาทยึดอำนาจก็ทั้งโกรธ ทั้งกลัว แต่พอรู้ว่ารัชทายาทเอาจิ้นหน่านไปต่อรองกับเผ่ายาไตว่าจะให้จิ้นหน่านนั้งตำแหน่งรัชทายาทของตัวเองถ้าตัวเองเป็นจักรพรรดิก็พอจะสบายใจได้ พอเป็นแบบนั้นองค์ชาย 5 เลยประกาศว่าจะยอมรับรัชทายาทเป็นจักรพรรดิเท่านั้น
เท่ากับตอนนี้เหลือ 3 ฝ่าย
1. รัชทายาท - จิ้นหน่าน - ชาย5
2. ชาย 4
3. ชาย 6
ชาย 4 เลยต้องขยายอาณาเขตของตัวเองโดยการยกทัพใหญ่ลงใต้หวังตีชาย 6 เผ่าตี่ ที่เห็นแบบนั้นเลยอาศัยจังหวะที่เมืองหลวงมีกองทัพเฝ้าระวังน้อยที่สุดบุกเข้าปล้นสะดม และตีเมืองหลวงแตก การปล้นสะดมของเผ่าตีทำให้เมืองน้อยใหญ่ในลุ่มน้ำเสียหาย รัชทายาท กับชาย 5 เลยยกทัพเข้าล้อมเขตแดนของชาย 4 และเผ่าตี่โดย รัชทายาทให้กองกำลังเผ่ายาไตบุกเข้ายึดครองพื้นที่ของเผ่าตี่ และกองทัพรัชทายาทยุกเข้าโจมตีกองทัพเผ่าตี่ที่อยู่ในดินแดนของจักรวรรดิ ส่วนกองทัพของชาย 5 บุกโจมตีเมืองของชาย 4 ที่ไม่ยอมจำนนต่อรัชทายาท ผลคือชาย 4 เหลือแต่กองทัพไม่เหลือเมือง รัชทายาทที่ยึดเมืองหลวงกลับมาได้เห็นว่าเมืองหลวงถูกปล้นและเผาจนยากจะซ่อมแซม จึงประกาศย้ายเมืองหลวงจาก อันหยาง หรือซีจิง ไปนครจิงที่เปลี่ยนชื่อเป็นเป่ยจิง เป่ยจิงมีขนาดเล็กกว่าอันหยางมากเพราะกำลังเงินที่ไม่มากพอและประเทศยังอยู่ในช่วงสงครามกลางเมือง พระราชวังหลวงใหม่ที่เป่ยจิงก็เล็กกว่าวังเดิมที่อันหยางแบบ 1/3 ส่วน แต่ถึงแบบนั้นก็ทำให้การเงินตึงตัวมากแล้วยิ่งต้องตรึงกำลังล้อมองค์ชาย 4 กับชาย 6 เอาไว้���้วย
เข้าปีสุดท้ายของสงครามกลางเมือง ชาย 6 รบชนะชาย 4 ทำให้ชาย 4 ฆ่าตัวตาย ชาย 6 ประกาศยอมรับจักรพรรดิ(รัชทายาท) ทำให้สงครามกลางเมืองจบลงแบบนี้
1.รัชทายาท -> จักรพรรดิองค์ใหม่ ที่เมืองหลวงใหม่
2.ชาย 3 -> รัชทายาท
3.ชาย 5 -> นายกรัฐมนตรีของจักรวรรดิ อยู่รักษาการเมืองตู้ตง(เพื่อป้องกันชาย 6 ก่อกบฎ)
4.ชาย 6 -> ผู้ว่าการเขตทางใต้ แต่ไม่ให้มีอำนาจเคลื่อนย้ายกองทัพ ถ้าจะเคลื่อนทัพให้ถามนายกรัฐมนตรีก่อน
คือแบ่งการปกครองใหม่เป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ จักรพรรดิปกครองทางเหนือ(2/5 ของประเทศ) ให้ชาย 5 มีอำนาจปกครองทางตอนกลางของประเทศ(เขตเมืองหลวงเก่า ประมาณ 2/5) ส่วนชาย 6 คือเขตปกครองเดิมก่อนยอมรับอำนาจจักรพรรดิ (ประมาณ 1/5 ของประเทศ) แต่ทั้งหมดยอมรับว่ามีจักรพรรดินั้งอยู่ที่เมืองหลวงทางตอนเหนือ ชาย 5 ที่แบ่งกำลังมาส่วนหนึ่งคือป้องกันไม่ให้ชาย 6 ก่อกบฎ และป้องกันไม่ให้จักรพรรดิผิดสัญญาเปลี่ยนรัชทายาทด้วย
แต่จักรพรรดิองค์ใหม่ก็ปกครองอยู่ได้ 7 ปีก็สวรรคต(เจ็บออด ๆ แอด ๆ มาตลอดจนตาย คาดว่าเป็น TB) บัลลังก์ถูกส่งต่อให้จิ้นหน่านในที่สุด เมื่อจิ้นหน่านขึ้นเป็นจักรพรรดิชาย 6 ก็ก่อกบฎทันที แต่ก็โดนกองทัพของชาย 5 ปราบใน 100วัน เรียกว่ากบฎ 100วัน ชาย 5 ที่พอจิ้นหน่านได้เป็นจักรพรรดิแล้ว และไม่มีภัยกบฎจากชาย 6 แล้วเลยส่งคืนอำนาจทางการทหารและตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้จักรพรรดิ(จิ้นหน่าน) แต่จิ้นหน่านบอกให้ชาย 5 ยังทำตำแหน่งเดิมอยู่ผลคือ
จิ้นหน่าน -> จักรพรรดิจิ้น
ชาย 5 -> นายกรัฐมนตรีแห่งจักรวรรดิ และแม่ทัพใหญ่(2 แผ่นดิน)
ส่วนหนึ่งที่ ชาย 5 ยอมทำให้ก็เพราะรัก สำหรับจิ้นหน่านอยากให้ชาย 5 ฆ่าตัวเองทิ้งแล้วชิงเอาบัลลังก์ไปมากกว่า แต่ชาย 5 ไม่ทำไง
เพื่มเติม
จิ้นหน่านถือว่าเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิที่ปกครองดินแดนเต็มทุกส่วน(แถมยังได้ชนเผ่ารอบ ๆ มาอยู่ในปกครองด้วย) เพราะหลังจิ้นหน่านตายจักรวรรดิก็ล่มสลายลงโดยไม่มีจักรพรรดิองค์ใหม่แทนจิ้นหน่าน
คือจิ้นหน่านมีลูก ชาย 5 ก็มีลูก แล้วก็ยังมีลูกของชาย 6 ที่จิ้นหน่านไม่ได้ฆ่าทิ้งเพราะตอนนั้นจิ้นหน่านยังไม่มีลูกอีก เหตุผลคือ ตอนนั้นเชื้อพระวงศ์เหลือน้อย (4 ชีวิต จิ้นหน่าน ชาย 5 ลูกชาย 6 อีก 2 คน) ถ้าฆ่าทิ้งก็จะทำให้เชื้อพระวงศ์ยิ่งเหลือน้อย ลูกชาย 6 เลยรอดแต่โดนจับขังในพระตำหนักกลางทะเลสาบจำลองตั้งแต่ 5 ขวบ/7ขวบ
ตอนจิ้นหน่านตายในมือก็กำพินัยกรรมไว้ แต่ในพินัยกรรมดันว่างเปล่าแบบไม่มีตัวหนังสืออะไรเลยนอกจากตราประทับที่เหมือนเอาไว้ยืนยันว่าจิ้นหน่านตัดสินใจแบบนี้จริง ๆ ทั้งลูก/หลาน ขุนนาง เลยทำอะไรไม่ถูก องค์ชายแต่ละคนก็ทำอะไรไม่ถูกเพราะแบบนี้เท่ากับว่าจิ้นหน่านให้ทุกคนตะลุมบอลกันแย่งตำแหน่งจักรพรรดิอีกรอบ แต่รอบนี้ทุกคนฉลาดเลยหยังเชิงก���นไปมา รอดูว่าใคร���ะเริ่มก่อน เพราะรอบก่อนคนเริ่มก่อนแพ้
0 notes
Text
ทดนิยาย #29
จักรวรรดิทางตะวันออกไกล ครอบครองพื้นที่ลุ่มแม่น้ำใหญ่ 5สายที่ไหลจากเทือกเขาตะวันตกไปลงทะเลตะวันออก และราชธานีใหญ่ที่ใจกลางเป็นพระราชวังหลวงที่กระเบื้องหลังคาต้องแสงพระอาทิตย์ยามเย็นแล้วมองดูคล้ายทำด้วยทองคำ…
จักรพรรดิองค์ปัจจุบันนาม หลี่เฉิงเสี่ยน ด้วยครองราชสมบัติตั้งแต่อายุแค่ 11ปี ทำให้มีพระมารดาคอยสำเร็จราชการกว่า 6ปี เมื่ออายุได้ 17ปี จักรพรรดิได้นำทัพด้วยตัวเองเข้าปราบชนเผ่านอกด่านที่รวมตัวกันภายใต้ข่านแห่งยาไต และเข้าต่อสู้กับเจ้าหญิงแห่งเผ่ายาไตและจับนางเป็นตัวประกัน ก่อนที่ข่านแห่งยาไตและจักรพรรดิจะทำข้อตกลงสงบศึกกันยาวนานกว่า 50ปี พร้อมกับที่เจ้าหญิงแห่งเผ่ายาไตถูกส่งไปแต่งงานกับจักรพรรดิเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์… และนั้นคือแม่ขององค์ชาย หลี่จิ้นหน่าน
แม้จะมีศักดิ์เป็นองค์หญิงของต่างแดนแต่ก็เป็นเพียงชนเผ่าป่าเถื่อนสำหรับคนในเมืองหลวง แม่ของจิ้นหน่านรู้ตัวดี และเจียมเนื้อเจียมตัวไม่ได้แย่งชิงความรักแข่งกับเหล่าสตรีในวังหลังแต่อย่างใด แต่ถึงอย่างนั้น แม่ของจิ้นหน่านกลับเป็นหญิงคนเดียวที่จักรพรรดิรักหมดหัวใจ… สำหรับจักรพรรดิแม่ของจิ้นหน่านคือผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขาเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะแต่งงานด้วย ส่วนที่เหลือไม่ว่าจะจักรพรรดินี หรือเหล่าสนมเอกล้วนแล้วแต่เป็นคนที่พระมารดาของจักรพรรดิจัดหามาให้ หรือลูกหลานเหล่าขุนนางในราชสำนัก พ่อค้าคหบดีใหญ่ในเมืองหลวงทั้งนั้น และความโปรดปรานของเขาต่อพวกนางเหมือนเป็นเพียงแค่การบรรลุผลประโยชน์แห่งอำนาจมากกว่าความรักใคร่ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าแม่ของจิ้นน่านมีความสำคัญมากกว่าในใจของจักรพรรดิ รวมถึงตัวจิ้นหน่านเอง แต่ถึงอย่างนั้นจักรพรรดิก็ไม่ได้แสดงออกว่าชื่นชอบแม่ของจิ้นหน่านออกมาอย่างชัดเจนแต่อย่างใด เป็นความรักที่บอกใครไม่ได้แม้แต่ตัวแม่ของจิ้นหน่านเอง
ด้วยความที่พอจักรพรรดิกลับมาจากการทำศึกที่ชายแดน แม่กับขุนนางก็เตรียมพระสนมต่าง ๆ เอาไว้ให้เต็มไปหมดแล้ว เรียกได้ว่าพออยู่ในวังหลวงจักรพรรดิแทบขยับตัวทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว เพราะเส้นสายของแม่กับขุนนางเต็มไปหมดจักรพรรดิเลยวางแผนจะทำลายกลุ่มอำนาจเดิมทิ้งทั้งหมดโดยการแกล้งว่า��ัวเองโปรดปรานสนมคนหนึ่งมาก ซึ่งเป็นญาติของเสนาบดีผู้ใหญ่คนหนึ่งในราชสำนัก ทำให้ฝ่ายไทเฮา-ฮองเฮาต้องตั้งตัวเป็นศัตรูกับฝ่ายพระสนมเกิดเป็นคลื่นใต้น้ำในวังหลวง ฝ่ายแม่ของจิ้นหน่านที่ได้แต่ทำตัวเป็นไผ่ลู่ลมโอนอ่อนไปตามทั้งสองฝ่ายเพราะตัวเองไม่มีฐานอำนาจอะไรเลย ห่างจากบ้านเกิดที่อยู่ทางเหนือนับพันลี้ ใจกลางเมืองที่มีตัวเองกับข้ารับใช้อีกหยิบมือที่ตามมาจากบ้านเกิด จักรพรรดิก็เล่นเกมส์นี้เพราะต้องการให้ทุกคนเผยตัวออกมาให้หมดว่าอยู่ฝ่ายไหน ๆ จะได้จัดการทีเดียวให้ราบคาบ
ฝั่งจิ้นหน่านกับแม่ ด้วยความที่แม่เป็นเจ้าหญิงจากเผ่าที่ขี่ม้าเลยสอนจิ้นหน่านเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ไว้เยอะ รวมถึงเรื่องการต่อสู้ แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะแม่ของจิ้นหน่านไม่มีกำลังพอจะไปดึงเอาตัวอาจารย์ดี ๆ มาสอนจิ้นหน่านด้วย แล้วถึงแม้จะผิดประเพณีหลายอย่างแต่แม่ของจิ้นหน่านเองก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรในสมการอำนาจของทั้งสองฝ่าย ประกอบกับจักรพรรดิคอยช่วยอยู่ลับ ๆ ในทำนองไม่สนใจ หรือบางครั้งที่เป็นการลงโทษก็ลงโทษสถานเบา(ให้ไปสวดมนต์ให้ไทเฮาอะไรแบบนั้น) แน่นอนว่าแม่ของจิ้นหน่านคงสอนเองหมดทุกอย่างไม่ได้ ในหมู่พระสนมชั้นกลาง ๆ แบบแม่ของจิ้นหน่านเองก็มีหลายคนรวบรวมกำลังทรัพย์กันแล้วดึงเอาอาจารย์เก่ง ๆ มาสอนแม่ของจิ้นหน่านเองก็ทำเช่นนั้น ทำให้จิ้นหน่านได้รู้จักกับองค์ชายอีกหลายคน (พ่อจิ้นหน่านมีลูกตั้งแต่ 15-16 มีจิ้นหน่านตอนตัวเอง 18 มีลูกรวม 24คน ชาย 10 หญิง 14 แต่อยู่รอดถึงวัยผู้ใหญ่แค่ 14 คน เป็นชาย 6 หญิง 8)
พระจักรพรรดินีมีลูกชาย 2 คน คือองค์ชายใหญ่ กับองค์ชายรอง
พระสนม กุ้ยเฟย มีลูกชาย 1 คน คือองค์ชาย 4
พระสนม เต๋อเฟย มีลูกชาย 3 คน องค์ชาย 5,6
แม่ของจิ้นหน่าน มีลูกชาย 1 คน คือหลี่จิ้นหน่าน(องค์ชาย 3)
ภายหลังจักรพรรดิกำจัดขั้วอำนาจของจักรพรรดินี(และญาติฝ่ายแม่ของตัวเองได้จนหมด) จากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่สระน้ำใหญ่ โดยสังเขบคือพระสนมจัดงานเลี้ยงน้ำชาใหญ่โตที่สระน้ำ เชิญแขกมากมายแบ่งเป็นฝั่งพระสนม และกลาง ๆ (ที่ใครเชิญก็ต้องไปหมด เช่นแม่ของจิ้นหน่าน) แล้วเกิดมีการวางยาพิษทำให้คนในงานหลายคนเสียชีวิต คือพระสนม 5 คน(รวมถึงแม่ของจิ้นหน่าน) สืบไปสืบมากลายเป็นจักรพรรดินีเป็นฝ่ายวางแผนในครั้งนี้ ทำให้จักรพรรดินีโดนปลด และรับโทษประหารชีวิต ส่วนขั้วอำนาจฝั่งพระสนมก็ล่มสลาย(เพราะพระสนมก็ตาย) กลายเป็นจักรพรรดิขึ้นมามีอำนาจสูงสุดจริง ๆ
แต่กลายเป็นว่าถึงเป็นอย่างนั้นจักรพรรดิก็ไม่ได้มีความสุข กลายเป็นการที่ตัวเองบรรลุจุดหมายแต่ไร้หญิงอันเป็นที่รักข้างกาย หลังเหตุการณ์นั้นลูก ๆ ของจักรพรรดิก็ได้รับมอบหมาย��ห้ไปอยู่ต่างเมืองกันหมด บางคนได้มีอำนาจบริหาร บางคนไม่เช่น
องค์ชายใหญ่ เป็นแม่ทัพทางเหนือ ไม่มีอำนาจบริหารเมืองแต่ได้อำนาจควบคุมกองทัพ 2 กองทางเหนือ
องค์ชาย รอง ถูกส่งไปอยู่เมืองตู้ตง แต่ไม่มีอำนาจบริหารเมือง
จิ้นหน่าน ถูกส่งไปนครจิง มีอำนาจบริหารเมืองแต่ไม่มีกองทัพ
องค์ชาย 4 ถูกตั้งให้เป็นผู้บัญชาการกองกำลังปกป้องเมืองหลวง
องค์ชาย 5 ถูกส่งไปนครเจียงซู มีอำนาจบริหารเมือง
องค์ชาย 6 ถูกส่งไปนครเฉิงตู มีอำนาจบริหารเมือง
เรียกได้ว่าลูกชายจักรพรรดิ 6 คนมีองค์ชาย 4 คนเดียวที่ได้อยู่ในเมืองหลวงทำให้หลายคนคิดว่าองค์ชาย 4 เนี่ยละจะได้เป็นว่า��ี่จักรพรรดิแม้ไม่ใช่องค์รัชทายาทก็ตาม
แต่ทุกคนคิดผิด เพราะจักรพรรดิเลือกให้องค์ชาย 3 เป็นรัชทายาทต่างหาก โดยได้ส่งตราแผ่นดิน และหนังสือปลดและแต่งตั้งรัชทายาทคนใหม่ไปกับคณะของจิ้นหน่านที่ไปเมืองจิงทางตอนเหนือ โดยความที่นครจิงเป็นเมืองใหญ่ทางตอนเหนือ กองทัพของรัชทายาทเลยอยู่ที่นครจิงด้วย เรียกได้ว่าจิ้นหน่านมีอำนาจบริหาร ส่วนรัชทายาทมีอำนาจทางการทหาร
0 notes
Text
ทดนิยาย #28
ขั้นตอนการเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ เรียบร้อย
เสียงจากระบบว่าอย่างนั้นในขณะที่ผมค่อย ๆ มองออกไปด้านนอกหน้าต่าง วิวทิวทัศน์ ของดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่ผมไม่คุ้นเคยค่อย ๆ ปรากฏออกตรงหน้า
สวย...
“สวยใช่ไหมละ... บ้านเกิดของมวลมนุษยชาติน่ะ”
เบอร์ตี้พูดขึ้นทั้ง ๆ ที่สายตาของเขาก็ยังคงมองผ่านหน้าต่างของที่นั้งอีกฝั่งหนึ่งในชัตเตอร์สู่โลกเที่ยวพิเศษของประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐ
“...”
“น่าเสียดายถ้าไม่ถูกฤดูหนาวนิวเคลียร์ทำลายไป มันคงจะสวยกว่านี้เธอว่าไหม?”
ตอนที่เขาหันกลับมาในแววตาของเขาทั้งเย้ยหยันตัวผม และแสดงเจ็บปวดในฐานะของมนุษย์ที่เกิดภายหลังฤดูหนาวนั้น...
“หรือคุณคิดจะจับโคลนของอาชญากรรมสงครามอย่างผมขึ้นศาลที่โลกกันละ”
ความจริงแล้วในสหพันธรัฐ ก็มีแค่ดาวโลกเนี่ยละที่จักรพรรดิแห่งเทมไม่เคยมาเยือน... เพราะพวกเขาประกาศให้จักรพรรดิแห่งเทมทุกคนไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน หรือในอนาคตถ้ายังสืบเชื้อสายมาจากเจ้าชายแห่งแม็กซิโกก็ให้ถือว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม ระดับเ�� แบบที่ว่าพวกเขาจะยิงแอ็กเซี่ยมทิ้งโดยไม่สนเลยด้วยซ้ำว่าข้างในนั้นมีประธานาธิบดีของพวกเขานั่งมาด้วยนั้นแหละ...
“ไร้สาระ จับเธอไปขึ้นศาลนั้นแล้วได้อะไรขึ้นมา ต่อให้ศาลนั้นตัดสินประหารชีวิตขึ้นมาจริง ๆ ก็ใช่ว่าจบแค่นั้นซะเมื่อไหร่กัน“
ใช่จบแค่นั้นซะเมื่อไหร่กัน... ก็พวกเขาบอกว่าทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต... ต่อให้ผมที่เป็นจักรพรรดิอยู่ในปัจจุบันรับโทษไปแล้ว แต่ก็ยังเหลือจักรพรรดิแห่งเทมในอนาคตอีกเป็นโหล ๆ
“เผื่อพวกคุณบนโลกจะสบายใจขึ้น เหมือนที่ชาวเทมใช้พวกผมบังหน้าเวลาโดนกล่าวหาว่าเป็นพวกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ละมั้ง”
“แล้วพวกคนบนโลกไม่มีสิทธิจะโกรธที่เธอมีสายเลือดเดียวกันกับคนที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้หรือยังไงกัน”
“ใช่แล้วคนบนโลก และคนที่เทม จะโกรธจะเกลียดอะไรผม หรือจักรพรรดิแห่งเทมหลังจากผมก็โกรธไปเถอะ ก็ตัวตนของผมมีไว้เพื่อการนั้นอยู่แล้วนี่นา”
ก็รู้อยู่แล้วละ เพื่อให้ยังอยู่รอด เพื่อคงสภาพสังคมอันเปราะบาง และรักษาเสถียรภาพทางการเมืองของจักรวรรดิ เครื่องจักรที่คอยทำหน้าที่พวกนั้นและมีชีวิต นั้นละคือจักรพรรดิแห่งเทมละ
0 notes
Text
ทดนิยาย #27
แล้วทำไมยังต้องมีจักรพรรดิ... ก็จากสัดส่วนประชากรแล้วไม่มีทางที่จะตั้งรัฐบาลของชาวบริทคิงขึ้นมาได้เรื่อย ๆ แน่ แล้วก็จริงดังนั้นบางทีก็มีทั้งคณะเป็นพวกหัวดำผิวเหลืองตาตี่ เพื่อให้มั่นใจว่า "เทม" จะยังเป็นของชาวบริทคิง(ที่มีสัดส่วนประชากรจริง ๆ ประมาณ 25% ของประชากรจักรวรรดิทั้งหมด) เลยต้องมีจักรพรรดิที่เป็นชาวบริทคิง แล้วใครจะเหมาะสมไปกว่าเจ้าชายแห่งแม็กซิโกละ... แต่ถึงจะตั้งเจ้าชายแห่งแม็กซิโกเป็นจักรพรรดิแล้ว แต่ก็ยังมีความกลัวนั้นละว่าพอผ่านไปนาน ๆ เกิดการแต่งงานข้ามกันไปมา เชื้อสายของจักรพรรดิจะไม่ใช่ชาวบริทคิง เลยนำมาสู่ระบบกษัตริย์แบบบิดเบี้ยวที่ใช้จักรพรรดิองค์แรกเป็นต้นแบบเพื่อโคลนจักรพรรดิรุ่นต่อ ๆ มา โดยใช้ข้ออ้างสวย ๆ ว่า "เราเลือกเจ้าชายแห่งแม็กซิโก แต่ไม่ได้เลือกลูกหลานที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของเจ้าชายแห่งแม็กซิโก" นั้นละฮ่ะ ทำให้จักรพรรดิตั้งแต่รุ่นแรกยันย้ายไปอยู่บนดาวอีเดน จนเกิดสงครามใหญ่ในอวกาศ ก็ยังเหลือโคลนของจักรพรรดิองค์แรกอีกสองพันกว่าร่างรอเป็นจักรพรรดิต่อ ๆ กันไปอีกเรื่อย ๆ //สัดส่วนประชากรพันปีหลังชาวบริทคิงจริง ๆ หลอมหลวมเอายุโรปเข้าไปด้วย��ึดส่วนแบ่งประชากรในจักรวรรดิไป 34% ญี่ปุ่น 25% จีน 40% อื่น ๆ 1% คือขนาดจีนอพยพออกเยอะก็ยังเหลือจีนในจักรวรรดิอีกเยอะอะ แล้วตอนหลังแตกการปกครองออกเป็นดวงจันทร์ ดาวอังคาร ดาวเสาร์อีก ซึ่งออกแนวเป็นอาณานิคมคอยส่งแร่ธาตุที่จำเป็นกลับโลกแลกกับให้สิทธิปกครองตัวเอง ซึ่งอาณานิคมพวกนี้มักขาดแคลนอาหารที่โดนผูกขาดจากเทม
ด้วยความที่อิหลักอิเหลือแบบนี้พอเจอดาวอีเดน แล้วอพยพไปอยู่ดาวอีเดนกัน รัฐบาลในตอนนั้น(เป็นรัฐบาลผสมระหว่างพรรคเล็ก ๆ ) เลยพยายามจะสร้างอัตลักษณ์ของชาติขึ้นมาใหม่ที่ดาวอีเดน แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวไป จนค้นพบดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ก็ชาวญี่ปุ่นก็ได้ไปหนึ่งดวง(ยังเลือกชื่อไม่ได้ว่าจะฮายะบูสะ หรือยุซุรุ) ส่วนของจีนได้ชื่อหยาง เวนลี... //ผิด ชื่อหยางชวี ซึ่งทั้งสามดาวมีสถานะเท่าเทียมกันคือเป็นดาวเอกทางวัฒนธรรมของจักรวรรดิ หรือเมืองหลวงทางวัฒนธรรมนั้นละ ซึ่งตอนแรกก็มีกระแสเรียกร้องจะให้แบ่งเมืองหลวงไปลงทั้งสามดาวเลย แต่ฝั่งดาวอีเดนไม่ยอม อีเดนเลยยังได้เป็นดาวที่ตั้งเมืองหลวงของจักรวรรดิต่อไป โดยมีเมืองหลวงชื่อว่าโปโตแมค(ชื่อแม่น้ำเซมเซมกับ เทม เอริน และเมอร์ซี)
0 notes
Text
ทดนิยาย #26
เราสร้างหอคอยสูงเทียมฟ้า
ไม่เราสร้างหอคอยสูง”ทะลุ”ฟ้า
…
เราทำลายทั้งโลกเพียงเพื่อปกป้องไม่ให้มนุษยชาติถูกทำลาย
เราทำลายทั้งโลกเพียงเพื่อไม่ให้”เรา”ถูกทำลาย
อาฮ่ะ
เราสืบทอดการปกครองแบบประชาธิปไตยบนความสูงสามหมื่นกิโลเมตรเหนือพื้นโลก
เราสร้างระบบ”เผด็จการ”อันแสนบิดเบี้ยวบนความสูงสามหมื่นกิโลเมตรเหนือพื้นโลก
การปกครองของพวกเราทำไปเพื่อให้มนุษยชาติสามารถดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้ในอวกาศอันแสนโหดร้าย
การปกครองของพวกเราทำไปเพื่อให้การออกค้นหาดาวเคราะห์ดวงใหม่เกิดขึ้นช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
เพราะโลกกำลังจะตาย
เพราะ”ผม”ออกห่างจากโลกไม่ได้
Welcome to your life
ถอยหลังไม่ได้แล้ว… ผมทำลงไปแล้ว… กลับไป ไม่ได้แล้ว
เพื่อเร่งให้เราทิ้งโลกได้เร็วขึ้น ผมทำลายโลก…
เพื่อปกป้องตัวเองผมทำลายโลก…
เพื่อให้เรายังคงความเป็นมหาอำนาจอยู่แม้แผ่นดินของเราบนโลกจะต้องพินาศไปเพราะฝนพิษ ผมทำลายโลก
***ประวัติศาสตร์ของเทมพูดถึงเหตุการณ์ช่วง��ี้เพียงแค่ว่า “จำเป็นต้องทำ ไม่เช่นนั้นมนุษยชาติจะล้มสลาย” แน่นอนว่าจักรวรรดิเทมไม่ได้ประกอบขึ้นมาด้วยชาวบริทคิง 100% ในตอนนั้นมีชาวบริทคิงแค่ 47% ของประชากรอวกาศทั้งหมดที่เหลือรอด 22% ที่ลงทะเบียนว่าเป็นชาวบริทคิงเป็นชาวญี่ปุ่นที่อพยพขึ่นมาตั้งโคโลนีบนอวกาศ อีก 53% เป็น ชาวจีนกว่า 36% ชาวแอฟริกา 10% ชาวยุโรป 17% ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส 9% และชาวอังกฤษ 5% อื่น ๆ 3%
การสร้างการยอมรับในช่วงแรกเลยเป็นการกดดัน เช่นโคโลนีบางแห่งสร้างอาหารเองได้ไม่เพียงพอต้องอาศัยการสนับสนุนจากโลก พอโลกล้มสลายไปถ้าไม่ยอมสวามิภักดิ์กับเทมก็อดตายกันหมด ถึงบางโคโลนีสร้างอาหารเองได้เพียงพอแต่ขาดยารักษาโรค หรือแร่ธาตุที่สำคัญสุดท้ายก็ต้องยอมสวสมิภักดิ์กับเทมที่เป็นศัตรู จึงไม่แปลกเลยที่พอมีพรบ.นครรัฐอพยพ จะมีคนอพยพออกจากเทมเยอะมาก
ชาวบริทคิง 47% เป็นญป. 22% เป็นชาวบริทคิง mainland 19% บริทคิงที่อยู่บนอวกาศเดิมอีก 6%
ระบบการปกครองที่บอกเป็นเผด็จการที่บิดเบี้ยวคือมีเครื่องจักรกุมอำนาจปกครอง TvT) คือรัฐบาลให้เลือกก็เพื่อลดความไม่พอใจของประชาชน แล้วก็ด้วยความที่ประชากรชาวบริทคิงไม่ได้มีจำนวนเยอะกว่าเท่าไหร่ด้วยการเลือกตั้งหลายครั้งก็ได้รัฐบาลที่พยายามจะล้มระบบการปกครองที่บิดเบี้ยวนี้ แน่นอนว่าโดนเก็บแล้วส่งแอนดรอยไปสวมรอย /_____\)
แล้วจักรพรรดิอยู่ตรงไหนของระบบนี้? จักรพรรดิเป็นร่างทรงของซูปเปอร์คอมพิวเตอร์(a.k.a. กิลเลี่ยน) ซึ่งเป็นโคลนของกิลเบิร์ตอีกที… จักรพรรดิเป็นตัวเชื่อมประสานระหว่างรัฐบาลที่เป็นฉากหน้า กับผู้มีอำนาจตัวจริงก็คือเมไจที่ตั้งอยู่บนโลก TVT)
0 notes
Text
ทดนิยาย #25
"ครึ่ง ๆ กลาง ๆ อย่างงั้นหรอ" "..." . . . พวกคุณคุยกับพ่อบ่อยแค่ไหนครับ... สำหรับผมแล้วนั้นเป็นประโยคที่ยาวที่สุดในรอบเดือน หลายครั้งผมลืมไปด้วยซ้ำว่ามีพ่ออยู่ในบ้านด้วย . . . "คะแนนดีขนาดนี้คุณอายังว่าครึ่ง ๆ กลาง ๆ อีกหรอวะ" เพื่อนในห้องคนหนึ่งของผมพูดขึ้นมาระหว่างทำเวร มันเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมสนิทพอจะเล่าเรื่องพ่อให้ฟัง หลายคนมองว่าชีวิตของผมนั้นแสนสุขสบายไม่มีอะไรให้ต้องกังว��แม้แต่เรื่องเรียนต่อที่หลาย ๆ คนเครียดกันผมก็ไม่ต้องกังวล 'ต่อให้ไม่ทำงานก็สบายไปทั้งชาติแล้วกาญจน์อะ' พวกเขาชอบพูดแบบนี้... แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยากทำอะไรซักอย่าง... แค่ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร สิ่งที่ผมอยากทำหน่ะ "ในสายตาพ่อคงมีแค่ใช้ได้ กับใช้ไม่ได้ละมั้ง สำหรับกูคงเป็นพวกใช้ไม่ได้สำหรับเขา แต่คงพูดออกมาตรง ๆ ไม่ได้เลยเป็นครึ่ง ๆ กลาง ๆ แทน" ผมว่าในขณะที่เทอเศษผงลงไปในถังขยะ "ยังไงมึงก็ลูก เค้าไม่ใจร้ายกับหรอก" ใช่พ่อไม่เคยใจร้ายกับผม ไม่เคยเลยจริง ๆ แต่ความใส่ใจก็ไม่มีเลยเช่นกัน... ผมตัดสินใจเข้าเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับสายงานของที่บ้าน ถึงอย่างนั้นพ่อก็ไม่มีทั้งท่าทีต่อต้าน และสนับสนุนผมบางทีผมก็สงสั���ว่าพ่อคิดยังไงกับผม... เมื่อก่อนสมัยที่คุณตายังไม่เสียเราคุยกันบ่อยกว่านี้ พอคุณตาเสียกลับกลายเป็นว่าผมกับพ่อแทบไม่ได้คุยกันเลย มีอยุ่ครั้งหนึ่งพ่อถามผม เป็นคำถามที่ผมรอมานานแสนนานเขาถามผมว่าจบมาแล้วจะทำงานอะไร ผมจำได้ว่าวันนั้นผมอธิบายให้เขาฟังเสียยืดยาวเกี่ยวกับสิ่งที่ผมเรียน และสิ่งที่ผมจะทำได้หลังจากเรียนจบ ผมสามารถเขียนแบบบ้านขายได้นะ ผมสามารถเป็นที่ปรึกษาตามบริษัทก่อสร้างได้นะ พ่อเพียงยิ้มแล้วตอบผมว่า งั้นก็ดีแล้ว . . . ผมเรียนจบเข้าทำงานในบริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง และเช่าหออยู่ข้างนอกผมแทบจะไม่ได้กลับไปบ้านเลยหลังจากนั้น สองสามปีต่อมาผมแต่งงาน ตอนที่กลับไปบอกพ่อว่าผมจะแต่งงานนะพ่อจะไปงานแต่งผมไหม เขาเพียงแค่พยักหน้าสองสามทีแล้วก็ก้มลงไปอ่านเอกสารในมือเขาต่อ... ผมพยายามอย่างมากที่จะไม่กลับไปขอเงินพ่อใช้ แต่ถึงอย่างนั้น... มันก็ยังมีบางเดือนที่ผมตึงมือจนต้องกลับไปขอเงินพ่อใช้ ผมกับภรรยาทะเลาะกันทุกครั้งที่เราหมุนเงินกันไม่ทัน... เธอถามผมว่าทำไมถึงไม่กลับไปทำธุรกิจของที่บ้าน หรือทำไมต้องกลัวที่จะไปขอเงินพ่อใช้ในเมื่อผมก็เป็นลูกคนเดียวของเขา สมบัติของเขาตั้งมากมายขนาดเป็นเศรษฐีลำดับต้น ๆ ของเมืองไทยถ้าไม่ให้ผมแล้วจะให้ใครใช้? ความสำคัญของผมคือเพราะเป็นลูกของพ่อแค่นั้นหรอ... เพราะเป็นลูกของมหาเศรษฐีงั้นจะมาพยายามทำไม หรือกำลังหาประสบการณ์ถ้างั้นก็พอเถอะเพราะผมก็อายุเข้าเลขสามแล้วหมดวัยตามหาความฝันไปนานแล้ว... หมดวัยตามหาความฝันไปนานแล้วจริง ๆ หลังจากนั้นไม่นานภรรยาผมก็ท้อง... เพราะเห็นแก่ลูกสุดท้ายผม��ลยกลับบ้านที่นั้นจะดูแลลูกของผมในฐานะทายาทของมหาเศรษฐีได้ดีกว่าผมที่เป็นแค่สถาปนิกไส้แห้ง... คืนนั้นผมได้คุยกับพ่อ... น่าจะมากที่สุดในรอบหลายสิบปี "พ่อแค่อยากให้เราทำในสิ่งที่เราชอบ" สิ่งที่ผมชอบ... มันเลี้ยงผมและครอบครัวไม่ได้ "...ยังไงกาจญ์ก็ยังมีพ่อ พ่อเปิดสตูดิโอให้กาจญ์ได้นะ หรือจะฝากกาจญ์เข้าทำงานในบริษัทอสังหาที่เป็นลูกค้าพ่อก็ได้" "พ่อหยุดเถอะ... พ่อยอมรับเถอะว่าลูกชายครึ่ง ๆ กลาง ๆ ของพ่อเก่งไม่ได้เท่าพ่อหรอก" "..." "ผมทำให้พ่ออายรึเปล่าละ พ่อเอาผมไปอวดกับพวกเขาไม่ได้ละสิ ลูกชายที่ล้มเหลวต้องซมซานกลับมาขอเงินพ่ออยู่เรื่อย ๆ นะ" แล้วพ่อก็นั้งเงียบไป ปล่อยให้ผมนั้งร้องไห้เงียบ ๆ เพียงลำพัง เพราะผมเป็นลูกชายของพ่อเลยถูกกดดันจากคนรอบข้างอย่างหนัก บ้างก็อยากให้ผมแสดงความสามารถออกมาให้สมกับที่เป็นลูกของพ่อ บ้างก็อยากเห็นผมล้มเหลวเพื่อที่จะได้ทับถมพ่อของผม... สุดท้ายผมเข้าทำงานที่ธนาคารของครอบครัว นั้งตำแหน่งกรรมการบริษัท จากการแต่งตั้งของพ่อ และถูกวางตัวให้เป็นทายาทของเขาอย่างที่ควรจะเป็นมาตั้งแต่แรก... วันหนึ่งเลขาพ่อโทรมาหาผม เขาว่าพ่อล้มลงไประหว่างกำลังประชุม... พ่อป่วยหนักมากและใกล้จะตาย พ่อพูดกับผมแทบจะไม่เป็นคำแล้วด้วยซ้ำ... พ่อทิ้งทุกกอย่างเอาไว้บนบ่าผม หนักเกินกว่าผมจะแบกรับไหว สุดท้ายอาณาจักรของพ่อก็พังทลายลงในรุ่นลูก... ผมนั้งร้องไห้เป็นบ้าเป็นบออยู่ข้างเตียงพ่อ หวังให้พ่อคุยกับผมเหมือนวันนั้นที่ผมพาภรรยาที่ท้องแก่กลับบ้านมาเพราะล้มเหลวในเส้นทางที่ตัวเองเลือก หวังให้พ่อช่วยผม
0 notes
Text
ทดนิยาย #24
ในหัวมีถ้อยคำร้ายกาจมากมาย แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดออกไป ทั้งสองจ้องตากันอยู่นานราวกับจะแข่งวัดความอดทน หากว่าใครหลบตาก่อนก็ให้เป็นฝ่ายแพ้ไปในสงครามคารมนี้ สุดท้ายชายหนุ่มถอนหายใจ ยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ "ใช่ผมฆ่าเอง ผมฆ่าพวกเขาทั้งหมด แต่ว่าตอนนั้นผมพลาดไป..." ผมลืมฆ่าคุณ... เด็กทารกแรกเกิดอายุยังไม่ถึงเจ็ดวันดี คือผู้บริสุทธิ์ เธอไม่เกี่ยวข้องอย่างแน่นอนสำหรับสงครามที่พ่อและพี่ชายของเธอสร้างขึ้นมา เธอไม่ควรตายไม่ควรถูกเขาฆ่าตายที่นี้ "ชายคน��ั้นพูดเอาไว้ ว่าขอให้ผมอย่าเพิ่งตัดสินเธอ รอให้เธอได้เติบใหญ่ เขาเชื่อว่าเธอจะไม่เลือกทำพลาดซ้ำรอยเขา..." แต่สุดท้ายคุณก็ทำซ้ำรอยเดิม... ก่อสงครามระหว่างมนุษย์และปีศาจ ย้อมผืนแผ่นดินด้วยควันไฟ และความสูญเสียแผ่ไปทั่วทั้งแผ่นดินตะวันตก "แต่สุดท้ายผมก็ทำไม่ได้... ผมไม่อาจจะฆ่าคุณทิ้งได้ ไม่อาจจะสังเวยชีวิตคุณให้กับความผิดที่คุณได้ก่อ ผมบกพร่องในหน้าที่แล้วกลอเรีย"
คราวนี้เป็นฝ่ายเธอที่หลบตา เฉกเช่นทุกครั้งที่เธอถูกเขาดุเธอ ทว่าครั้งนี้สถานการณ์มันต่างออกไป... เขาคือผู้มีพระคุณ หรือเขาคือศัตรูที่สังหารทั้งพ่อแม่และพี่ชายของเธอ ทุกอย่างมันตีรวนไปหมดจนยากกว่าที่เธอจะค่อย ๆ วิเคราะห์ออกมาได้ว่าตอนนี้ควรทำอะไรก่อน อยากจะสาดถ้อยคำร้ายกาจพวกนั้นใส่เขา อยากจะเอาดาบที่อยู่ในมือนั้นแทงเขาให้สาแกใจ หรืออยากจะถามว่าทั้งหมดนี้เขาโกหกใช่ไหม?
Q w Q) NL ครับ
0 notes
Text
ทดนิยาย #23
Side^2 Story... //คือเป็นโครตของโครตSide Story นะ...
"ว่าไงนะจักรพรรดิมังกร รุ่น ปัจจุบันเหลือสายเลือดมังกรไม่ถึงครึ่งอย่างนั้นหรอ"
อีกฝ่ายพยักหน้าให้ ราวกับว่ากำลังพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่เดี้ยวนี่มันเรื่องคอขาดบาดตายของเผ่ามังกรเลยนะ จักรพรรดิมังกร!!! ขีดเส้นใต้สีแดงหนา ๆ แล้วทำดาวไว้เลยร้อยดวง สำคัญมาก!!! ขีดเส้นใต้คำว่าสำคัญมากอีกรอบ นั้นละ จักรพรรดิมังกร ตำแหน่งที่สืบทอดกันมาในราชวงศ์มังกรหลายพันปี มีบางยุคบางสมัยที่จักรพรรดิมังกรแต่งงานกันเองในหมู่ญาติพี่น้องของตัวเองเพื่อรักษาสายเลือดอันแสนจะบริสุทธิ์ของพวกเขาเอาไว้ แล้วไหงยุคนี้ จักรพรรดิมังกร ที่ครั้งหนึ่งเคยหยิงทนงในความบริสุทธิ์ของสายเลือดถึงขนาดแต่งงานกับน้องสาวของตัวเองถึงได้เหลือสายเลือดของมังกรอยู่ไม่ถึงครึ่งละ!
"นี่มันปีสองพันสามร้อยยี่สิบเจ็ดแล้วนะท่านดยุค! โลกสมัยนี้เปิดกว้างดราโกเนียไม่ได้ปิดตายห้ามให้มังกรออกไปสู่โลกภายนอกแบบในยุคสมัยของท่านอีกแล้ว ไม่แปลกที่มังรมากมายจะไปเกิดตำนานรักข้ามสายพันธุ์กันเต็มไปหมด" อ่า ที่แท้นโยบายปิดเกาะมันก็มีประโยชน์ตรงนี้นี่เอง มังกรเมื่อมอบหัวใจให้ใครซักคนแล้วมันจะรักคนคนนั้นไป��นตาย แน่นอนในโลกยุคหลังที่ความเจริญรุ่งเรืองทางเทคโนโลยีก้าวไปถึงขั้นส่งผู้วิเศษขึ้นไปวาดเขตแดนกันอุกบาตบนดวงจันทร์ได้ นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องหาสาเหตุของไอ้อาการประหลาด ๆ ของแต่ละสายพันธุ์ออกมาได้ มังกรก็เช่นกัน เห็นว่าเป็นที่สารสื่อประสาตชื่อจำยาก ๆ ตัวหนึ่งที่หลั่งออกมาพร้อมกันทั้งในสมอง และในกล้ามเนื้อหัวใจเมื่อมังกรตกหลุมรัก อ่าน้ำเน่าเป็นบ้าแต่นั้นละมันเป็นความจริง...
"เพราะอย่างนั้นเลยต้องเรียกเรามา?" เพราะเขาซึ่งเป็นลูกครึ่งมังกรยุคแรก ๆ เลือดในกายกว่าครึ่งยังเป็นของเผ่าพันธุ์มังกร ถึงแม้ว่าจะมีแค่ครึ่งเดียวแต่นั้นก็มากกว่าของจักรพรรดิมังกร รุ่นปัจจุบันแล้วด้วยซ้ำ! ยิ่งพ่อของเขาก็เป็นองค์ชายองค์หนึ่งของเผ่ามังกร แถมยังเป็นตัวแรก ๆ ที่แหกคอกออกไปรักกับมนุษย์อีก เห้อ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คิดว่าเขาอายุเท่าไหร่กันจะให้ออกไปสู้กับมังกรต่างถิ่นที่บุกรุกเข้ามากลายเป็นภัยคุกคามทั้งทวีปแบบนี้ เห็นเขาอายุแค่ร้อยสองร้อยปีรึยังไงกัน!
//850 year old dragon...
0 notes
Text
ทดนิยาย #22
อินทัชและสแตมป์ร้าน 7/24 ของเขา...
เดนาลี(วิญญาณ) : ... อินทัช : แป๊บนะครับ //ล้วงสแตมป์ เดนาลี(วิญญาณ) : ... อินทัช : อ่า สาม สี่ เจ็ด แล้วก็นี่ครับเหรียญสิบ พนง. : //มองเอื้อม ๆ แล้วกดเครื่องคิดเงินตอกแต๊ก เดนาลี(วิญญาณ) : เอาหัวทุบเค้าเตอร์หนัก ๆ อยากจะตายอีกรอบให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย...
//เดนาลีใช้ชีวิตแบบคนรวยมาทั้งชีวิตนะครับ เลยไม่เข้าใจความจนของอินทัช... เอาจริง ๆ อินทัชก็ไม่จนหรอก แค่ย่าโกรธกับพ่อ พ่อเลยตกอับ... อินทัชเลยซวยตกอับ เลยโดนหล่อหลอมมาให้สะสมสแตม์แลกร่ม กล่องข้าว โต๊ะ หมอน กระเป่าบลา ๆ
fact : ในquandos มีร้าน 7/24 รายใหญ่ที่อพยพกลับมาจากโลกและโปรโมชั่นสะสมสแตม์ใช้แทนเงินสดมากมาย...
เปรียบอินทัชต้องสะสมสแตมป์ไว้ใช้ปลายเดือน เดนาลีจะมีบัตรดำทมินเป็นของตัวเอง...
หรือดำนิลกาลดี...
บัตรดำนิลกาล ความหรูหราแบบที่คุณไม่มีวันได้สัมผัส //แน่ใจนะว่านี้คือโฆษณา...
0 notes
Text
ทดนิยาย #21
หรือความจริงแล้วมันเป็น เดนาลีxอินทัช //ได้หรอ
เป็นแฟน(ออฟฟิชเชี่ยล)ฟิคละกัน… เพราะเราเล่นตัวติดกันขนาดนั้น TAT)/ อินทัชจะคล้าย ๆ ซุปเปอร์แมนอะ อยู่ดาวตัวเองเป็นง่อย พอมาต่างโลกกลายเป็นจอมเวทย์… เนื่องด้วยในชั้นบรรยากาศของโลกมีอนุภาคพื้นฐานของเวทมนต์เจือจางเกินกว่าที่อินทัชจะดึงมาใช้ได้ //อินทัชมีแหล่งกำเนิดพลังในตัว แต่สร้างออกมาแล้วเก็บไม่ได้ เลยใช้ได้แบบกระปิดกระปอย คือพอสร้างมาแล้วเก็บไม่ได้ก็เหมือนเอามือไปรองน้ำจากก็อกน้ำอะ ยังไงก็ไม่เยอะเท่าเอาถังมารองใช่มะ!
แต่พอมาต่างโลก ที่มีอนุภาคเวทมนต์เยอะอินทัชก็เลยเมพ… คือไม่ได้ดึงมาเก็บไว้ในตัวเพราะเก็บไม่ได้ แต่พอจะใช้ก็ดึงมาเลย //อยากทราบละเอียดกว่านี้ ลงวิชาเวทมนต์พลศาสตร์เบื้องต้น… เป็นวิชาคำนวนมีการคำนวนปริมาณอนุภาคเวทมนต์ที่ดึงออกมาจากสิ่งแวดล้อมในการร่ายคาถา ๆ หนึ่ง หรือการเข้าใจร่างกายของตัวเองว่าสามารถสร้างเวทมนต์ขึ้นมาได้เท่าไหร่ ขจัดออกเท่าไหร่ เหลือเก็บเท่าไหร่ ผ่านสูตรมากมายก่ายกอง //นี่เป็นนิยายแฟนตาซีโรงเรียนเวทมนต์จริง ๆ นะ…
สมการการคำนวนปริมาณอนุภาคเวทมนต์ กับ คาถานี่ใครคิดหรอครับ?
ในสมการเป็นไปตามอุดมคติ แต่ว่าในสภาพความเป็นจริง��ังมีตัวแปรอีกมากมายที่ไม่ได้ใส่ลงไปในสมการ ทั้งอุณหภูมิ แรงลม หรือแรงโน้มถ่วงสัมพัทธ์ ไหนจะความเร็ว ความเร่งอีก ว่ากันว่าจอมเวทย์ที่เก่งกาจล้วนแล้วแต่เป็นนีกคณิตศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน…
ลาออกครับ แบบนี้มันต้องลาออกครับ ; O ;)
งั้นลองไปสายประวัติศาสตร์เวทมนต์ดูไหมละ?
ขอสอบ 500 ตัวเลือก กับจำนวนข้อเป็นพันข้อ แล้วไหนจะเวลาสอบ 168 ชั่วโมงอีก ไม่แปลกใจเลยที่สายนี้จะขาดนีกเรียนจนจวนเจียจะถูกยุบอยู่แล้วนะ!
นายไม่รู้อะไร… สายเศรษศาสตร์ระหว่างดวงดาวนะสอบกันที 720 ชั่วโมงเลยนะ เห็นว่าความสัมพันธ์ทางศก.ระหว่างดวงดาวยุ่งหยิ่งยิ่งกว่าประวัติศาสตร์เวทมนต์เสียอีก!
งั้น สายวิทยาศาสตร์เวทมนต์ กับ เวทมนต์เพื่อทุกคนละ…
นายเป็นอัฉริยะสามารถเข้าใจไวยากรณ์อักขระภาษาเวทมนต์ของดาวต่าง ๆ ที่มีเวทมนต์ไหมละ… เอาแค่ภาษากลางนายยังเรียนไม่รอดเลย แล้วต้องไปเรียนแกะภาษาในเวทมนต์คาถา ไหนจะโปรเจ็กจบของสาขาเวทมนต์เพื่อทุกคนคือการคิดคาถาใหม่ที่มีประโยชน์กับผู้คนอย่างน้อยล้านคนขึ้นไปอีก ถ้าไม่ใช่อัฉริยะก็อย่าหวังจะได้เรียนจบเลย!
สรุป อินทัชเป็นคนโง่ครับ… เลยเลือกเรียนอะไรที่จบง่ายสุดแบบสาขาจอมเวทมย์(เกลื่อนตลาด)ไปวัน ๆ …
สายเคมี และโพลิเมอร์ระหว่างดวงดาว… สายรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาว
สายศิลปศาสตร์ สาขาศิลปศาสตร์ระหว่างดวงดาว สาขาศิลปศาสตร์ในดาวด้อยพัฒนา สาขาศิลปศาสตร์ในดาวเคราะห์สิ้นอายุ สายวิศวะกรรม วิศวะกรรมเวทมนต์ประยุกต์ วิศวะกรรมเวทมนต์ประยุกต์บนวงโคจรล่าง/กลาง/สูง วิศวะกรรมอนุภาคระหว่างมิติ สายแพทยศาสตร์ สาขาการใช้เวทมนต์เพื่อวินิจฉัยโรค สาขาเวทมนต์ประยุกต์เพื่อการบำบัด สาขาเวทมนต์ประยุกต์เพื่อการพัฒนาการบำบัด
สาขาผู้ประพันธ์ ในสายศิลปศาสตร์
//เอาเป็นว่ามีหลักสูตรเป็นล้านละกัน… ไม่จำกัดเวลาเรียน มีนักเรียนค้างในระบบเกือบพันล้านคน… บางคนตายแล้วแต่ยังเรียนไม่จบ แล้วข้อมูลของวิทยาลัยไม่เชื่อมกับรัฐบาล เลยยังมีชื่ออยู่ในระบบ…
หลักสูตรคือมีวิชาพื้นฐานบังคับเรียนประมาณ 60หน่วย ไม่บังคับว่าวิชาพวกนี้ต้องเรียนตั้งแต่แรก ๆ ไม่มีกำหนดว่าต้องลงอันนี้ก่อนแล้วค่อยต่อตัวนี่ เพราะบางคนที่เพิ่งเข้ามาเรียนอาจจะแอดว๊านอยู่แล้ว เหมือนมาเรียนเสริมเอาความรู้ขั้นสูงเพิ่ม//คล้าย ๆ ป.โท ป.เอก
คือ บางคนอาจจะเรียนมั่ว ๆ แล้วเอารายวิชาที่ตัวเองลงไปเทียบในระบบว่าสามารถขอจบหลักสูตนไหนได้บ้าง แล้วก็จบได้เลยก็มี…
How to โรงเรียนเวทมนต์แบบแมว ๆ
ธิการของโรงเรียนเป็น 1 ในสาม ทรีกอรี ทรีกอรีมี สามคนเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของสหพันธรัฐ ตอนหลัง ๆ มีประเด็นผู้อพยพนับหมื่นล้านคนเรียกร้องให้ทรีกอรีลงจากตำแหน่งแล้วเปิดให้มีการเลือกตั้งบลา ๆ //คือทรีกอรีนี่มีมาช่วงกลาง ๆ ฤดูหนาวอะ คนเหลือน้อยพวกกษัตริย์ ขุนนาง หนีตายไปต่างโลกกันหมด ช่วงแรก ๆ ทรีกอรีจะอารมณ์บ้านเมตตาอะไรทำนองนั้น ก่อนจะอะแดปตัวเองมาเป็นรัฐบาลเพราะไม่มีใครอยากเป็นรัฐบาล… เออแบบนี่ก็ได้ว่ะ…
ทรีกอรีรุ่นปัจจุบันก็แบบอะไรว่ะ ตอนเดือดร้อนละทิ้งกันไปไม่ดูแล พอได้ดีจะมารุมทึ่งอำนาจ(ของทรีกอรี) แต่ต้องเข้าใจว่าทรีกอรีนี่มีความเป็นเผด็จการหน่อย ๆ แล้วบรรดาผู้อพยพอพยพกลับมาจากดาวที่ประชาชนเป็นใหญ่ไง ก็รับ��ับระบบทรีกอรีไม่ได้เลยไปเจอกันครึ่งทางที่ยอมให้มีรัฐสภาเพิ่ม สามารถตั้งรัฐบาลในนามทรีกอรีได้ แต่ในทางเทคนิคแล้วไม่มีพรรคไหนได้เสียงเยอะกว่า 10% อะ คือคุณถึงแม้จะเป็นคนเชื้อชาติเดียวกัน แต่ด้วยความที่อพยพหนีไปต่างถิ่นตั้งหลายร้อยปี แล้วอพยพกลับมาพื้นฐานทางความคิดก็เปลี่ยนไปตามที่ที่ตัวเองอพยพไปอยู่แล้วอะ เลยแบบเห้ยเราชุมชนที่อพยพมาจากดาวAX1234 จะเลือกพรรคAX1234 เราอพยพกลับมาจากดาวVB2345 ก็จะเลือกพรรคที่คนดาว VB2345 ตั้ง เสียงเลยแตกกระจายย ตั้งรัฐบาลในนามทรีกอรีไม่ได้ทรีกอรีเลยเป็นรัฐบาลต่อแบบหล่อ ๆ //เออแบบนี้ก็ได้เว้ย
สาขาเทคโนโลยีเวทมนต์ล่ะ การคำนวนและแปรเวทมนต์ให้เป็นอนุภาคทืี่อยู่ในรูปของอุปกรณ์สมาร์ทโฟน แค่มีมันการพกไม่กายสิทธิ์หรือถือตำราหนักๆก็จะหมดไป เพราะ MPad เขามีนวัตกรรมใหม่ให้สามารถโหลด Ebook คาถาเวทมนต์ออนไลน์กันได้แล้ว
บอกลาไม้กายสิทธิ์รูปทรงน่าเกลียด เราขอนำเสนอ App-- Magic ไม้กายสิทธิ์ถูกออกแบบมาให้พอดีมือของคุณ พร้อมทั้งสัมผัสที่คุ้นเคย ในราคาเพียง 9999 เหรียญ!
//อินทัชดูโฆษณาเสร็จกดไลน์คอลหาย่า…
ปีนี้มีMPad7 ปีหน้าก็MPad8 แต่รุ่นMPad10 หากอยากได้หูฟังเวทมนต์ต้องซื้อแยกนะ---
0 notes
Text
ทดนิยาย #20
วิชาสิ่งประดิษฐ์ทางเวทมนต์ขั้นพื้นฐาน ผมตวัดปากกาเสร็จหันไปมองไดอิจิที่นั้งเคี้ยวขนมไปวาดรูปเล่นไป เอาจริง ๆ คะแนนสอบครั้งที่แล้วไดอิจิได้ท็อปของวิชานี้ ส่วนผมนะหรอ… ตกมีนครับ
นั้นเป็นเหตุผลให้ผมต้องนั้งตัวตรงแล้วจรดปากกาจดตามที่ศ.แก่ ๆ หน้าห้องบ่นเป็นคลุ่งเป็นแคลว อะไรนะ ทำไมผมไม่ใช่เวทมนต์จดแบบเพื่อน ๆ แถวข้างหน้าที่ไปเฝ้าพระอินทร์กันหมดแล้วละ… หลักการเดียวกับเวลาที่พวกนายอ่านหนังสือแล้วยังจำไม่ได้จนต้องลงมือขีด ๆ เขียน ๆ นั้นละ… แน่นอนเวทมนต์ไม่ได้ช่วยเสริมรอยหยักในสมองให้มากขึ้นแต่อย่างใดเพราะฉะนั้นผมต้องถึกจดไป!
เนื้อหาในวันนี้ก็ต่อยอดจากครั้งที่แล้วที่พูดถึงเครื่องวัดอนุภาคเวทมนต์ที่สามารถบอกได้เลยว่าใครเกิดมา��ร้อมพรสวรรค์หรือใครต้องใช้พรแสวงเยอะหน่อย ในชั่วโมงปฎิบัติการชัดเจนว่าผมเป็นสายพรแสวง… คือไม่มีดีอะไรติดตัวมาเลยนั้นเอง บัดซบ!
“การเดินทางข้ามมิติหรือที่ศัพท์สมัยใหม่ใช้คำว่าการเดินทางข้ามกาลอวกาศ เป็นชุดคาถาที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ แน่นอนอาจมีค��ปรับปรุงแก้ไขตัวคาถาให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขข้อเสียเดียวของชุดคาถานี้ได้” ตอนนั้นเองที่คุณเดนาลีลอยทะลุประตูห้องเข้ามา แล้วร่อนมานั้งลงตรงที่ว่างอีกที่ข้าง ๆ ผม เป็นวิญญาณยังจะตื่นสายได้อีกเฮะ
“เพราะเป็นวิญญาณเนี่ยละ ถึงจะเข้าห้องเรียนตอนกี่โมงก็ได้ไม่มีใครว่า” นั้นนิสัยไม่ดีแอบอ่านใจผมอีก! แน่นอนว่าเสียงนั้นมีเพียงผมที่ได้ยินเพราะถึงจะมีคนพบเห็นวิญญาณของคุณเดนาลีในพิพิฑภัณฑ์เรื่อย ๆ แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาทุกคนเรียนอยู่ในห้องนี้เหมือนผมซะเมื่อไหร่
“ข้อเสียเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เกิดวลียอดฮิตขึ้นมาเมื่อสองพันปีก่อน ‘ฉันเองก็ทำได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น’ ผู้วิเศษส่วนมากที่ใช้ชุดคาถานี้จะไม่สามารถใช้ชุดคาถานี้ซ้ำได้อีก นักเวทมนต์ศาสตร์ยุตหลังพบว่าเป็นเพราะชุดคาถานี้กักพลังเวทมนต์มากเกินไปจนแก่นของวิญญาณไม่สามารถรับเอาไว้ได้ จนเมื่อร่ายเสร็จไปหนึ่งครั้งแล้วแก่นวิญญาณเกิดความเสียหายทำให้ไม่สามารถรวบรวมพลังเวทมนต์มาร่ายคาถาชุดนี้ได้เป็นครั้งที่สอง”
//สึบาซะ สงครามเทพข้ามมิติไงนาย 55555 ว่าแต่ทำไมคุณยูโกะทำได้หลายรอบว่ะ
คือพิมพ์ถึงแค่นี้แล้วตาจะปิดแล้วไง บายย
0 notes
Text
ทดนิยาย #19
Jeron IV(พระเจ้าเจรอนที่ 4)
เจรอนที่ 4 เป็นกษัตริย์ลำดับที่ 17 ในราชวงศ์ที่สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าเจรอนที่ 1(เจรอนมหาราช) ชายผู้สามารถต่อสู้กับเดนาลีได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ เจรอนที่ 4 เป็นกษัตริย์เพียงคนเดียวที่เดนาลียอมรับฟัง และให้ความช่วยเหลือในวิกฤตกาลหนึ่งร้อยราตรี แต่ถึงอย่างนั้นเจรอนที่ 4 กลับถูกกดดันจากอาณาจักรอื่น ๆ ที่โอบล้อม และถูกประชาชนของตัวเองจับขึ้นตะแลงแกง ประชาชนของเจรอนไม่ใช่ว่าไม่รักเจรอน แต่มีเพียงความตายของเจรอนเท่านั้นที่สามารถ��รรเทาความโกรธาของ��หาอำนาจที่อยู่รอบ ๆ อาณาจักรของพวกเขาได้ เจรอนเข้าใจและเตรียมใจพร้อมรับความตาย... เพียงแต่ว่าในค่ำคืนสุดท้ายนั้นเองที่เดนาลีปรากฏตัวขึ้นในเมือง และฆ่าชาวเมืองทิ้งทั้งหมดเพื่อช่วยเจรอน
ถึงจะบอกว่าช่วยเจรอน แต่สุดท้ายแล้วเจรอนก็หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ไม่มีใครพบเจอเจรอนอีก ไม่พบศพหรือร่องรอยของเจรอนอีกเลยนับจากนั้น . . . .
นั้นเพราะเจรอนโดนเดนาลีส่งไปต่างโลกยังไงละ! //หลังจากเจรอนโดนช่วยเอาไว้แล้ว เดนาลีมองว่าปล่อยพี่แกเอาไว้คงไม่พ้นตายอนาถอยู่ดี เลยส่งไปต่างโลกแม่ง... /____\) ซึ่งต่างโลกที่ว่าคือตอนปลายราชวงศ์ชิง ไป ๆ มา ๆ พี่แกไปเป็นบรรพบุรุษของอินทัชอีกที ความเกี่ยวโยงกันไปมานี้ท่านได้มาแต่ใด
ถึงเจรอนที่ 1 จะเป็นคนธรรมดา แต่แต่งงานข้ามไปข้ามมา จนเจรอนที่ 4 มีเลือดผู้วิเศษสามารถใช้เวทมนต์ได้เฉย...
ส่วนนี้คือรูปของนัง นั้นเป็นเหตุผลให้อินทัชพอจะมีเค้าความหล่ออยู่บ้าง...
เพราะฉะนั้นแล้วอินทัชจะเหมือนเจรอนที่ 4 หน่อย ๆ คือคล้ายในบางมุม.. *** ดอกจันร้อยตัวว่าบางมุม //ขีดเส้นใต้สีแดงหนา ๆ ด้วย
ซึ่งตรงนี้ก็จะเอาไปโทรลคนอ่านให้คิดว่าอินทัชคือเจรอนไม่ใช่เดนาลี... //มีความพยายามแต่ก็ยังอ่อนหัด 5 5 5 5 5 5 5
เจรอน > เจี๋ยเหริน(傑人)
;____;) เพราะนางโดนส่งไปเมืองจีนอ่านะ
0 notes
Text
ทดนิยาย #18
“Legitimacy ความชอบธรรม”
เป็นเรื่องของการตกลงถึงจุดต่ำสุดของระบบกษัตริย์ในจักรวรรดิบริทคิง ภายหลังความรุ่งเรืองอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจมากว่าสองร้อยปี ก็มีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นเยอะแยะเช่นแรกเริ่มคือเครือจักรภพที่อยู่แบบนั้นมากว่าสองร้อยปีเริ่มถึงจุดวิกฤต บริทคิงเริ่มเสียความสามารถในการควบคุมให้เครือจักรภพเป็นไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการ
มีบางประเทศขอถอนตัว���อกจากเครือจักรภพแบบไม่ไว้หน้าบริทคิง เริ่มจากหนึ่งประเทศ สองประเทศ จนในที่สุดเครือจักรภพก็ล่มสลาย แค่นั้นไม่พอ Crown of Gretel ก็ล่มสลายตามด้วยการประกาศยกเลิกระบบกษัตริย์บริทคิงเหนือดินแดนต่าง ๆ ที่แยกตัวไป(ธรรมดา) แต่นั้นยังไม่พี๊คสุด
พี๊คสุดคือบริทคิงใต้เกิดกบฏครั้งใหญ่ซึ่งรัฐบาลบริทคิงเองก็จนปัญญาจะจัดการเลยถอนกำลังทั้งหมดออกจากบริทคิงใต้ ปล่อยให้กลายเป็นสภาพความโกลาหลแบบการแบ่งก๊กแบ่งข้างของขุนศึกในบริทคิงใต้ การรัฐประหารรายวัน และอื่น ๆ อีกมากมาย
รัฐบาลบริทคิงสั่งให้ทหารถอนกำลังออกมารออยู่ที่ปานามา (คือรักษาคลองปานามาไว้ แค่นั้นละที่เหลือชั่งมันแล้ว) การกระทำของรัฐบาลบริทคิงทำให้ประชาชนเกิดความไม่พอใจอย่างมาก มีการชุมนุมประท้วงใหญ่ทั่วประเทศถึงความไร้ความสามารถของรัฐบาลในการบริหารจัดการความวุ่นวายในบริทคิงใต้
จนไป ๆ มา ๆ มีคนไปเจอจดหมายจากราชสำนักถึงรัฐบาลว่าให้ถอนกำลังออกมา ความไม่พอใจเลยไปตกอยู่ที่ราชสำนัก รัฐบาลลาออก ซึ่งตรงนี้ละกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย คือตามธรรมเนียมจักรพรรดิจะมีอำนาจสูงสุดจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ ทีนี้ประชาชนไม่พอใจอยู่ไงเลยก่อจราจล สุดท้ายจักรพรรดิเลยตั้งอดีตประธานอะไรซักอย่างนี่ละขึ้นมาเป็นนายก ทีนี้นายกคนนี้ก็อยู่ได้ไม่นานอีกกระแสกดดันมากมายว่านายกคนนี้เป็นคนของจักรพรรดิทำให้ตัวนายกรักษาการต้องลาออก เปิดทางให้กับรองประธานรัฐสภาขึ้นมาเป็นนายก
นายกคนใหม่เลยประกาศว่าประเทศเราจะต้องปรับเปลี่ยนไปสู่การเป็นบริทคิงใหม่ บลา ๆ ก็ว่าไป แล้วก็พูดถึงความหย่อนยานของระบบราชการเดิมภายใต้การบริหารที่ฝ่ายราชสำนักชอบเข้ามายุ่มย่าม จนไป ๆ มา ๆ กลายเป็นกระแสต่อต้านราชสำนัก และราชวงศ์
ตัวนายกคนใหม่ไม่ได้หวังให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่พอเกิดขึ้นแล้วก็ไม่รู้จะทำไงเลยมีการบีบบังคับให้พระราชชนนีกับ จักรพรรดิให้ย้ายไปอยู่ออคตาวาก่อน ซึ่งตอนนั้นจักรพรรดิก็ปฏิเสธอะไรไม่ได้แล้ว คือสภาพแวดล้อมใกล้เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสแล้วอะ แล้วการย้ายออกไปนอกเมืองหลวงไปในที่ที่ห่างไกลกว่าก็เป็นตัวเลือกที่ดี
จักรพรรดิและ พระชนนีเลยย้ายไปออคตาวา คราวนี้กระแสต้องการเปลี่ยนประเทศเป็นสาธารณรัฐก็โหมกระหน่ำกันในเมืองหลวง นายกก็ทำอะไรไม่ถูกสุดท้ายก็เลยแบบว่าเราจะทำอะไรต้องถามคนทั้งประเทศก่อน(เพราะตัวนายกก็เป็นแค่รักษาการ จะให้ตัดสินใจอะไรแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ) เลยกลายเป็นเกิดประชามติขึ้นมาเรื่องสถานะของสถา��ันกษัตริย์ในบริทคิง ความวุ่นวายจวนเจียจะบ้าคลั่งก็สงบลง คนเริ่มกลับไปถกเถียงว่าควรจะมี หรือไม่มีกษัตริย์ ถกเถียงไปเรื่อย ๆ จนถึงเรื่องของ “ความชอบธรรม” เนี่ยละ
ก็เนื้อเรื่องตรงนี้ก็จะเป็นมุมมองของคนธรรมดาเถียงกันไปมาถึงความชอบธรรมของกษัตริย์ว่ามีมากน้อยแค่ไหน
ก็มีคนจากรัฐบาลไปแจ้งข่าวให้จักรพรรดิฟัง ก็แบบถ้าผลประชามติออกมาแบบนั้นฝ่าบาทคงต้องถูกเนรเทศไปนิวฟันด์แลนด์ แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นั้นจนตาย แต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจะมารับกลับวอร์ชิงตัน อะไรทำนองนี้
ก็เป็นจุดที่วิกฤตที่สุดของจักรพรรดิบริทคิงที่ทรงอำนาจมาตั้งแต่สมัยกิลเลี่ยน แต่ถ้าดู ๆ ไปก็ยังไม่จบหรอก เพราะจนถึง “วันนั้น” ซึ่งเป็นเรื่องราวหลังจากนี้ไปอีกเกือบเจ็ดสิบปียังมีตำแหน่งเจ้าชายแห่งแม็กซิโกก็แปลว่ากษัตริย์บริทคิงจะยังอยู่ แค่โดนจำกัดบทบาท ลดทอนอำนาจลงไป แบบที่ควรจะเป็นมาตั้งนานแล้วเท่านั้นเอง
“วันนั้น” วันที่ดาวเคราะห์สีฟ้าถูกย้อมด้วยเถ้าถ่านและ ฝุ่นควันกัมตภาพรังสีจากอาวุธนิวเคลียร์... โลกเข้าสู่ฤดูหนาวนิวเคลียร์ยาวนานกว่าสองร้อยแปดสิบกว่า ๆ ปี แล้วก็มีเรื่องราวหลังจากนั้นต่อ บลา ๆ
0 notes
Text
ทดนิยาย #17
XVI > ควินทีเรียน ที่ 16 XVII > ควินทีเรียน ที่ 17 XVIII > ควินทีเรียน ที่ 18 /Quintheriun/ ความหมาย : มีก็แปลกละ ผสมคำขึ้นมามั่ว ๆ ขอแค่ออกเสียงแล้วดูดีเท่านั้นเอง T_T)/ ตอนแรกจะอ่านเป็น ควินเทเรียน แต่มันฟังดูแปลก ๆ "เทเรียน" ดูไม่ตั้งใจเรียน เลยเปลี่ยนเป็น ควินทีเรียน อ่าน ควิน-ที-เรี่ยน
แวะมาแปะ เทคโนโลยีในเนื้อเรื่อง ตอนนี้กำลังสร้างเทเลโมสวิงอยู่(วาร์ปเกต/รูหนอน?) เชื่อมโลกกับปลายสุดของกลุ่มเมฆออคที่เป็นพรมแดนของระบบสุริยะ แบบพยายามร่นระยะทางเท่าที่เทคโนโลยีทำได้(การไฮเปอร์จั๊มยังถูกปิดไว้เป็นความลับ) หลังการมาถึงของไฮเปอร์จั๊มเมไจคาดการณ์ว่าจะทำให้เกิดการอพยบออก "มากเกินไป" รัฐบาลและคนที่เกี่ยวข้องเลยถูกสั่งให้ปิดเป็นความลับ บ้างก็แอบปล่อยข่าวลือว่าล้มเหลว ตัวนักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นการไฮเปอร์จั๊มก็หายสาบสู��
"ไกลพอรึยัง?" "ยัง" "หลังดาวพฤหัสบดีเป็นไง?" "ใกล้ไป... หลังดาวเนปจูนเหมือนปกติละปอดภัยสุด" ไม่ต้องแปลกใจไปหรอกว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกันอยู่... พวกเราเอ่อ เอาตามตรงก็มีแค่ผมคนเดียวที่ 'มีชีวิต' จริง ๆ ไม่เหมือนพวกเขาที่ถ้านับตามเอกสารละก็ตายไปแล้ว... ตายไปนานแล้ว เอาเป็นว่า พวกเรากำลังเดินทางไปดาวเนปจูนเพื่อทำการ 'ไฮเปอร์จั้ม' ไปไหนหรอ... ไปตามสัญญาของกษัตริย์ในรัชกาลก่อนหน้านี้... ก็คนที่มัวแต่รบเร้าให้เร่งไฮเปอร์จั้มทั้ง ๆ ที่ยังไม่พ้นระยะสังเกตุการณ์ของโลกเลยยังไงละ พวกเราได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือเมื่อสามวันก่อน... จากจุดที่ห่างออกไปสองปีแสง... ไกลที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยไป และรัฐบาลของเทมตัดสินใจเพิกเฉยความช่วยเหลือนั้น จะมีก็แต่เขา... ที่ดึงดันจนพวกเราต้องแอบออกมากันแบบนี้ ด้วยเทคโนโลยีที่ยังไม่เป็นที่เปิดเผยทำให้พวกเราจะทำอะไรก็ต้องแอบทำไม่ให้เป็นที่สังเกตุเห็น เพราะฉะนั้นกว่าจะทำไฮเปอร์จั้มได้ก็น่าจะอีกวันสองวัน... แต่ถึงจะรีบแค่ไหนก็ไม่น่าจะทัน... เพราะห่างออกไปสองปีแสง... สัญญาณขอความช่วยเหลือที่ได้รับนั้นห่างออกไปสองปีแสง สองปี... ถูกส่งออกมาแล้วสองปี... ให้เร็วแค่ไหนก็ไปไม่ทันหรอก... แต่เหมือนจะมีแค่ 'เขา' ที่ยังรับเรื่องนี้ไม่ได้... พวกลุง ๆ ในรัชกาลก่อน ๆ ทั้งหลายเลยเล่าให้ฟังว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่สมัยที่ก่อนที่การเดินทางมายังดาวพฤหัสบดียังใช้เวลาหลายปีไม่ใช่แค่สามวั��� เพื่อนเพียงคนเดียวของเขาคงตายไปเนิ่นนานแล้ว เพราะรัชกาลของเขามันก็เป็นตัวเลขเพียงหลักเดียวในขณะที่รัชกาลของผมนันเป็นตัวเลขสองหลัก... เพื่อนของเขาไม่อยู่แล้วแต่คำสัญญาของเขายังคงอยู่ นั้นทำให้ผมกับพวกลุง ๆ กษัตริย์ในรัชกาลก่อนหน้านี้ที่ตายไปแล้ว(???) แต่ยังอุส่าอัพโหลดตัวเองลงดรอยพากันมาอยู่บนยานแอกเซี่ยม เรือธงของกองยานท่องอวกาศห้วงลึกของเทม จะว่าไปอวกาศห้วงลึกที่ว่าของเทมมันก็แค่รอบ ๆ ระบบสุริยะเท่านั้นเอง ด้วยเทคโนโลยีที่ถูกปกปิด ด้วยคำแนะนำจากเมไจที่ไม่ให้พวกเรารีบบอกความจริงเกี่ยวกับไฮเปอร์จั้มเร็วเกินไป... อย่างน้อย ๆ จนสิ้นรัชกาลของผมไฮเปอร์จั้มก็จะยังเป็นความลับของรัฐบาลและพวกผม และทางเดียวที่จะข้ามกลุ่มเมฆออคไปได้คงมีแค่ตีตั๋วเที่ยวเดียวขึ้นไปบนยานของกลุ่มนครรัฐอพยบ ที่ออกเดินทางเพื่อตามหาดาวดวงใหม่ของมนุษยชาติ... ทว่าไกลที่สุดของพวกเขายังไปได้แค่สองปีแสงจากโลก... แค่สองปีแสง���ท่านั้นโดยไม่มีไฮเปอร์จั้ม "เบื่อรึยัง?" ผมหันไปมองหน้าเขา อันที่จริงผมก็แยกเขาไม่ค่อยออกเพราะหน้าตาที่เหมือนกันหมดเรียกได้ว่าแทบจะไม่แตกต่าง... ก็คนคนเดียวกันนี่นา "เริ่มง่วงแล้วครับ" มันเลยเวลานอนของผมมานานแล้ว อันที่จริงปกติผมไม่ได้ถูกเอามาทิ้งไว้ที่สะพานเดินเรือหรอกนะ แค่ครั้งนี้เขาอยากให้ผมลองมาเห็นสะพานเดินเรือดูบ้างแทนที่จะอุดอู้อยู่แต่ในห้องพัก อันที่จริงหอดูดาวก็เป็นตัวเลือกที่ดี ติดอยู่แค่ว่าถ้าไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ ดาวนพเคราะห์ดวงไหลเลยละก็มันจะมองเห็นแค่ท้องฟ้าสีดำสนิทมีดาวประปราย... น่าเบื่อไปอีกใช่ไหมละ... "งั้นเดียวฉันพาไปส่งห้องนะ... ไปก่อนนะ พวกนายก็เฝ้าหมอนันดี ๆ ละ" ประโยคหลังเขาหันไปพูดกับเหล่ากษัตริย์ในรัชกาลก่อน ๆ ที่กำลังมอนิเตอร์อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในยานผ่านหน้าจอกันอย่างขมักเข้น... และคนที่ต้องจับตาดูที่สุดก็คงเป็นเขาละมั้ง... จักรพรรดิลำดับที่ 5 ของเทม... ชายผู้เป็นต้นเรื่องให้ผมและกษัตริย์อีกหลาย ๆ รัชกาลต้องรอนแรมอยู่กลางความมืดมิดนับสามวัน... เพียงเพื่อให้เขาได้ทำตามคำสัญญา... //ต่อ... คือที่เราเคยบ่นไปไงว่าเป็นระบบกษัตริย์ร่างโคลนของโคลนของโคลน... คือกษัตริย์ทุกองค์เป็นโคลนของกษัตริย์องค์แรกหมดเลยเว้ย! แล้วแบบ แทนที่ตายแล้วจะตายไปเลยก็เก็บสมองไว้แล้วไปแช่ใน CSF แล้วอัพลงดรอยได้แบบเรื่องไซโค--- แค่ก ๆ ๆ นั้นละ...
กลายเป็นว่าเหลือผมอยู่คนเดียวที่ยังมีสติสัมปชัญญะอยู่… การไฮเปอร์จั้มนั้นส่งผลต่อระบบสมองจำลองที่พวกเขาใช้แบล็กอัพตัวเองเอาไว้ ผมลองถามคอมพิวเตอร์ดูเหมือนว่าจะต้องรอให้พวกเขาฟื้นขึ้นมาเองซึ่งอาจจะแค่สิบยี่สิบนาทีหรืออาจจะยาวนานหลายสิบชั่วโมง… โชคดีที่ระบบบินอัตโนมัติยังสามารถเปิดอยู่ นั้นทำให้ผมไม่ต้องทำอะไรมากแค่มองออกไปนอกหน้าต่างทะเลดวงดาวที่ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยที่ว่างปรากฎอยู่ตรงหน้า ไกลออกไปลิบ ๆ นั้นผมเห็นซากยานอวกาศลำใหญ่ลักษณะเหมือนเต่าขนานยักษ์ที่มีเมืองอยู่บนง… ใช่นั้นคือนครรัฐอพยบเฮลิโอโพลิสที่ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือมาเมื่อสองปีที่แล้ว ดูแค่จากตรงนี้ผมก็รู้แล้วละว่ามันไม่ทัน เอาจริง ๆ ทั้งพวกเขาและผมก็รู้กันตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วละว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นอย่างไรการเดินทางครั้งนี้มันสูญเปล่าทั้งเชื้อเพลิงราค��หลายแสนล้านเหรียญและเวลาที่ผมจะใช้ ใช่เวลาของผม ก็ผมเป็นแค่ร่างโคลนล็อตแรกของเขานี่นา… ร่างกายของผมไม่แข็งแรงเท่าไหร่เรียกว่าขี้โรคก็ได้ แค่เชื้อแบคทีเรียธรรมดา ๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายอะไรในคนทั่วไปอาจฆ่าผมตายได้ เอาจริง ๆ นายกฯหลายคนเคยพูดไว้ทำนองว่าเป็นเพราะพวกผมเป็นร่างโคลนทำให้ไม่มีการวิวัฒนาการของระบบภูมิคุ้มกันเท่าไหร่ กล่าวคือร่างกายของผมและจักรพรรดิองค์ก่อน ๆ เหมือนกับชาวโลกเมื่อห้าร้อยกว่าปีที่แล้ว… มนุษยดึกดำบรรพ์ชัด ๆ แกร๊ก… ผมหันหน้ากลับไปมองต้นเสียง หนึ่งในพวกเขาซักคนฟื้นขึ้นมาแล้วเรียกได้ว่าเร็วน่าดู ทำให้ฒต้องหยุดการนั้งจ้องมองความเวิ้งว้างของห้วงอวกาศที่ทำมาสิบกว่าชั่วโมงหลังไฮเปอร์จั้มเสร็จ… //พอละดึกแล้ว พรุ่งนี้เรียนเช้า
"รสนิยมแย่เป็นบ้า" ผมว่าพร้อมกับการก้าวขาไปตามจังหวะของเพลงที่ดังคลอเบา ๆ คนตรงหน้า... ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าคนได้ไหม เอาเป็นว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นคนแต่ตอนนี้เป็นแค่ก้อนเนื้อน้ำหนักไม่กี่กิโลกรัมที่อาศัยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยในการมีชีวิตอยู่ต่อไปวัน ๆ เขาคือตัวผมและตัวผมคือเขา งงกันไหม? ไม่หรอกมั้ง เอาเป็นว่าเราทั้งคู่เหมือนกัน ใช่อย่างน้อย ๆ ก็เป็นแค่ร่างโคลนของเขาเหมือนกัน "เธอชอบเพลงแบบนี้ อย่าเถียงเลยฉันรู้ว่าอะไรที่เขาชอบ ฉันชอบ และพวกเราชอบ เธอก็จะชอบด้วย" เพราะพวกเราเป็นคนคนเดียวกัน ตลอดมา... และอาจจะตลอดไป... ซักวันหนึ่งเมื่อร่างกายของผมชำรุดทรุดโทรมลง พวกเขาก็จะทำกับผมเหมือนที่ทำต่อ ๆ กันมา... และไปปลุกโคลนร่างใหม่ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่นี้ต่อไปเรื่อย ๆ "เต้นรำกับตัวเองแบบนี้มันน่าสนุกตรงไหนกัน?" ใช่ ในฟลอร์นี้มีแค่ผมคนเดียวที่มีร่างเนื้อจริง ๆ นอกเหนือจากนั้นเป็นแค่ร่างโคลนเก่าที่ร่างเนื้อทรุดโทรมไปจนต้องใช้ 'ดรอย' จะว่าไปถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปยังโลกภายนอกจะเกิดอะไรขึนนะ ประชาชนจะก่อจราจลไหม หรือพวกเขาจะทำหน้าแค่ อ้อหรอ แล้วก็กลับไปใช้ชีวิตประจำวันกันต่อ และปล่อยให้ระบบนี้ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ //อยากให้ลองนึกภาพคนเต้นรำกับคนที่หน้าตาเหมือนตัวเอง แล้วในฟลอร์เต้นรำนั้นก็มีแต่คนหน้าตาเหมือนตัวเอง คือ โคลน พอตายแล้วก็เอาไปผ่าเอาสมองไปแช่เอาไว้ แล้วต่อสายอัพโหลดจิตสำนึกขึ้นไปเป็นระบบซีบิล แค่ก ๆ ไม่ใช่!!! ต่อสายอัพโหลดจิตสำนึกไปอยู่ในระบบ แล้วก็อาจจะอัพโหลด���ข้าดรอย(หุ่นยนต์ที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ทุกประการ)เพื่อเข้าสังคมได้ แล้วพวกโคลนที่กลายเป็นแค่ เอิ่ม ก้อนสมองที่มีร่างเนื้อเป็นดรอย แล้วก็คอยมาเลี้ยงโคลนรุ่นถัด ๆ ไป
0 notes
Text
ทดนิยาย #16
A STORY : All I never 'SAY' วอนแค่เพียงปาฎิหาริย์ ที่ดูเลือนลางจนหมดหวัง โปรดช่วยฉันในตอนนี้ ดาวพร่างพราวที่คอยส่องแสง เลือนลับไปกับหยาดละอองของน้ำตา พบกันครั้งแรก... ตอนนั้นผมอายุซัก 6 ขวบได้มั้ง? หรืออาจจะมากกว่านั้นซักปีสองปี จะว่าไปมันก็น่าตกใจอยู่เหมือนกันที่ครั้งหนึ่งผมเคยทำอะไรแบบนั้น... เมื่อนานมาแล้ว... แต่ก็นั้นละ ในช่วงแรก ๆ ที่เราอยู่ด้วยกันคุณเอาแต่พร่ำบอกว่าให้ 'ลืม' เรื่องเลวร้ายพวกนั้นไปซะ แล้วยังกอดผมเอาไว้ราวกับว่าถ้าปล่อยมือออกผมจะหายตัวไป... สุดท้ายก็ดันกลายเป็นว่าการมาของผมนำมาซึ่งความตายของคุณเอาจริง ๆ นะผมเจ็บปวดทุกครั้งเลยเวลามองหน้าคุณ ใบหน้าของคุณที่ทั้งเจ็บปวด ผิดหวัง โทษตัวเอง และหวาดกลัวความตาย แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมาซักอย่าง... ปล่อยให้ผมต้องทนอยู่กับบรรยากาศแบบนั้นตั้งหลายปี ปล่อยเวลาผ่านไปเปล่า ๆ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตคุณ คุณไม่หน่วงรั้งเวลาไว้เหมือนที่เคยทำ ไม่ยืดหนึ่งชั่วชณะออกให้ยาวนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ทำเหมือนกับว่าพร้อมที่จะตาย ทั้ง ๆ ที่คุณหวาดกลัวมันถึงเพียงนั้น... ทำเหมือนกับว่าเวลาที่ได้อยู่กับผมมันไม่มีค่าอะไร... เอาตรง ๆ พอถึงตรงนี้ผมกลับเริ่มรู้สึกโหว่ง ๆ ขึ้นมาในใจ... เวลาที่ได้ใช้ร่วมกันของเรามันสั้นมากเมื่อเทียบกับอายุของคุณเพียงไม่กี่ร้อยปีมันไม่ยาวนานเลยสำหรับคุณผมทราบดี ผมทราบดีว่าคุณอาจจะเคยผ่านช่วงเวลาแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างน้อย ๆ นี้ก็ไม่ใช่ดาวดวงแรกที่คุณสร้าง คุณบอกกับผมแบบนั้นในคืนที่ดาวเต็มฟ้า และเราสองคนต้องหนีหัวซุกหัวซุน น่าขำ... ที่ผมอยากจะอ้อนวอนขอพรกับพระเจ้าขอคุณกลับคืนมา ทั้ง ๆ ที่ผมนั้นคือพระเจ้า ทั้ง ๆ ที่เป็นพระเจ้าแท้ ๆ แต่กลับเอาคุณกลับคืนมาไม่ได้ความตายช่างน่าชิงชัง... หลายครั้งผมเคยคิดอยากจะทวนกระแสของเวลา ฝืนสัตยาบันโบราณที่���ุณสร้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งสร้างจักรวาลขึเนมาใหม่ ๆ เพียงทว่า... ถ้าทำแบบนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้างผมก็ไม่รู้และไม่กล้าเสี่ยงพอจะทำลายจักรวาล'ของคุณ' ไม่กล้าแม้จะเริ่มต้นจักรวาลในกัปของตัวเอง... สุดท้ายก็เผลอสร้างสัตว์ประหลาดที่มีหน้าตาคล้ายคุณขึ้นมานับไม่ถ้วน สุดท้ายจักรวาลของคุณก็ล่มสลายไปเพราะความงี่เง่าของผม... สุดท้ายก็รักษาอะไรไว้ไม่ได้ซักอย่างเดียว หลังจากนั้นผมก็ได้เริ่มต้นกัปของผมที่แท้จริงก่อนจะสร้างระบบสุริยะที่ดูคล้ายคลึงบ้านของเรา ว่าไปนั้นดาวบ้านเกิดของคุณเป็นยังไงผมไม่เคยเห็นด้วยซ้ำแต่ดันมาทึกทักเอาว่าดาวดวงที่ผมเกิดขึ้นมาและได้อยู่ร่วมกับคุณได้รับช่วงเวลาอันแสนมีค่านั้นว่าบ้านของเรา ทั้ง ๆ ที่คุณไม่เคยใช้คำว่าเรากับผมเลย... //คั่นอารมณ์ อารมณ์ไหนของเอ็ ง 555555 คือ กิลเบิร์ตก็มีเรื่องที่ไม่เคยพูดไง แต่เอาจริง ๆ ความน้อยใจของกิลเบิร์ตนีเอามาถมเต็มไปหมดจนคนเห็นจนเอียนแล้วมั้ง ว่าไปนั้น 55555 เหมือนไทม์ไลน์ชีวิตกิลเบิร์ตแบบหยาบ ๆ
0 notes
Text
ทดนิยาย #15
A STORY : Until . . . ผมถูกนายช่วยเอาไว้ นั้นเป็นเรื่องที่ผมจะจำได้ไปจนวันสุดท้ายของชีวิตอันอีกแสนยาวนาน ถึงแม้นายจะบอกว่านั้นเป็นเรื่องที่พวกเขาทำกันเอง แค่นายติดยานไปด้วยพอดีเลยบังเอิญไปเจอผมที่ติดอยู่ในแคปซูลอพยบแถว ๆ นั้น อุบัติเหตุกลางอวกาศเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพราะเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วนั้นหมายถึงความตาย ยิ่งจากจุดที่ห่างจากโลกไปถึงสองปีแสง... ใช้ระยะเวลาเดินทางเกือบร้อยปีจากโลก ยิ่งยากที่จะรอดชีวิตได้แม้จะมีอุปกรณ์กู้ชีพครบครัน ก็ได้แต่ลอยเคว้งอยู่ในอวกาศอันว่างเปล่า แต่เพราะนายดันผ่านมาพอดี ผมเลยยังไม่ตายและมาอยู่ตรงนี้ได้ถึงแม้ชื่อเรียกของนายจะดูโหลแต่ผมก็ชอบเรียกชื่อจริง ๆ ของนายมากกว่าหมายเลขที่นายอยากให้ผมเรียกนะ ไอ้เลขที่สิบหกอะไรนั้นฟังดูไม่เหมือนชื่อคนเลยซักนิด เอาจริง ๆ ก็อ้อนอยู่นานเหมือนกันว่านายจะยอมให้ผมเรียกว่า 'ควินน์' พอโตขึ้นมาได้รู้อะไรมากขึ้น ๆ ก็พบกับเรื่องราวที่น่าอึดอัดใจ... เกี่ยวกับนายทั้งนั้น ทั้งความเศร้า ความผิดหวัง เรื่องที่อยากจะพูดแต่ไม่เคยได้พูดออกมากับใคร ความฝันที่แค่ฝันก็ผิดแล้วของนาย... ��ชคชะตาของจักรพรรดิแห่งเทมที่นายแบกรับเอาไว้อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ระบบการปกครองที่บิดเบี้ยวจากเจตนารมณ์ของประชาชน และเหล่าชนชั้นปกครอง การที่ถูกเครื่องจักรทางคณิตศาสตร์ที่ไร้อารมณ์และความรู้สึกปกครองโดยมีธงแค่ 'รักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้อยู่รอดบนอวกาศ' 'เมไจ' ซูปเปอร์คอมพิวเตอร์จากยุคโบราณที่ไม่มีใครรู้ว่าตั้งอยู่ที่ไหนบนโลก เพียงแต่เทมสามารถติดต่อกับมันได้ผ่านทางช่องสัญญาณของดาวเทียมจากยุคโบราณดวงหนึ่ง เมไจนั้นเป็นเสมือนกษัตริย์ที่แท้จริง ไม่สิอาจจะเรียกได้ว่าเป็นพระเจ้าแห่งเทมเลยก็ได้... ความสงบสุข ความก้าวหน้า ความยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติทุกวันนี้ล้วนขึ้นอยู่กับเมไจ สิ่งใดที่เมไจแนะนำให้ทำแม้จะฟังดูขัดใจ แต่นั้นย่อมเป็นผลดีกับมนุษยชาติที่ใกล้สูญพันธุ์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะฉะนั้นเมไจจึงกลายเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงแห่งเทม... ชีวิตที่ดูไม่เหมือนชีวิตของจักรพรรดิแห่งเทมนั้นเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นโดยเมไจ เพื่อรักษาสภาพของสังคมมนุษย์เอาไว้ผ่านสถาบันจักรพรรดิ น่าแปลกใจที่การมีกษัตริย์กลับส่งผลดีกว่าการไม่มีกษัตริย์ เพราะฉะนั้นแล้วสถาบันกษัตริย์อันว่างเปล่า จักรพรรดิที่มีชีวิตอยู่อย่างบิดเบี้ยวจึงถือกำเนิดขึ้นมา... เหนือพื้นโลกนับพันกิโลเมตร ตอนนั้นนายร้องไห้เหมือนคนเสียสติ... พูดพร่ำถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ทำอีกมากมาย และสิ่งที่อยากทำอีกมากมาย... ร้องขอผมว่าให้ผมพา 'ตัวเขา' อีกคนไปทำสิ่งเหล่านั้นให้จงได้... . . . ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นผม���ม่ได้ตกปากรับคำไป... แต่ทำไมผมกลับรู้สึกราวกับถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนอันหนักอึ้ง... ล่ามผมเอาไว้จากก้นบึ้งของหัวใจ ให้ทำตามคำพูดของนายให้ได้... แล้วนายก็ตายจากไปทั้ง ๆ ที่อายุยังน้อยอยู่... ถูกนำไปหลอมรวมกับ 'พวกเขา' จนสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปจนหมดสิ้น... เมื่อพบกันอีกครั้งกลับกลายเป็นผมที่ร้องไห้ออกมาทั้ง ๆ ที่ควรจะยินดี... กลับกลายเป็นผมที่รู้สึกเหมือนสูญเสียนายไปแล้ว แม้ว่านายจะยังคงอยู่...
0 notes